ชีวิตคือความรื่นรมย์
คนเก่าเล่าความหลัง
ทำไมคนเก่าชอบเล่าความหลัง เพราะคนเก่ามีความหลังเยอะ หรือเพราะเด็กๆ คิดถึงแต่ปัจจุบันและอนาคต เอาไว้ให้คุณอายุมากๆ แล้วก็จะตอบได้เองแหละ
ที่ใช้ว่า "คนเก่า" เพราะไม่อยากใช้ว่า "คนแก่" หรือ "ผู้เฒ่า" เพราะ 2 คำนั้น เด็กรุ่นใหม่เขาจะทักท้วงแบบน่ารักๆ ว่า "พูดจาหยาบคาย" (ไม่เชื่อลองถามพี่ชายของข้าพเจ้าที่ใช้นามว่า "ไก่อ่อน" หรือ "จอสยาม" ดูสิ)
ที่คนอายุมากอย่างเรา (ตีขลุมเอาไปหลายๆ คนเลย รวมทั้ง ผอ. ขวัญชัยไปด้วยแหละ อยากไว้หนวดเคราให้หน้าแก่..เอ๊ย..อาวุโสทำไม) ต้องมาเล่าความหลัง ก็เพราะมีผู้เยาว์รุ่นใหม่บางคน เขียนหรือเล่าความหลังผิดๆ น่ะซิ
ในฐานะกรรมการร่วมตัดสินชุดเกมและวาไรทีของกรรมการโทรทัศน์ทองคำ ผู้เขียนนั่งดูรายการ "เกม...." (ที่เป็นที่นิยมมากในช่วงปีก่อนๆ จนคนทำรวยเป็นเศรษฐี แต่เด็กคนดูอาจได้ความรู้ไปผิดๆซึ่งต้องโทษทีมงานผู้ค้นคว้าข้อมูลมาผิดๆ) เผอิญได้เห็นผู้เข้าแข่งขันบางคน ตอบปัญหากล้วยๆทำนองว่า "ศีลข้อ 3 ที่ว่า กาเมสุมิจฉา จารา เวรมณี" หมายถึง คำตอบข้อใดอะไรทำนองนี้ แล้วคนที่มาตอบ ก็ตอบไม่ได้ ต้องใช้ตัวช่วย แล้วตัวช่วยก็พอๆ กัน ดันไม่รู้เสียอีก ดูแล้วอเนจอนาถที่ประชาชนยุคนี้ ความรู้ทั่วไปแคบเหลือเกิน ทั้งที่อายุตั้งป่านนั้น (ราวๆ 25-30) ยังไม่สำเหนียกเรื่องศีล 5 ที่ชาวพุทธทุกคนมักจะได้ยินจนชินไปเอง แม้ไม่ได้ตั้งใจจำ
หรืออีกวันหนึ่ง มีคำถามว่า "คนที่แต่งนิราศภูเขาทอง" เป็นใคร ซึ่งในคำเฉลยดูจะมี "เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์" และ "พระยาศรีสุนทรโวหาร" อยู่ด้วย แล้วคนที่ตอบดูเหมือนไม่แน่ใจจึงขอเปลี่ยนคำถาม แต่พอพิธีกรถามว่า ถ้าจะให้ตอบเขาจะเลือกข้อไหน เขาบอกทำนองว่าเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือก เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (คนทั่วไปชอบออกพระนามท่านว่าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง) หรือเลือก พระยาศรีสุนทรโวหารดี
ข้าพเจ้าจึงถามหลานสาวที่นั่งดูอยู่ด้วย ว่าถ้าเป็นเธอ เธอจะตอบข้อใด เธอตอบว่า พระยาศรีสุนทรโวหาร ผู้เขียนจึงเฉลยว่า คำตอบที่ให้มานั้น ผิดทั้งหมดแหละ เพราะไม่มีพระยาศรีสุนทรโวหารคนใดแต่งวรรณคดีที่ว่ามา เว้นแต่ พระสุนทรโวหาร คนที่มีชื่อจริงว่า "ภู่" หรือที่คนทั่วไป ตัดเอาส่วนหนึ่งของราชทินนามมาเรียกรวมกับนามจริงของท่านว่า "สุนทรภู่" คนเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้แต่งนิราศภูเขาทอง ด้วยว่ารัตนกวีศรีรัตนโกสินทร์ท่านนี้ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 มามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นกวีที่ปรึกษาในสมัยยุคทองของวรรณคดีไทยคือ ในรัชกาลที่ 2 แล้วออกนิราศแรมรอนไปทั่วในรัชกาลที่ 3 โดยเข้าใจกันว่า ท่านเกรงราชภัย แล้วกลับมารับราชการใหม่ในรัชกาลที่ 4 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมอาลักษณ์ (ท่านเกิด 26 มิถุนายน 2329 หลังสร้างกรุงเทพ ฯ 4 ปี สิ้นชีวิต ปี 2398 อายุ 70 ปี มีผู้เข้าใจว่า สกุลที่สืบมาจากท่านใช้นามสกุลว่า "ภู่เรือหงษ์" หรือ "ภู่ระหงษ์" แต่เพื่อนผู้เขียนซึ่งแต่งกลอนได้รับรางวัล "วันแม่" มาแล้ว ไม่ยอมรับว่าจริงหรือไม่)
ส่วน พระยาศรีสุนทรโวหาร คนที่มีนามจริงว่า "น้อย" นามสกุลเดิมว่า "อาจารยางกูร" ที่เราจำๆ กันว่า "พระยาศรีสุนทรโวหาร" (น้อย อาจารยางกูร นั้น ท่านมีชีวิตในช่วงรัชกาลที่ 4-5-6 (พศ. 2364-2434) เป็นผู้แต่งตำราที่เรานับถือว่าเป็นแม่แบบตำราหลักภาษาไทยสำคัญ 5 เล่ม ที่ชื่อ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษร-ประโยค สังโยคพิธาน และ พิศาลการันต์ และเป็นผู้แต่งคำประพันธ์กาพย์ฉบัง 16 อันไพเราะให้เรามาท่องตอนไหว้ครู "ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์
.." รวมทั้งบทสวดมนต์อินทรวิเชียรฉันท์ 11 ที่ว่า "องค์ใดพระสัมพุทธวิสุทธสันดาน.." หรือกาพย์ฉบัง 16 ที่ว่า "ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล.." หรือ "สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏิบัติมา แต่องค์สมเด็จภควันต์.."
(ส่วนบทสวดที่แปลจากคาถาพาหุงตอนแรก มาเป็นวสันตดิลกฉันท์ 14 ที่ว่า "ปางเมื่อพระองค์ปรมพุทธ สุวิสุทธศาสดา ตรัสรู้อนุตตรสมา- ธิณโพธิบัลลังก์.." นั้นเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6)
ส่วน พระยาศรีสุนทรโวหาร อีกคนหนึ่งที่มีนามเดิมว่า "ผัน" นามสกุลเดิม "สาลักษณ์" หรือที่นักวรรณคดีท่องชื่อท่านติดปากว่า "พระยาศรีสุนทรโวหาร" (ผัน สาลักษณ์ นั้นท่านเป็นนักปราชญ์ทางกวีนิพนธ์อีกคนหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 (พศ. 2424-2466) เป็นผู้แต่ง อิลราชคำฉันท์ ซึ่งก็เป็นวรรณคดีที่งดงามอีกเรื่องหนึ่งในประวัติวรรณคดีไทย
ผู้เฒ่าจึงจำเป็นต้องมาบ่น ด้วยความเป็นห่วงเยาวชนของชาติในยุคนี้ ที่รู้เรื่อง ลอร์ด ออฟ เธอะริง และแฮร์รี พอทเตอร์ เป็นอย่างดี (แต่การรู้ดีที่ว่านี้ ก็เป็นการดี ดังเหล่าแฟนพันธุ์แท้ที่มาแสดงความรู้"รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล" ได้รับรางวัลจากรายการไปนับสิบนับร้อยหรือได้สมบัติเป็นหลายล้านอย่างน้องเดียว-เด็กชายพัทธดนย์ อายุ 5 ขวบ แต่รู้จักภาพและประวัติคนทั่วโลกอย่างน่าทึ่งในความจำที่เป็นอย่างอัจฉริยะนั้น ทำเอารายการ "เกมทศกัณฐ์เด็ก" มีคนติดตามช่อง 9 อสมท. ทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ มากกว่าวันธรรมดา)
