โลกติดล้อ
แฟร์รารี เจ้าตำนาน "ม้าลำพอง"
บรรดาแฟนๆ รถแข่ง ฟอร์มูลา วัน หรือ เอฟ วัน ทุกคนต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับตราสัญลักษณ์ "ม้าลำพอง" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของรถยนต์ แฟร์รารี (FERRARI) อันประกอบไปด้วยโล่สีเหลือง มีเส้นกรอบสีดำ เหนือโล่มีเส้นสีแดง และภายในโล่สีเหลืองมีรูปม้าสีดำในลักษณะ ยกขาหน้าทั้ง 2 ข้างขึ้น (เหมือนอาการม้าพยศ) และมีตัวอักษร S และ F สีดำระหว่างขาหลังข้างซ้ายของม้า
SF ย่อมาจากคำว่า สกูเดรีอา แฟร์รารี (SCUDERIA FERRARI) รูป "ม้าลำพอง" นี้แรกเริ่มเดิมทีเป็นสัญลักษณ์ของเคาน์ท ฟรันเชสโก บารักกา (COUNT FRANCESCO BARACCA) เป็นนักบินเครื่องบินปีก 2 ชั้น มือฉกาจในกองทัพอากาศอิตาลี ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 บารักกา ติดรูป "ม้าลำพอง" นี้ไว้ตรงด้านข้างของเครื่องบิน เป็นรูปนำโชค
ในวันที่ 19 มิถุนายน 1918 บารักกา ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเครื่องบินถูกยิงตกขณะปฏิบัติภารกิจหลังจากที่มีชัยชนะในการรบถึง 34 ครั้ง ซึ่งรวมทั้งการบินเดี่ยว/หมู่ ได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นวีรบุรุษของประเทศ
เหตุผลที่ต้องการติดรูป "ม้าลำพอง" ไว้บนเครื่องบิน เนื่องจากฝูงบินของเขา คือ บัตตัลโญเนอาวีอาโตรี (BATTAGLIONE AVIATORI) สังกัดอยู่ในกองพันทหารม้านั่นเอง ยุคแรกๆ ยังไม่ได้แยกตัวออกเป็นกองทัพอากาศ อีกทั้ง ท่านเคานท์ ได้รับการยกย่องให้เป็นอัศวินมือหนึ่งในฝูงบินของเขา
ตราของ สกูเดรีอา แฟร์รารี ซึ่งตรงกับตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท (STUTTGART) การที่เลือกใช้ม้าเป็นสัญลักษณ์ อาจเป็นเพราะว่าตระกูลของเขาเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นเจ้าของม้าจำนวนมากที่ ลูโก ดี โรมันญา (LUGO DI ROMAGNA) หรือ อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า บารักกา อาจลอกแบบมาจากเครื่องบินเยอรมันที่ยิงตก ซึ่งมีตราประจำเมืองติดอยู่ และที่น่าสนใจ ก็คือ รถสปอร์ทที่ผลิตในเมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี ที่มีชื่อว่า โพร์เช ก็ใช้สัญลักษณ์ "ม้าลำพอง" ซึ่งได้แรงบันดาลใจของตราประจำเมืองเช่นกัน
ที่น่าอัศจรรย์ใจ ก็คือ กว่าร้อยปี ที่คำว่า "ชตุทท์การ์ท" ได้ถูกดัดแปลงมาจากคำว่า "ชตุเทนการ์เทน (STUTENGARTEN)" ซึ่งคำในภาษาเยอรมันโบราณ คือ เกชตึท (GESTUET) และตรงกับภาษาอิตาเลียนว่า สกูเดรีอา (SCUDERIA) แต่ความหมายของทั้ง 2 ภาษานี้ ตรงกัน คือ อุทยานของม้า หรือ ฟาร์มผสมพันธุ์ม้า
17 มิถุนายน 1923 เอนโซ แฟร์รารี (ENZO FERRARI) ชนะการแข่งรถที่สนาม ซาวีโอ (SAVIO) ในราเวนนา (RAVENNA) และได้มีโอกาสรู้จักกับ เคาน์เตสส์ ปาโอลีนา (COUNTESS PAOLINA)มารดาของ บารักกา พูดหว่านล้อมให้ติดรูปม้าบนรถแข่ง บอกว่าจะนำโชคมาให้
หลังจากนั้นเป็นเวลาถึง 11 ปี ในปี 1932 อัลฟา (ALFA) ยินยอมให้ติดรูปม้าบนรถ สกูเดรีอา ในการแข่งรถสปา 24 ชม. (SPA 24 HOURS) ซึ่ง เอนโซ ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม เขาใช้รูป "ม้าลำพอง" สีดำเช่นเดียวกับที่ปรากฏอยู่บนเครื่องบินของ บารักกา ผิดแต่รูปม้าวางบนพื้นสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่แสดงสัญลักษณ์ของสถานที่เกิดของเขา คือ เมืองโมเดนา (MODENA)
