รอบรู้เรื่องรถ
ประกันภัยรถยนต์ (จบ)
เดือนที่แล้วผมได้เล่าเรื่องการซ่อมรถหลังเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัยเป็นปัญหาด้านคุณภาพของงาน ที่หย่อนยานบกพร่อง ผสมกับการเอารัดเอาเปรียบลูกค้า ด้วยการใช้อะไหล่คุณภาพต่ำบ้าง อะไหล่เทียมบ้าง หรือไม่ก็ถึงขั้นเอาอะไหล่ใช้แล้วมาใช้กับการซ่อมรถให้พวกเรา
สำหรับเดือนนี้ ผมขอนำตัวอย่างการตุกติกเรื่องเงินทองมาเล่าสู่กันครับ ที่จริงต้องใช้คำว่าการฉ้อโกงกันซึ่งๆ หน้า จึงจะถูกต้อง เป็นเหตุการณ์ที่ผมได้สัมผัสด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับบริษัทประกันภัยรถยนต์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลี เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีมากมายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใช้รถทั่วประเทศอย่างแน่นอน
กรณีแรกนี้เกิดขึ้นแก่ตัวผมเอง กระจกรถด้านหน้าของรถที่ผมใช้อยู่เป็นประจำ ถูกหินกระเด็นใส่แตกเป็นแผลยาวประมาณหนึ่งคืบ สาเหตุที่รอยแตกไม่แผ่กระจายลามไปทั้งบาน เพราะเป็นกระจกนิรภัยแบบสองชั้นประกบกันอยู่ ผมได้นำรถไปให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่าได้เกิดความเสียหายขึ้นจริง บริษัทประกันภัยอยู่ในตึกสูงดูท่าทางน่าเชื่อถือ อยู่บนถนนศรีนครินทร์ ฯสมัยที่เกิดเรื่องนี้ ผมยังไม่ได้ให้ความสนใจกับคุณภาพและความซื่อตรงของบริษัทประกันภัยรถยนต์มาทราบจากผู้รู้ในวงการ ว่าบริษัทนี้มีชื่อเสียงด้านลบมานานแล้ว
ผมนำรถเข้ารับการเปลี่ยนกระจกหน้า ที่ศูนย์บริการที่เป็น "บริษัทใหญ่" ในตัว ของรถตรานี้ จากนั้นก็ต้องนำใบเสร็จไปยืนยันเพื่อเบิกเงินค่าเปลี่ยนกระจกที่บริษัทประกันภัยอีกรอบหนึ่ง เมื่อยื่นใบเสร็จให้แก่พนักงานก็ได้คำตอบว่า เบิกค่าซ่อมได้ครึ่งเดียว ทั้งๆ ที่รถของผมมีประกันภัยประเภทที่ 1 ซึ่งบริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าซ่อมให้ทั้งหมด ท่าทางของพนักงานที่แจ้งผมว่าจ่ายค่าซ่อมให้ได้แค่ครึ่งเดียว มีพิรุธพอสมควร สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่า มันกำลังคิดอะไรอยู่ และผมควรปฏิบัติตนอย่างไร
ผมจึงแย้งด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ลูกค้าข้างเคียงได้ยินกันทั่ว ว่าผมทำประกันประเภทที่ 1 และบริษัท ฯ ต้องจ่ายค่าซ่อมเต็มจำนวน ไอ้พนักงานเจ้าเล่ห์ มันคงหมดความหวังที่จะ "ลักไก่" มันจึงแก้เก้อด้วยการอ้างว่าจะไปปรึกษาหัวหน้าของมัน ไม่มีอะไรให้ปรึกษาหรอกครับ ถ้าไปปรึกษาจริงก็แสดงว่าหัวหน้ามันสมคบคิดในการโกงลูกค้าด้วย สักพักมันกลับมา ด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย บอกผมว่าให้ไปรับค่าซ่อมเต็มจำนวนได้ที่ช่องจ่ายเงิน ผมไม่ทราบว่าในแต่ละวัน มันฉวยโอกาสฉ้อโกงลูกค้า ที่ไม่รู้กฎระเบียบได้สักกี่ราย เป็นการพยายามฉ้อโกงแบบที่เอาผิดมันยาก มันก็เหมือนกับการฉ้อโกงลูกค้าโดยการทอนเงินให้ไม่ครบ จับได้เมื่อใดก็อ้างว่านับผิดพลาด ผมตั้งคำถามว่ามันทำเป็นการส่วนตัวหรือว่าเป็นขบวนการ
