บทความ
จากรถลากจนถึงเครื่องบินไอพ่น
จากรถลากจนถึงเครื่องบินไอพ่น
ผู้เขียนเกิดเมื่อ พศ. 2471 เป็นคนกรุงเทพ ฯ โดยกำเนิด พ่อเป็นคนขับรถไฟมีที่พักอยู่ที่บ้านพักของกรมรถไฟหลวง ข้างวัดดวงแข หัวลำโพง
เมื่อผู้เขียนอายุได้ 5-6 ขวบ จำได้ว่าเวลาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายจะพาผู้เขียนไปไหนมักจะขึ้นรถลากซึ่งคนจีนเป็นคนลาก ชาวบ้านโดยทั่วๆ ไปจึงเรียนว่ารถเจ๊กนอกจากทางราชการและทางกฎหมายเท่านั้นที่เรียกว่ารถลาก
เมื่อผู้เขียนขึ้นรถลากใหม่ๆ ขนาดพ่อแม่หรือญาติพี่น้องอุ้มไว้ ก็ยังอดกลัวรถลากมักจะหงายหลังไม่ได้โดยเฉพาะเวลาขึ้นสะพานกษัตริย์ศึก (สะพานยศเส) ซึ่งเป็นสะพานที่สูงและชันมากเวลาเจ๊กลากรถขึ้นสะพาน เจ๊กลากขึ้นแทบไม่ไหว รู้สึกว่ารถมันทำท่าจะหงายหลังทำให้เจ๊กผู้ลากต้องใช้กำลังและแรงมากเป็นพิเศษและเวลารถวิ่งลงสะพานเจ๊กคนลากก็ต้องใช้เท้ายันเหมือนเป็นห้ามล้อ ซึ่งผู้เขียนรู้สึกกลัวเช่นกันเพราะกลัวว่าเจ๊กผู้ลากจะเอาไว้ไม่อยู่ แต่เจ๊กผู้ลากก็เอาไว้อยู่ทุกครั้ง
การที่รถลากต้องวิ่งขึ้นสะพานกษัตริย์ศึกก็เนื่องจากมีความจำเป็นจะต้องวิ่งขึ้นเท่านั้นเพราะถ้าไปทางอื่นก็จะต้องวิ่งอ้อม เช่น ถ้าไปสี่แยกมหานาค ไปสะพานดำ ไปสะพานขาวหรือแม้แต่จะไปวัดช่างแสง สี่แยกปทุมวัน ก็จำเป็นต้องขึ้นสะพานทั้งสิ้น แต่ถ้าไปทางหัวลำโพงไปสามแยก ไปเยาวราช รถลากก็จะไม่ขึ้นสะพานอย่างแน่นอน เพราะเจ๊กลากรถเองก็ไม่อยากเสี่ยงและการวิ่งขึ้นสะพานดังกล่าว ก็จำเป็นจะต้องคิดค่าลากสูงกว่าวิ่งตามธรรมดาเป็นพิเศษ
สำหรับค่าโดยสารรถลาก ทางการได้กำหนดราคาไว้ตามระยะทาง แต่ส่วนใหญ่ก็คือราคาตามที่เคยนั่งซึ่งสามารถจะต่อตามราคากันได้ แต่โดยปกติราคาค่าโดยสารก็มักจะอยู่ในราคา 5 สตางค์ 10 สตางค์ 15 สตางค์ 20 สตางค์ ถ้าไกลมากก็อยู่ในราคา 1 สลึง
แต่ค่าโดยสารรถลากดังกล่าวเป็นค่าโดยสารเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนโดยเฉพาะเวลาดึกราคาก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีกแล้วแต่จะตกลงกัน ซึ่งส่วนมากพอตกค่ำรถลากก็จะน้อยลงเพราะเจ๊กคนลากจะเหนื่อยและเพลียมาก เนื่องจากออกวิ่งแต่เช้ามืดแต่สำหรับผู้ที่ออกลากสายตอนบ่าย ก็จะเลิกวิ่งดึกหน่อย
