บทความ
น้ำมัน
เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาเกือบจะครบศตวรรษอยู่แล้ว ไม่เคยพบเคยเห็นราคาน้ำมันมันแพงถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แพงอย่างเดียว ยังมีการปรับราคาขึ้นได้ขึ้นดี เกือบจะเป็นรายวันเสียอีก
วันนี้ราคาน้ำมันเบนซินกับราคาน้ำมันดีเซลกำลังทำสถิติสูงสุดไล่กันอยู่ ใกล้จะถึงลิตรละ 25 บาทเข้าไปเต็มทีแล้ว และในวันข้างหน้าอีกไม่ไกลเท่าไร่นัก มีคนบอกว่าทั้งราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดีเซลมีโอกาสที่จะทะยานขึ้นไปแตะถึงราคาลิตรละ 30 บาทเอาด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เนื่องมาจากการที่รัฐบาลตัดสินใจปล่อยให้ราคาน้ำมันทั้ง 2 ชนิดนี้เป้นราคาลอยตัวจะขึ้นจะลงและมีราคาเท่าไรก็เป็นเรื่องของกลไกตลาดโดยยึดเอาราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นตัวกำหนด
ราคาน้ำมันเบนซินลอยตัวไปก่อน จากนั้นราคาน้ำมันดีเซลจึงลอยตัวตามโดยมีเงื่อนไขที่ฟังแล้วก็มึนอยู่เหมือนกัน เพราะบอกว่าเป็นการลอยตัวแบบมีระบบจัดการ
เหตุที่ต้องมีการปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัว ก็เพราะรัฐสุดที่จะทนแบกภาระจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างของราคาน้ำมันภายใต้การควบคุมมาก่อนให้กับผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ซึ่งปรากฏว่า ถึงวันที่ประกาศปล่อยราคาน้ำมันลอยตัว รัฐต้องจ่ายค่าชดเชยราคาน้ำมันไปทั้งหมดกว่า 9,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
การปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัวจนราคาน้ำมันสูงลิบลิ่วอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นผลให้เกิดผลกระทบต่ออะไรมิอะไรอย่างกว้างขวาง และเป็นปัญหาที่จะต้องตามแก้กันอีกไม่รู้ว่ากี่ปัญหาต่อกี่ปัญหา
ที่แน่ๆ เรื่องของราคาสินค้าทั้งอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งประเทศกำลังขยับเนื้อขยับตัวขอปรับราคาขึ้นกันเป็นแถวๆ เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนหลักในการผลิตสินค้าแทบทุกชนิด
จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็มาถึงเรื่องราคาในภาคบริการ ทั้งระบบการขนส่ง ระบบรถโดยสารสาธารณะต่างก็ออกมาขอปรับราคาขึ้นเป็นแถว ขนาดที่ว่าถ้าไม่ยอมให้ปรับราคาขึ้นก็จะต้องขึ้นราคากันให้ได้ เป็นไงก็เป็นกัน เพราะสุดที่จะทนแบกภาระการขาดทุนต่อไปไม่ไหว
แม้แต่ค่าไฟฟ้า อันเป็นบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการอยู่ก็ยังทนไม่ไหวต้องปรับขึ้นราคาไปเรียบร้อยแล้ว ยังจะตามมาอีกทั้งค่าน้ำประปา ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ
ที่สำคัญที่สุด สภาวะเศรษฐกิจของชาติ กำลังตกอยู่ในสภาพที่ง่อนแง่นน่าเป็นห่วง ไม่ใช่น้อยเพราะใช้น้ำมันกันมาก ราคาก็แพงมากอย่างนี้ ทำให้เกิดการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศอย่างรุนแรง แถมยังจะต้องขาดดุลการชำระเงินอีกต่างหาก สภาพอย่างนี้ถ้าแก้ไขกันไม่ถูกทิศถูกทางมีหวังเศรษฐกิจของชาติที่กำลังอยู่ในสภาพกำลังจะฟื้นตัวมีโอกาสพัง...เป็นโรค "ต้มยำกุ้ง" เอาง่ายๆ
อีกครั้งในเร็ววันนี้
