ทดสอบ(formula)
โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ 2.7 วี
ข้อเด่น
- ภายนอกสวย ลงตัวทุกสัดส่วน
- ภายในสะดวกสบาย เทียบเท่าเอสยูวีหรู
- เครื่องยนต์เงียบ
- ราคาถูกกว่ารุ่นดีเซล
ข้อด้อย
- ช่องแอร์หลังอยู่ด้านล่าง พับเบาะแถวที่ 3 แล้ว ใช้ไม่ได้
ฟันธง
- หน้าตาดี เครื่องยนต์เงียบ ภายในกว้างสบาย
รถกิจกรรมกลางแจ้ง หน้าใหม่ ที่ฉีกแนวจากสปอร์ทไรเดอร์ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ระบบรองรับแบบคอยล์สปริง และเครื่องยนต์ 163 แรงม้า
ฟอร์ทูเนอร์ (FORTUNER) เป็นรถเอสยูวี รุ่นใหม่ ที่ โตโยต้า ฯ พัฒนาขึ้นมาจากพิคอัพ วีโก (VIGO) และนำมาแทน สปอร์ทไรเดอร์ (SPORT RIDER) ซึ่งเป็นพีพีวี หรือรถที่มีพื้นฐานมาจากพิคอัพรูปแบบเดิมๆ
ภายนอก
เท่ดุ ต่างจาก วีโก
4 ดาว
แม้ว่าจะมีพื้นฐานมาจาก วีโก แต่การออกแบบตกแต่งปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่โดยเน้นมาดสปอร์ทมากขึ้น ทั้งกันชน โคมไฟ และกระจังหน้า พร้อมทั้งแนวเสา "ซี" ตัดเฉียงคล้ายกับ เลกซัส อาร์เอกซ์ 300 ทำให้ ฟอร์ทูเนอร์ มีส่วนท้ายสั้นกระชับไม่เทอทะเหมือนรถพิคอัพดัดแปลงรุ่นเก่าๆ
เมื่อเปรียบเทียบขนาดกับ สปอร์ทไรเดอร์ มีมิติตัวถังของ ฟอร์ทูเนอร์ ที่สั้นกว่าแต่กว้างกว่า 50 มม.
รูปทรงโค้งมน ลดเสียงลมปะทะ โคมไฟหน้าคู่ขนาดใหญ่กว่า วีโก กระจังหน้าแบบชั้นทำให้หน้าตาดูดีขึ้น และกันชนใหม่ออกแบบรับกับตัวรถพร้อมไฟตัดหมอกทรงกลมขนาด 5 นิ้ว ที่เน้นมาดดุสไตล์เอสยูวี
เสาอากาศแบบฝังซ่อนในกระจกหน้าต่างด้านท้าย ไฟท้ายแบบเลนส์ใส และสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรค แอลอีดี ทำได้เรียบร้อยและบอกถึงความตั้งใจของผู้สร้าง ล้ออัลลอยลาย 6 ก้าน ขนาดใหญ่ พร้อมยางขนาด 265/70/16 ที่ให้มาก็พอใช้ แต่ที่ไม่ควรใส่ก็พวกโครเมียมที่กระจกมองข้าง และมือจับประตูแบบดึงเปิด กับบันไดข้างที่คล้ายพิคอัพ
ภายใน
น้องๆ เอสยูวีระดับหรู
4 ดาว
มาตรวัดเรืองแสง มองเห็นชัดเจนทั้งกลางวัน/กลางคืน ระบบเครื่องเสียงคุณภาพดี เล่นวิทยุ/เทปและซีดี 6 แผ่น พร้อมระบบ MP3 ลำโพง 6 ทิศทาง และลำโพงทวีเตอร์ 2 ตำแหน่งคันเกียร์อัตโนมัติแบบขั้นบันได ใช้งานง่าย
อุปกรณ์มาตรฐานเพียบ ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงข้อมูลจากการขับที่บอกทั้ง อุณหภูมิ และอัตราสิ้นเปลือง พวงมาลัยแบบมัลทิฟังค์ชัน พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียง และจอแสดงข้อมูล ที่แป้นพวงมาลัย ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกควบคุมอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยเซนเตอร์ลอคอัตโนมัติที่ความเร็ว 40 กม./ชม.