ส่วนสาเหตุที่เจ๊กลากรถจะปฏิเสธไม่ไปก็ต่อเมื่อวิ่งไปไกลมาก ให้ค่าโดยสารถูกไปตามชานเมืองซึ่งเป็นที่เปลี่ยวในยามวิกาล แต่ถ้าเป็นในเมือง เช่นแถวเยาวราช ราชวงศ์ ทรงวาดตลาดเก่า สามยอด สามแยก สี่พระยา สุรวงศ์ สีลม จะมีรถลากจอดรอรับผู้โดยสารหรือวิ่งหาผู้โดยสารอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน จะดึกดื่นแค่ไหนก็จะหารถลากได้ง่ายแต่ทั้งนี้ต้องวิ่งอยู่ในเมืองดังกล่าว ถ้าจะว่าจ้างไปแค่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้วก็จะไม่ไปหรือจะไปแค่สะพานยมราช รถลากก็จะไม่กล้าไปเช่นเดียวกัน สมัยเมื่อ 50-60 ปีก่อนสถานที่ดังกล่าวเป็นที่เปลี่ยวมาก บ้านช่องผู้คนมีน้อย คนเดินตามถนนแทบจะไม่มีเลยอย่าว่าแต่กลางคืนเลย แม้แต่กลางวัน สถานที่เหล่านี้ก็ยังไม่ค่อยจะมีผู้คนเลย
สถานที่ที่มีรถลากมากทั้งวิ่งและจอดรถผู้โดยสารยังมีอีก 2 แห่ง แห่งหนึ่งก็คือที่สี่แยกมหานาคและตลาดท่าเตียน แต่ส่วนใหญ่รถลากดังกล่าวมักจะเป็นประเภทรถลากที่ใช้บรรทุกของแล้วแต่พ่อค้าจะจ้างบรรทุกของไปไหน แต่รถลากบรรทุกของเหล่านี้จะมีวิ่งตั้งแต่เข้ามืดตลอดจนกลางวันและเย็นเท่านั้น จะไม่มีวิ่งบรรทุกของเวลากลางคืนเลยเพราะตลาดมหานาคและตลาดท่าเตียนจะติดตลาดตั้งแต่เวลาเช้ามืดเป็นส่วนใหญ่ส่วนตอนบ่ายตลาดวายแล้ว รถลากจึงน้อยกว่าตอนเช้าและตอนกลางวันมากพอตกกลางคืนสองตลาดนี้ก็ปิด
เมื่อสมัยที่ผู้เขียนอยู่ที่บ้านพญาไท หน้าสถานีรถไฟจิตรลดา หรือถนนพระรามที่ 6 หน้าโรงงานเภสัชกรรม ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลรามาธิบดี แต่สมัยเมื่อ 50 กว่าปีก่อนเป็นท้องหน้าและสวนฝรั่ง บ้านช่องผู้คนไม่ค่อยมี บ้านของผู้เขียนอยู่ระหว่างถนนสวรรคโลกซึ่งขนานกับทางรถไฟสายสถานีกรุงเทพ ฯ และสถานีรถไฟสามเสนส่วนอีกด้านหนึ่งอยู่ระหว่างถนนพระรามที่ 6 หน้าโรงงานเภสัชกรรมซึ่งปัจจุบันบริเวณดังกล่าวที่บ้านผู้เขียนอยู่ได้สร้างเป็นโรงพยาบาลรามาธิบดีนั่นเอง
เมื่อสมัยที่ยังมีรถลากอยู่เวลาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายจะพาไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์เฉลิมธานีที่ตลาดนางเลิ้งซึ่งเป็นโรงหนังที่อยู่ใกล้บ้านที่สุดในสมัยนั้น ขาไปก็พอจะหารถลากได้ เพราะเป็นเวลาตอนเย็นแต่ขากลับ เจ๊กลากรถมักจะปฏิเสธเพราะแถวบ้านผู้เขียนมันเปลี่ยวต้องให้ราคาพิเศษเจ๊กลากรถถึงจะตกลง ก็ทำไมจะไม่เปลี่ยว ในเมื่อบ้านผู้คนก็ไม่ค่อยมีคนเดินถนนก็ไม่ค่อยมี แถมไฟตามข้างถนนก็ไม่มีเสียอีกด้วย พระรามที่ 6 ตามถนนก็พอมีไฟตามเสาไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่ก็ริบหรี่เต็มที เพราะหลอดไฟฟ้าที่ใช้มีขนาดเล็กและแสงสว่างเป็นสีแดงส่วนถ้ามาทางถนนสวรรคโลกตั้งแต่บริเวณสะพานยมราชผ่านสะพานเสาวณีย์ถึงสถานีรถไฟจิตรลดาไม่มีไฟฟ้าตามถนนเลย โดยมากเจ๊กลากรถมักจะมาตามถนนพระรามที่ 6 ถึงแม้ว่าจะอ้อมไกลหน่อยก็ยินดีเลือกเอาทางถนนพระรามที่ 6