คำตอบที่ได้คืออย่างหลังครับ เพราะถ้าหลอกลูกค้าได้สำเร็จ สามารถจ่ายเงินค่าซ่อมชดใช้ให้ลูกค้าเพียงครึ่งเดียว ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีทางที่เงินอีกครึ่งหนึ่งจะหล่นเข้ากระเป๋าของไอ้พนักงานเจ้าเล่ห์ได้เลย ผลประโยชน์จะตกแก่บริษัทประกันภัย มีหลักฐานครบถ้วน จะแบ่งกันอย่างไรก็ต้องมีผู้บริหารรับรู้แน่นอนครับ
เรื่องกระจกบานหน้าของรถ ถูกหินกระแทกแตกเมื่อขับทางไกล เป็นปัญหาที่พวกเราคุ้นเคยกันดีครับถ้าหินมันถูกสลัดจากดอกยางของล้อรถคันหน้า หรือหล่นลงมาจากกระบะของรถบรรทุกคันหน้า เราคงไม่แปลกใจนะครับ วิธีป้องกัน คือ รักษาระยะตาม ให้ห่างจากคันหน้า ซึ่งถึงไม่เกี่ยวกับเรื่องกระจกก็ควรทำอยู่แล้ว เพื่อป้องกันการชนท้ายคันหน้าเพราะระยะเบรคไม่พอ แต่ถ้าไม่น่าจะเป็นหินจากล้อของคันหน้าหรือคันที่ขับสวนมาก็ตาม น่าสงสัยว่าถูกซุ่มขว้างหรือยิง โดยสมุนหรือมือรับจ้างจากร้านขายกระจกครับ
ใครที่เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ คงจะพอนึกออกว่า หลังจากกระจกแตก จะพบร้านกระจกรถยนต์อยู่ห่างไปทางทิศเดียวกันไม่กี่กิโลเมตร ถ้าเป็นรถที่ใช้กระจกบานหน้าแบบสองชั้นประกบกัน (LAMINATED) รอยแตกจะไม่ลามไปมากนัก แต่ถ้าเป็นกระจกชั้นเดียวที่ใช้ความแตกต่างของอุณหภูมิ ทำให้เกิดความเครียดในเนื้อกระจก (TEMPERED) ซึ่งต้นทุนต่ำกว่าแบบกระจกสองชั้น เมื่อถูกกระแทกจนเกิดรอยร้าว มันก็จะลามไปทั่วทั้งบาน เพื่อให้กระจกแตกหลุดเป็นชิ้นเล็ก ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถ
รถที่ใช้กระจกแบบนี้ คือเหยื่ออันโอชะของร้านกระจกมหาภัยเหล่านี้ครับ เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสอดส่องดูแลครับ มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าตำรวจตั้งใจให้ความปลอดภัยแก่ประชาชน มันให้คนซุ่มยิงหินใส่กระจกหน้ารถ ทั้งๆที่บางคันยังเพิ่งออกรถที่สี่แยกเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
เมื่อหลายสิบปีก่อน ร้านรับปะยางก็จะใช้วิธีนี้เหมือนกัน โดยเอาตาปูวางบนถนนพอยางแบนก็เกือบถึงร้านปะยางพอดี แต่รถสมัยนี้ใช้ยางรุ่นไม่มียางในกันหมดแล้ว โดนตาปูหรือของแหลมทิ่มคา ก็ยังขับต่อไปได้อีกหลายชั่วโมงหรืออาจเป็นวัน เพราะยางแบบไม่ใช้ยางใน มีชั้นกันลมรั่วได้ดี การหาเงินสกปรกจากการรับจ้างปะยางจึงสูญพันธุ์ไปหมด คงเหลือแต่ร้านขายกระจกตามทางหลวงหลายแห่ง ที่ยังหากินบนความเดือดร้อนของพวกเราผู้ใช้ถนนหลวง ถ้าตำรวจทางหลวงใส่ใจอีกหน่อย มิจฉาชีพนี้ก็ไม่มีทางแพร่หลายได้เลยครับ เพราะสถิติรถที่กระจกแตกเพราะถูกหินกระทบ ในแต่ละย่าน จะบอกทันทีว่า มันเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย หรืออาชญากรรม