เบาะนั่งหนังแท้ขนาดใหญ่ทั้ง 7 ที่นั่ง เบาะคู่หน้าขนาดใหญ่ เบาะแถวที่ 2 แบ่งพับ 60/40 ได้ และแถวที่ 3 แยกพับซ้าย/ขวา เพิ่มพื้นที่ใช้งาน และบรรทุกสัมภาระ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบดิจิทอล พร้อมสวิทช์ควบคุมด้านหลัง ช่องลมตอน 3 ตอน ช่วยกระจายลมได้ดี ถ้าไม่มีการพับเบาะขึ้น
ระดับเสียงภายในอยู่ในระดับ 40.5 เดซิเบล เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ปิดแอร์ และ 69.8 เดซิเบลขณะใช้ความเร็ว 140 กม./ชม. เปิดแอร์ เพราะเสียงยางและรอบเครื่องยนต์ แต่ก็ไม่น่าเกลียดจนรับไม่ได้
สมรรถนะ
พอตัว แต่เป็นรองแค่ ดี-โฟร์ดี
3 ดาว
สำหรับผู้ต้องการความเงียบเลือกเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2TR-FE ขนาด 2.7 ลิตร 4 สูบ ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-I ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 5,200 รตน. แรงบิดสูงสุด 24.6 กก.-ม. ที่ 3,800 รตน. เพราะไม่มีเสียงดังรบกวนชาวบ้านให้ได้ยิน
เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ทำงานร่วมกับลิ้นปีกผีเสื้อ และคันเร่งไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ ให้การตอบสนองที่รวดเร็ว พร้อมระบบ ฟเลกซ์ลอคอัพ คลัทช์คอนทโรล ที่ทำให้การถ่ายทอดกำลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลา ส่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกดปุ่มหรือเปลี่ยนเกียร์ โดยมีระบบป้องกันการหมุนฟรีแบบ "TORSEN CENTER LSD" ที่ติดตั้งอยู่ในระบบเฟืองท้ายกลาง วัดค่าแรงบิดจากศูนย์กลาง และกระจายแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้ากับล้อหลัง ตามสภาพถนน ช่วยเพิ่มความสมดุลในขณะเข้าโค้ง และมีโหมด HL (HIGH LOCK) และ LL (LOW LOCK) ให้เลือกใช้ตามความต้องการ
จากการทดลองขับจะเห็นได้ว่า ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะเน้นรูปแบบการขับที่นุ่มนวลกำลังและแรงบิดที่ส่งออกมาจึงไม่หวือหวา
ผลจากเครื่องมือวัดสมรรถนะดาทรอน ในตำแหน่งเกียร์ "D" อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 13.8 วินาที ใช้ระยะทาง 227 ม. 0-400 ม. ในเวลา 19.4 วินาที และระยะ 0-1 กม. กับเวลา 35.7 วินาที ซึ่งความเร็วขึ้นไปเพียง 144 กม./ชม. ส่วนความเร็ว 0-160 กม./ชม. ต้องแช่คันเร่งนานมาก ใช้ทางกว่า 2 กม. เสี่ยงเกินไป จึงไม่มีผลออกมา
การตอบสนองคันเร่ง สม่ำเสมอช่วงต้นและกลาง 60-100 กม./ชม. 8.2 วินาที และ 80-120 กม./ชม. 10.1 วินาที ในขณะที่ 40-120 กม./ชม. 17.4 วินาที ใช้ระยะทางถึง 426 ม.