สมัยนั้นผู้คนส่วนใหญ่มักจะเดินกัน เพราะไประยะใกล้ๆ เดินเพียง 2-3 กิโลเมตร หรือไกลหน่อยก็ 5กิโลเมตร เนื่องจาก 2 ข้างถนนส่วนใหญ่มักจะมีต้นไม้ร่มครึ้มบังแสงแดดได้รถก็ไม่มากบางครั้งถึงกับเดินกลางถนนได้เลย บางถนนก็มีรถเมล์วิ่ง แต่รอแล้วรออีกรถเมล์ก็ไม่มาสักคัน
เนื่องจากสมัยนั้นบ้านผู้เขียนอยู่ใกล้โรงเรียน คือโรงเรียนมัธยมประดับวิทยาซึ่งตั้งอยู่ที่รมถนนพระรามที่ 6 หน้าบ้านผู้เขียน ผู้เขียนเรียนตั้งแต่ชั้นมูลจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 2 ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นรถ เดินเอาประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงโรงเรียน
ครั้นต่อมาเมื่อนายเลื่อน พงษ์โสภณ ประดิษฐ์รถถีบสามล้อได้ประมาณปี พศ.2481 หรือ พศ. 2482 ผู้คนก็ต่างพากันขับรถสามล้อถีบ ซึ่งขับขี่ด้วยคนไทยแท้ๆ (เพราะรัฐบาลออกกฎหมายสงวนอาชีพอาชีพขับรถสามล้อก็เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งทางการสงวนไว้สำหรับคนไทย) ส่วนราคาค่าโดยสารก็แพงกว่ากันหน่อย เพราะค่าครองชีพเริ่มแพงกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่แพงมากสามารถที่จะขึ้นได้อย่างสบาย
รถสามล้อถีบนี้กำหนดให้นั่งได้ 2 คน แต่ถ้ามีเด็กโตก็สามารถนั่งซ้อนตักผู้ใหญ่ได้อีก 1 คนถ้าเด็กเล็กก็สามารถนั่งตักผู้ใหญ่คนละคนได้รถสามล้อถีบนี้มีผ้าใบกันแดดด้านหลังและด้านข้างทั้งสองข้างสามารถกันแดดและกันฝนได้พอสมควร
ถึงแม้ว่าจะมีรถสามล้อถีบวิ่งกันให้เกร่อ แต่รถลากก็ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะรถส่วนตัวซึ่งเป็นของร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านถ่ายรูป ร้านทำฟัน ร้านขายของชำและของเจ้าสัวทั้งหลาย ฯลฯ
ครั้นเมื่อมีรถสามล้อถีบแพร่หลายซึ่งมีมาตั้งแต่มีรถใหม่ๆ รถลากก็คงเหลือแต่เพียงรถบรรทุกเฉพาะที่สี่แยกมหานาคและท่าเตียน ต่อมาเมื่อทางการสงวนอาชีพบางอย่างไว้ให้แก่คนไทย อาทิอาชีพถีบสามล้อ เจ๊กลากรถก็เลยต้องเลิกอาชีพลากรถไปโดยเด็ดขาด
ครั้นผู้เขียนสอบได้ชั้นม. 3 ก็ได้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ตลาดปากคลองเช้าขึ้นก็เดินออกทางหลังบ้าน ไปตามทางรถไฟเลาะลัดเข้าทางสนามม้านางเลิ้งแล้วไปรอขึ้นรถรางที่หน้าวังกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เชิงสะพานเทวกรรม นางเลิ้ง
การเดินไปโรงเรียนดังกล่าว ผู้เขียนมีเพื่อนเดินทางไปโรงเรียนอำนวยศิลป์อยู่ 3 คน ซึ่งบ้านอยู่ใกล้กันคือ ดช. องอาจ ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น อรรถ พึ่งประยูร ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยมีชื่อเรื่อง "น้อยใจยา" ดช.องอาจ อยู่ชั้นสูงกว่าผู้เขียนปีหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งคือ ดช. สนั่น เศวตเศรณีอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง ภายหลังเป็น พลเอกสนั่น เศวตเศรณี
