อย่าโยนบาปให้พวกเรา !

ถามว่า ทำไมบ้านเราจึงมาเกิดวิกฤตราคาน้ำมัน โดยเฉพาะดีเซลในช่วงนี้ และทำไมจึงส่งผลกระทบกว้างขวางรุนแรงขนาดนี้ ?!? คำตอบคือ เพราะรัฐบาลไม่ยอมปล่อยให้ราคาดีเซลลอยตัวไปตามต้นทุนที่แท้จริงเสียแต่แรกกลับตรึงไว้แล้วใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นตัวช่วยชดเชย จนกลายเป็นกองหนี้มหึมาเกือบแสนล้านนั่นแหละจึงยอมคลายลอคราคา แต่ยังไม่วายโอบอุ้มต่อไป โดยดึงส่วนต่างของราคาเบนซินที่ควรจะต่ำกว่านี้ได้มาทดแทน เห็นว่าอีกเดือนสองเดือนจะปล่อยดีเซลลอยตัวเต็มที่ เพราะเอาไม่อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่ากรณี "สุริยะ-สุริยา" จะทำให้ต้องเปลี่ยนแผนหรือเปล่า ?!? บ้านเราก็เป็นเสียอย่างนี้ เอาการเมืองนำหน้าในการแก้ปัญหาไปทุกเรื่อง ทำให้ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หลงใหลอยู่กับมายาภาพที่รัฐบาลเสกสรรค์ขึ้น แทนที่จะอยู่กับข้อเท็จจริง และปรับตัวไปตามความเป็นจริง โดยเฉพาะความเป็นจริงที่ว่า ตอนนี้ทุกที่ในโลกราคาดีเซลมันแพงกว่าเบนซินแล้ว ถามอีกว่า ทำไมก่อนหน้านี้คนจึงหันไปใช้รถพิคอัพกันจนบริษัทขายรถแห่ย้ายฐานการผลิตมาอยู่เมืองไทยเป็นว่าเล่น คำตอบที่ได้ก็เหมือนกันคือเพราะรัฐบาลตรึงราคาดีเซลไว้นานจนโครงสร้างตลาดรถยนต์บิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็น เนื่องจากมีคนจำนวนมากมายในรอบหลายปีนี้ที่ตัดสินใจซื้อรถพิคอัพ เพราะเติมดีเซลซึ่งราคาถูกแทนที่จะซื้อรถเก๋งคันเล็กๆ ตามความต้องการแท้จริง ทำไปทำมาเกิดปัญหา "งูกินหาง" ในเมื่อเคยส่งเสริมให้ใช้ดีเซลกันอย่างเอิกเกริก พอดีเซลแพงอุ้มไม่ไหวอั้นไม่อยู่ จะกลับลำ เลิกสนับสนุนเอาดื้อๆ ได้ไง ?!? หวยเลยทำท่าจะไปออกที่รถเก๋งขนาด 1,800 ซีซี ! ถึงแม้จะไม่ได้ออกมาเป็นหนึ่งในมาตรการประหยัดพลังงานจริงๆ แต่อย่างน้อยก็มีคนของรัฐคิดละครับว่า ไอ้รถเก๋งเครื่องเบนซินขนาดนี้ขายได้เยอะเป็นตัวผลาญน้ำมัน ควรจะต้องขึ้นภาษีสรรพสามิตมันซะให้เข็ด โทษที...คิดได้ไง และทำไมเพิ่งคิดได้ตอนนี้ ?!? โชคดีที่ใครสักคนในรัฐบาลยังพอมีสติอยู่บ้าง จึงระงับมาตรการนี้ไป แต่ผมขอพูดเผื่อไว้เลยว่ากรุณาอย่ามาสร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมรถยนต์ ด้วยการปรับนั่นเปลี่ยนนี่เอาตามอำเภอใจโดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างโครงสร้างภาษี ซึ่งเพิ่งปรับเปลี่ยนไปไม่ถึงปี และโปรดย้อนไปดูคำถามคำตอบข้างต้นด้วย เพื่อจะได้เห็นว่าปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันนั้นไม่ได้เกิดจากคนใช้รถ หรือรถประเภทใดทั้งสิ้น ฉะนั้น อย่าโยนบาปให้เรา และลงโทษเราในบาปที่ท่านก่อไว้เอง !