กลับมาที่เรื่องประกันภัยกันต่อครับ เป็นเรื่องพยายามฉ้อโกงทรัพย์เช่นเดียวกัน เกิดขึ้นกับญาติของผมคนหนึ่ง ซึ่งขับรถอยู่บนทางด่วนที่ฝนเริ่มตกและผิวถนนลื่นมาก ผมไม่แน่ใจว่าเว้นระยะห่างจากคันหน้าเพียงพอหรือไม่ เพราะรถคันที่ขับอยู่ ไถลไปชนท้ายคันหน้า รถคันหน้าที่ถูกญาติของผมขับชนท้ายมีประกันภัย ส่วนญาติผมลืมทำประกันภัย ซึ่งก็ยอมจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายเองด้วยความเต็มใจ ผู้ขับรถคันหน้าแจ้งให้ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยมาบันทึกความเสียหาย ตัวแทนจากบริษัทนี้ ซึ่งผมมาทราบทีหลัง ว่าก็คือบริษัทที่ชอบโฆษณาทางโทรทัศน์ ว่าสามารถโผล่มาถึงที่เกิดเหตุได้เร็วผิดมนุษย์นี่แหละครับ มาประเมินค่าซ่อมรถคันที่ถูกชน
หลังจากตกลงกันได้ ญาติของผมก็ได้จ่ายค่าซ่อมให้ตามที่ตัวแทนเรียกร้อง และได้ออกใบรับรองว่าได้ตกลงและยอมรับค่าชดใช้จากญาติของผมไว้เรียบร้อยแล้ว ณ ที่เกิดเหตุ ส่วนญาติของผมนำรถตนเองเข้าซ่อมกับอู่ที่คุ้นเคยกัน เป็นอันจบเรื่องเคราะห์ร้าย แต่กลับไม่เป็นเช่นนี้ครับ เพราะวันรุ่งขึ้นก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทประกันภัยของรถคันหน้าที่ถูกชน บอกว่าค่าซ่อมที่ตัวแทนประเมินและรับเงินไปเรียบร้อยแล้วนั้น ต่ำเกินไป ให้ญาติของผมจ่ายเพิ่มอีกประมาณ 2 เท่า จึงจะถูกต้อง เมื่อปรึกษากับเจ้าของอู่ที่ญาติผมนำรถของตนเองเข้าซ่อม
ก็ได้รับคำตอบว่า บริษัทประกันภัยชั่วพวกนี้ มันจะใช้วิธีนี้เป็นประจำ ใครหลงเชื่อมันก็จะเอาเงินไปจ่ายเพิ่มให้ ลืมบอกไปครับ ตอนมันโทรฯ มา มันใช้คำพูดข่มขู่ทำนองว่า ถ้าไม่จ่ายจะดำเนินการตามกฎหมาย เจ้าของอู่บอกว่าไม่ต้องไปสนใจ เพราะเราได้ชดใช้ค่าเสียหายถูกต้องครบถ้วนแล้ว เขาทำนายไว้ด้วยว่าอีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ บริษัทประกันภัยนี้ มันจะต้องส่งจม. ลงทะเบียนมาข่มขู่ต่ออีกอย่าไปตกใจกลัวมัน เพียงสามวันเองครับ มันก็ส่งจดหมายมาจริงๆ เป็นจดหมายที่พิมพ์เตรียมไว้แล้วเพียงแค่กรอกชื่อ กับจำนวนเงินที่มันเรียกร้องเพิ่มเท่านั้น พิสูจน์ได้ว่ามันปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ เนื้อหาขู่ว่า ถ้าไม่นำเงินไปจ่ายเพิ่มให้มัน มันจะถูกเรื่องฟ้องศาล
ตอนนี้ญาติของผมเลยเก็บเอกสารทุกอย่างไว้อย่างดี ใครที่ประสบเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ แล้วไม่มีภาระประจำมากนัก น่าจะฟ้องมันกลับไปด้วยให้เป็นเยี่ยงอย่าง เหตุการณ์ผ่านมาเป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้ว ก็เป็นไปตามที่เจ้าของอู่ผู้มีประสบการณ์ทำนายต่อไว้ ว่าเรื่องจะเงียบไป มันหวังผลกับคนที่ตกใจกลัว และไม่มีใครให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้เท่านั้น คนเหล่านี้แหละครับคือเหยื่ออันโอชะของพวกมัน
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53029