รถรางสายนี้วิ่งจากสี่เสาเทเวศร์ผ่านกระทรวงศึกษาในปัจจุบัน ผ่านทำเนียบรัฐบาลผ่านสนามม้านางเลิ้ง ผ่านวังกรมหลวงชุมพรฯ ผ่านภูเขาทองวัดสะเกศ ผ่านสะพานดำผ่านสี่แยกวรจักร ผ่านสี่แยกเอสเอบี ผ่านสี่แยกวัดตึก ผ่านหัวเม็ด (สะพานหัน) ผ่านวัดสามปลื้มผ่านวัดบพิธภิมุข ผ่านกระทรวงเกษตร ผ่านที่ทำการไฟฟ้าสยามวัดเลียบ ผ่านโรงเรียนสวนกุหลาบผ่านปากคลองตลาด ผ่านโรงเรียนอำนวยศิลป์ ผ่านโรงเรียนราชินีล่าง ผ่านวัดพระเชตุพน ฯ ผ่านพระบรมมหาราชวัง ผ่านท่าช้างวังหลวง ผ่านวัดมหาธาตุผ่านมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์และการเมือง เลาะไปตามท้องสนามหลวงผ่านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ผ่านท่าช้างวังหน้า (เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า)ไปตามถนนพระอาทิตย์ ผ่านป้อมพระสุเมรุ ผ่านบางลำพู ผ่านวัดบวรนิเวศวิหาร ฯ ผ่านสะพานผ่านฟ้า ฯ ผ่านป้อมพระกาฬ ผ่านวัดราชนัดดา ผ่านวัดเทพธิดา ผ่านประตูผี ผ่านคุกใหม่ ผ่านสามยอดผ่านวังบูรพาภิรมย์ ผ่านสะพานหัน และไปสิ้นสุดเอาที่กระทรวงเกษตร (เก่า) รถรางสายนี้ชาวบ้านจึงเรียกว่ารถรางสายรอบเมือง คือวิ่งเป็นวงกลมภายในเขตกำแพงพระนคร
เป็นความจริง ที่ผู้เขียนไม่เคยนั่งรถรางรอบเมืองสักครั้งเดียว เพราะไม่มีความจำเป็นแต่รถรางสายอื่นๆ นั่งมาแล้วหลายหนนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะสายเจ้าพ่อหลักเมืองถนนตก
สรุปแล้วเมื่อสมัยเป็นนักเรียน ส่วนใหญ่ขึ้นรถราง รถสามล้อไม่เคยขึ้นเลยเพราะไม่อยากเสียค่ารถแพงเดินเอาก็ได้เพราะมีเพื่อนเดิน
สำหรับถนนตกหรือถนนเจริญกรุง เคยไปหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่ออยู่ชั้นประถมย่าเคยพาขึ้นรถรางไปลงที่ถนนตก แล้วลงเรือเมล์ท่าน้ำถนนตกไปอำเภอพระประแดงหรือไปขึ้นท่าเรือวัดก็ได้ เพื่อกราบหลวงพ่อบุญชู ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์มีคนนับถือมากในสมัยนั้นโดยเฉพาะพ่อผู้เขียนเคยพาไปหลายครั้งทีเดียว
การเดินทางไปพระประแดงสมัยนั้น รู้สึกว่าช่างไกลเสียเหลือเกินนั่งรถรางจากสามแยกกว่าจะไปถึงถนนตกก็เมื่อยแล้วเมื่อยอีก ย่านถนนตกสมัยนั้นเป็นสวนทั้งสิ้นรถอะไรก็ไม่มี มีแต่รถรางวิ่งเท่านั้น
ตอนต่อไป ผู้เขียนจะกล่าวถึงยานพาหนะอื่นๆ ต่อไป
เรื่องโดย : เทพชู ทับทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51524