การทักท้วงข้อมูลทางวิชาการไม่ถือว่าเป็นการทำลายกัน เพราะถ้าเห็นผิดแล้วไม่ทักท้วง คนไม่รู้ก็จะจำไปผิดๆ และเผยแพร่ต่อๆ ไป ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น นักปราชญ์จึงถือว่า"วิทยาทาน" เป็นการให้ที่วิเศษ อย่างที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า "สัพพทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" ซึ่งแปลว่า "ในบรรดาการให้ทั้งหลาย การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง" คำว่า "ธรรมะ" ก็คือ ความรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง (ไม่ได้หมายความเฉพาะ "คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" อย่างที่เป็นความหมายโดยแคบอย่างเดียว)
ศาสตราจารย์พิเศษ เรืออากาศตรี ดร. แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญการแต่งเพลง การดนตรี จนได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีสากลประจำปี 2535 (เจ้าของเพลง "รักเอย"..รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน ฯลฯ..) เคยกรุณาให้ความรู้ผู้เขียนว่า คำว่า "คีต" นั้น ไม่ได้หมายถึงการดนตรีโดยตรง หากหมายถึง "เพลงขับ" หรือ "การขับร้อง" ฉะนั้น การที่มีคนมาใช้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "คีตราชัน" นั้น ออกจะไม่ตรง เพราะพระองค์ท่านมิใช่นักร้อง พระองค์ท่านไม่ทรงขับร้อง หากแต่ทรงแต่งทำนองเป็นส่วนใหญ่ (อาจารย์แมนรัตน์ท่านเป็นหนึ่งในบรรดานักดนตรีวง อส. ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่ควรบอกกล่าวให้ถูกต้อง ท่านจึงบอกโดยตรง)
ผู้เขียนจำเรื่องนี้ไว้เป็นความรู้อย่างแม่นยำ และพยายามระมัดระวังว่า จะไม่ด่วนเรียกใครที่เป็นนักแต่งเพลงว่าเป็น "คีตกวี" อีก มาอ่านสกุลไทยฉบับที่ 2707 (สำหรับ 5 กันยายน 2549 แต่วางตลาดเมื่อ 28 สิงหาคม 2549) เห็น คุณหมอโชติศรี ท่าราบ (หรือผู้ใช้นามปากกา จิ๋ว บางซื่อ เขียนวิจารณ์ดนตรี ใน "ชาวกรุง" ยุคกระเดื่องกรุง หรือที่ใช้นามปากกา "เนือง" เขียนคอลัมน์ "ทีวีวาที" ในหน้า 79 ของ "มติชน สุดสัปดาห์" ทุกสัปดาห์ตอนนี้) กรุณาให้ความรู้ ผศ. ดร. ญาดา (อรุณเวช) อารัมภีร ว่าการที่มีคนเรียกนักแต่งเพลงอย่าง เบโธเฟน หรือ โชแปง ว่าเป็น "คีตกวี" นั้นไม่ถูกต้อง เพราะ 2 ท่านนั้น ไม่ได้แต่งเพลงขับร้อง ป้าเนืองให้ความรู้ว่า ควรใช้คำว่า "ดุริยกวี" จะถูกกว่า ผู้เขียนขอโดยสารขอบพระคุณคุณป้าหมอตามอาจารย์ญาดามา ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52964