รูป "ม้าลำพอง" หาได้เป็นสัญลักษณ์ของ แฟร์รารี เพียงอย่างเดียว แต่อาจพบได้บนรถจักรยานยนต์ ดูกัตตี (DUCATTI) ที่ ฟาบีโอ ตากิลโญนี (FABIO TAGLIONI) นำไปใช้เช่นกัน เนื่องจากว่าบิดาเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับ บารักกา ในฝูงบินที่ 91 นั่นเอง
หลังจากที่ แฟร์รารี ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดัง รถจักรยานยนต์ ดูกัตตี ก็ตัดสินใจเลิกใช้รูป "ม้าลำพอง" อาจเป็นเพราะทั้ง 2 บริษัท ตกลงกันก็ได้ ปัจจุบันรูป "ม้าลำพอง" จึงเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์ แฟร์รารี
หากไม่ใช่เป็นเพราะ เอนโซ แฟร์รารี ก็คงไม่มีเรื่องราวตำนานแห่งความยิ่งใหญ่ของรถยนต์ แฟร์รารีเกิดขึ้น เอนโซ เป็นคนมีระเบียบ วินัยจัด และเป็นนักต่อสู้ตัวฉกาจ เขามีวิศวกร และทีมนักออกแบบรถยนต์มือดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในอิตาลี ทำงานร่วมกับเขา เอนโซ เกิดที่โมเดนาปี 1898 บิดาเป็นวิศวกรที่ฝักใฝ่ และทุ่มเทให้กับงานด้านยนตรกรรมเช่นกัน เอนโซ ปล่อยโอกาสที่จะเข้าเรียนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์โดยเลือกทำงานให้กับบริษัทผู้บุกเบิกด้านอุตสาหกรรมหลายบริษัทในอิตาลี และก่อนที่จะเข้าร่วมทำงานกับ อัลฟา โรเมโอ (ALFA ROMEO) ในปี 1920 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เอนโซ หลงใหลในการแข่งรถ เนื่องจากต้องทำหน้าที่เป็นนักขับรถแข่งให้กับ อัลฟา นั่นเอง และในปีเดียวกันนั้น เอนโซ ได้เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 2 ในการแข่งขันที่ ทาร์กา ฟโลรีโอ (TARGA FLORIO)
ตั้งแต่ปี 1923 เป็นต้นมา เอนโซ หันมาสนใจในด้านการจัดการองค์กรมากกว่า การเป็นนักขับรถแข่งตรงนี้จุดประกายให้เขาเป็นนักวางแผนที่ยอดเยี่ยม และได้อำลาจาก อัลฟา โรเมโอ เริ่มจัดตั้งทีมรถแข่งขึ้นมา ในปี1929 สกูเดรีอา แฟร์รารี ก็ได้ถือกำเนิด ทำหน้าที่เป็นทีมขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ และ อัลฟา ทำหน้าที่ออกแบบ และพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ออกมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัญลักษณ์ "ม้าลำพอง" ได้เริ่มปรากฏตัว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นจนหลังปี 1930 ที่รัฐบาลเยอรมนีได้ลงทุนให้ เมร์เซเดส-เบนซ์ และ เอาโท-อูนีโอน จีพี (AUTO-UNION GP) ลงแข่งขัน ซึ่งต่อมาผลงานของ อัลฟา โรเมโอ ก็ไม่อาจเทียบรัศมีได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง แฟร์รารี และ อัลฟา โรเมโอ ตกอยู่ในสภาพที่บอบช้ำ เอนโซ จึงตัดสินใจสร้างรถยนต์ โดยมีหัวหน้าทีมออกแบบเครื่องยนต์ โจอักกีโน โกลมโบ (GIOACCHINO COLOMBO) ผู้ค้นคิดเครื่องยนต์ วี 12 ให้มีชื่อเสียงโด่งดัง และรถ แฟร์รารี หลายรุ่นใช้เครื่องยนต์ชนิดนี้ในเวลาต่อมา เครื่องยนต์ วี 12 รุ่นแรกมีขนาด 1.5 ลิตร ถูกออกแบบให้มีเพลาลูกเบี้ยวเดี่ยวเหนือฝาสูบ (SINGLE OVERHEAD CAM) เสร็จสมบูรณ์ในปี 1947 ติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถสปอร์ท 2 ที่นั่งรุ่น 125 และรถแข่ง ฟอร์มูลา วัน รุ่นใหม่ของ แฟร์รารี