การบังคับควบคุม
แน่น ขับง่าย นิ่ง นั่งสบาย
3 ดาว
ระบบรองรับด้านหน้าที่ยกชุดจาก วีโก ทั้งปีกนกคู่ กับคอยล์สปริง ให้ความนุ่มนวล น่าใช้เช่นเดิมแต่ด้านหลังได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นแขนยึดแบบ 4 จุด และคอยล์สปริง กับคานแข็งที่เน้นความแข็งแรง ช่วยลดอาการสั่นสะท้านของช่วงล่างแบบเดิมและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีระบบป้องกันการหมุนฟรีแบบ TORSEN CENTER LSD ที่ติดตั้งอยู่ในระบบเฟืองท้ายกลาง วัดค่าแรงบิดจากศูนย์กลาง และกระจายแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้า/หลัง อย่างเหมาะสม ให้ความนุ่มนวลในการขับมากขึ้น
ปกติกำลังจะถูกถ่ายทอดที่ล้อทั้ง 4 โดยแบ่งหน้า/หลัง ตามสัดส่วน 50/50 แต่เมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นกำลังเครื่องยนต์จะถูกถ่ายทอดไปยังล้อหลังมากขึ้นตามสัดส่วน ตั้งแต่ 49/51 เรื่อยไป จนถึงสูงสุดที่ 30/70 เน้นประสิทธิภาพการทรงตัวและยึดเกาะถนนมาก
จานเบรคขนาดใหญ่ และคาลิเพอร์เบรคคู่ ระบบเบรคป้องกันล้อลอค เอบีเอส วาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรค แอลเอสพีวี
ผลจากเครื่องวัดสมรรถนะดาทรอน ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. หยุดนิ่งได้ในระยะ 16.7 ม. ในเวลา 1.9 วินาที คิดเป็นแรงจี 0.97 และความเร็ว 80 กม./ชม. ในระยะ 28.7 ม. ในเวลา 2.5 วินาที แรงจี 0.92 ตัวเลขที่ได้ดูแล้ว ต้องบอกว่าดีทีเดียวสำหรับรถที่มีน้ำหนักตัวถึง 1.8 ตัน
สรุป
น่าใช้ พอๆ กับเอสยูวีหรู
ฟอร์ทูเนอร์ มาทดแทน สปอร์ท ไรเดอร์ ได้อย่างสบาย และเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดเดียวกันก็หาคู่เปรียบค่อนข้างยาก โดยเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน ที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทันสมัยและช่วงล่างคอยล์สปริงที่มีให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนดี บอกได้เลยว่าน่าใช้
สนนราคาค่าตัวของ โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ รุ่นเบนซิน 2.7 วี ราคา 1,119,000 บาท ต่ำกว่ารุ่นดีเซล 3.0 วี 1 แสนบาท ทำให้ต้องคิดทบทวนแบบ "รักพี่เสียดายน้อง" แต่ถ้าเทียบกับเอสยูวีพันทางที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4ล้อแบบเรียลไทม์ทั้ง ฟอร์ด/ฮอนดา และมาซดา ล่ะก็ ฟอร์ทูเนอร์ "คุ้มกว่า"
ข้อมูลจำเพาะ โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ 2.7 จี
ตัวแทนจำหน่าย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
โทร. 0-2386-1000
มิติ และน้ำหนัก
ยาว/กว้าง/สูง (มม.) 4,695/1,840/1,795
ช่วงล้อ หน้า/หลัง (มม.) 1,540/1,540
ฐานล้อ (มม.) 2,750
น้ำหนักรถ (กก.) 1,810
ความจุถังเชื้อเพลิง (ลิตร) 65
เครื่องยนต์
แบบ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว
ความจุ (ซีซี) 2,694
กระบอกสูบ/ช่วงชัก (มม.) 95.0/95.0
อัตราส่วนกำลังอัด 9.6:1
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รตน.) 160/5,200
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รตน.) 24.6/3,800
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดมัลทิพอยท์
ระบบถ่ายทอดกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ (จังหวะ) 4
ขับเคลื่อน (ล้อ) 4 ตลอดเวลา
ระบบรองรับ
หน้า อิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
หลัง โฟร์ลิงค์ คอยล์สปริง คานแข็ง พร้อมชอคอับ
ระบบบังคับเลี้ยว
แบบ ฟันเฟือง และตัวหนอน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
ระบบห้ามล้อ
แบบ เอบีเอส
หน้า จาน มีช่องระบายความร้อน
หลัง จาน
ราคา (บาท) 1,119,000
เรื่องโดย : ธนสาร เสาวมล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทดสอบ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52406