ที่รัฐกำลังขะมักเขมันทำกันอยู่ในวันนี้ก็คือ รณรงค์ให้เกิดการใช้น้ำมันกันอย่างประหยัด เพื่อจะได้ลดปริมาณการใช้น้ำมันลง จะได้เสียเงินซื้อน้ำมันลงน้อยลงไปอีกหน่อย แต่ก็เป็นการกระทำในลักษณะไม่ค่อยเป็นมรรคเป็นผลเท่าไรนัก เพราะทำในลักษณะขอความร่วมมือด้วยความสมัครใจ เห็นได้ชัดจากการรณรงค์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้ไฟฟ้า ปิดแอร์วันละ 1 ชม. บ้างปิดไฟ 1 ดวง เป็นเวลา 5 นาทีบ้าง ขับรถใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ ชม. บ้าง ก็ได้ผลเพียงแต่ในวันแรกที่ทำการรณรงค์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เข้าอีหรอบเดิม ยังคงปรากฏให้เห็นว่า ความฟุ่มเฟือยยังคงเดินหน้าต่อไป แถมยังสิ้นเปลืองมากกว่าเดิมเสียอีก ว่ากันว่าอัตราการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นมีถึงระดับมากกว่ากันเกิน 100 % ทีเดียว
เมื่อการต้องการให้เกิดการประหยัดการใช้พลังงานการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในลักษณะการขอความร่วมมือด้วยความสมัครใจไม่เป็นผลอย่างนี้ ก็ต้องหาวิธีการใหม่ ซึ่งก็คงไม่หนีต้องเอาวิธีการบังคับมาใช้กันจะเป็นการบังคับกันโดยตรงหรือโดยทางอ้อมต้องมาว่ากันอีกที
แล้วรัฐก็หันมามองหาตัวการที่ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองในการใช้พลังงานและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตัวจริงเสียงจริงกันเสียที ซึ่งก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ธรรมดายวดยานพาหนะหรือฟันธงไปได้เลยว่า รถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในประเทศนี่แหละตัวการหลักที่จะมองข้ามไปเสียมิได้
ทุกวันนี้ มีรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ทั่วประเทศหลายล้านคัน แถมในแต่ละเดือนยังมีคนขยันซื้อรถใหม่ๆมาใช้กันอีกเดือนละเฉียด 60,000 คันอีกต่างหาก
ต้องหันมาเน้นกันอย่างจริงจังที่จุดนี้ น่าจะเป็นผลให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิงได้มากที่สุด
กับรถยนต์ใหม่ๆ มีความดำริเกิดขึ้นว่า น่าจะหาทางให้คนซื้อรถยนต์มาใช้กันให้น้อยลงกว่านี้และการที่จะทำให้คนไม่อยากซื้อรถยนต์มาใช้กันอย่างสนุกมือก็คือ ต้องทำให้รถยนต์มีราคาแพงขึ้นไปอีก จะทำให้รถมีราคาแพงขึ้นก็ต้องใช้มาตรการปรับภาษีสรรพสามิตกับรถยนต์ใหม่กันอีกครั้งคิดเอาไว้ว่าจะปรับภาษีสรรพสามิตกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงที่มีขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,800 ซีซี ขึ้นไปจะเป็นการเหมาะสมที่สุดจากที่เดิมที เคยกำหนดเอาไว้ว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,000 ซีซี ขึ้นไปเป็นรถที่อยู่ในข่ายใช้น้ำมันเปลือง ตอนนี้ขนาด 1,800 ซีซี ก็ต้องถือว่าเปลืองน้ำมันด้วยเหมือนกัน
และก็เพราะว่า ทุกวันนี้ รถประเภทรถกระบะหรือรถพิคอัพ ซึ่งใช้น้ำมันดีเซลเป็นส่วนใหญ่ผู้คนหันมาให้ความนิยมและซื้อหามาใช้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีปริมาณการซื้อรถใหม่มาใช้กันถึงเดือนละเกือบ 40,000 คัน อย่างนี้ก็ต้องขึ้นภาษีสรรพสามิตขึ้นไปอีก ซึ่งจะทำให้รถราคาแพงขึ้น คนจะได้ลดปริมาณการซื้อการหากันลงไปเสียที
ส่วนรถยนต์เก่าที่ใช้วิ่งกันอยู่ตามท้องถนนที่มีจำนวนเป็นล้านๆ คันนั้น ก็ต้องนำเอามาตรการนี้มาใช้นั่นก็คือการตีกรอบให้ใช้กันลดน้อยลงไปกว่าเดิม อาจจะมีการกำหนดการนำรถยนต์เข้าไปใช้ในบางพื้นที่ หรือไม่ก็ถ้าจะให้ได้ผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ต้องกำหนดไปเลยว่ารถที่มีเลขทะเบียนเป็นเลขคี่และเลขคู่สามารถใช้ได้ตรงกับวันที่เป็นเลขขี่หรือวันที่เป็นเลขคู่ อย่างนี้ลดปริมาณรถที่ใช้กันตามท้องถนนไปได้ถึงครึ่งหนึ่งทีเดียว ถ้าทำได้อย่างนี้ประหยัดน้ำมันได้แน่นอน แต่ว่าถ้านำเอามาตรการนี้มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีหรือกำหนดกรอบการใช้รถวิ่งตามท้องถนนผลที่ตามมาคงจะหนีไม่พ้นสถานการณืตลาดรถยนต์ที่จะกระทบกระเทือนอย่างแรงแน่นอน
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52563