แฟร์รารี ทุกรุ่นที่วิ่งอยู่บนถนน จะใช้ตัวเลข และตัวอักษรเป็นชื่อเรียกในแต่ละรุ่น ปีต่อมาระบบดังกล่าวก่อให้เกิดความสับสน และขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง ตัวเลขที่นำมาใช้จะเกี่ยวข้องกับความจุในปริมาตรที่เป็นลูกบาศก์ของกระบอกสูบ 1 ลูกในเครื่องยนต์ ตั่งแต่ปี 1957 เป็นต้นมา ตัวเลขจะเกี่ยวข้องกับขนาดของเครื่องยนต์เป็นจำนวนลิตร และจำนวนกระบอกสูบที่ใช้ ยกเว้นในบางครั้งที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้
อิทธิพลของ โกลมโบ ได้ฝังแน่นอยู่กับ แฟร์รารี จนหลังปี 1960 แม้ว่าเขาได้ลาออกไปแล้วตั่งแต่ปี 1950 ก็ตาม ผู้เข้ามาทำหน้าที่แทน คือ อาอูเรลีโอ ลัมปเรดี (AURELIO LAMPREDI) ขณะนั้นเครื่องยนต์ วี 12 ได้ถูกพัฒนาให้มีความจุมากขึ้นถึง 1,955 ซีซี และติดตั้งในรถยนต์สปอร์ทรุ่น ติโป 166 (TIPO 166) รุ่นนี้สามารถดัดแปลงให้เป็นรถแข่งได้อย่างง่ายดาย เพียงถอดโคมไฟหน้ารถและบังโคลนชนิดวงออกไป ในปี 1948 หลังจาก บีโอเนตตี (BIONETTI) มีชัยชนะใน มิลล์ มิลญา (MILLE MIGLIA) ใช้อักษรย่อ เอมเอม (MM) ในขณะที่รุ่นใหญ่กว่า 195 อินแตร์ (195 INTER) ต่อมาในปี 1951 ได้ถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกมีความจุ 2,562 ซีซี เป็น 212 อินแตร์ (212 INTER)
แฟร์รารี มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่นแรกมีความจุ 4,101 ซีซี ในรุ่น 340 อเมริกา (340 AMERICA) เครื่องยนต์ วี12 ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ และเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ ลัมปเรดี ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีส ปี 1953 และ แฟร์รารี ได้เปิดตัวรุ่นที่มีชื่อเสียงเป็นครั้งแรก คือ 250 ยูโรปา (250 EUROPA) และต่อมาเปิดตัว 250 จีที (250 GT) ในปี 1956 ได้เปิดตัว 250 จีทีคูเป (250 GT COUPE) ตัวถังออกแบบโดย ปินินฟารีนา (PININFARINA)
รถยนต์ แฟร์รารี ที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยม คือ 250 จีที แบร์ลิเนตตา (250 GT BERLINETTA) ที่ ปินินฟารีนา ได้ออกแบบรุ่นนี้ เปิดตัวในปี 1959 นักขับรถแข่งชื่อ สเตอร์ลิงค์ มอสส์ (STIRLING MOSS) ขับรถ และได้ชัยชนะถึง 2 ครั้ง ในการแข่งขัน ทัวริสต์ ทโรฟี (TOURIST TROPHY) ทำให้รุ่นนี้โด่งดังมากในอังกฤษ ในปี1964 ได้ผลิต 275 จีทีบี คูเป (275 GTB COUPE) และ 275 จีทีเอส สไปเดอร์ (275 GTS SPYDER) ในปี 1969 รุ่น 246 จีที ( 246 GT) และในปี 1972 คือ รุ่น 246 จีทีเอส คอนเวอร์ทิเบิล แบบเปิดประทุน (246 GTS CONVERTIBLE) ทุกรุ่นที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้ แฟร์รารี ทั้งหมด
รถยนต์ แฟร์รารี ชนิดขับเคลื่อนล้อหน้าที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นรุ่นที่ประทับใจที่สุด คือ 365 จีทีบี/4 เดย์โทนา (365 GTB/DAYTONA) ซึ่งได้เปิดตัวในปี 1968 และได้รับการยกย่องว่าเป็นรุ่นที่สรุปความเป็น "ม้าลำพอง" ได้อย่างไร้ที่ติ
เรื่องโดย : สถาพร สุทัศน์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52874