บทความ
ยาบ้า สังคมวิกฤติ
กทม. ไม่สิ้นวิบากกรรม
ไม่พูดถึงเรื่องนี้กับเขาบ้าง เห็นทีจะไม่เป็นการเสียแล้ว เมื่อเรื่องของยาเสพติดที่เจาะจงระบุชื่ออย่างชัดเจนว่า ยาบ้า กำลังดังระเบิดเถิดเทิง
วันนี้เรื่องของยาบ้าตกเป็นข่าวนำโนทุกสื่อ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แทบจะทุกนาทีตลอด 24 ชั่วโมงทุกๆ วัน
แม้แต่ข่าวใหญ่ระดับโลกอย่าง ศึกอิรัก ที่สหรัฐอเมริกากระเหี้ยนกระหือรือที่จะเปิดฉากฉุยไม่วันนี้ก็วันหน้ายังถูกเบียดตกขอบกลายเป็นข่าวที่ไม่ค่อยจะมีความหมายในสายตาของสื่อมวลชนไทยไปเสียแล้ว
เมื่อรัฐบาลประกาศยุทธการ เปิดสงครามยาเสพติด ครั้งยิ่งใหญ่
เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เสร็จสิ้นภารกิจเบื้องต้นเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม โดยมีแนวทางในการทำศึกกับยาเสพติดคราวนี้คือ
ปราบปรามย่างเฉียบขาด เด็ดขาดในแบบฟันต่อฟันและถึงรากถึงโคน
ต้องมีผลในทางปฏิบัติในเดือนแรกของปฏิบัติการไม่ต่ำกว่า 25%
พื้นที่จังหวัดใดมีผลงานการปฏิบัติการไม่ถึงมาตรฐานนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับกาตำรวจในพื้นที่จะต้องถูกพิจารณาโทษฐานหย่อมประสิทธิภาพ
และด้วยมาตรการปราบปรามที่รัฐบาลตีกรอบเอาไว้นี่เอง ได้กลายเป็นคำกล่าวขวัญที่เกิดขึ้นตามมาติดๆมันคือ สังคมวิกฤติ ที่มีการให้คำนิยามในสภาแห่งชาติ
มีการจัดทำบัญชีดำหรือบัญชีรายชื่อผู้ผลิตผู้ค้ายาเสพติดทั้งรายใหญ่รายย่อยทั่วประเทศโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ และจากการรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนทางตู้ ปณ. 1234 เป็นจำนวนถึงประมาณ 37,000 ราย
ผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะต้องถูกเรียกตัวมาเข้าพิธีกรรม ทำสัตยปติญาณ เลิกเกี่ยวข้องและข้องแวะกับพฤติกรรมนี้อย่างเด็ดขาด และต้องให้ข้อมูลการขยายผลต่อทางการด้วย
ผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีดำเหล่านี้ต้องประสบกับ สังคมวิกฤติ เข้าเต็มเปา
มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกนำไปขึ้นบัญชีดำอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและโดยมีเงื่อนงำ ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดมาก่อน หากินเลี้ยงชีพโดยสุจริตมาโดยตลอด แต่เมื่อถูกนำเอาชื่อไปขึ้นบัญชีดำอย่างนี้วิถีทางของการดำรงชีวิตอยู่เห็นทีจะเข้าสู่ วิกฤติ ทั้งทางด้านความหายนะและทางด้านสังคมแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ผู้ถูกขึ้นบัญชีดำหลายต่อหลายรายที่ยอมมาเข้าสู่ขบวนการ ปฏิญญาณตน หมดโอกาสที่จะกระทำการอย่างที่ให้ปฏิญญาณไว้ เพราะอีกไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้นก็กลายสภาพเป็นศพข้างถนน ในลักษณะของการถูก วิสามัญฆาตกรรม โดยฝีมือตำรวจ และถูก ฆ่าตัดตอน โดยฝีมือของคนในขบวนการเดียวกัน
มีการรวบรวมจำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและถูกฆาตกรรมไปแล้วทั่วประเทศ เพียงช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนเดียว มีรายการตายเกิดขึ้นเป็นรายวัน รวมแล้วถึง 1,000 กว่าราย
ในจำนวนนี้ตายเพราะถูก วิสามัญฆาตกรรม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงแค่ไม่เกิน 20 ราย นอกนั้นตายเพราะถูก ฆ่าตัดตอน
ด้วยจำนวนการตายของผู้คนที่สูงผิดปกติในช่วงนี้และที่จะเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าได้กลายเป็น วิกฤติขึ้นตามมาอีก เมื่อทางสังคมโลกโดยสหประชาชาติได้ตำหนิท้วงติงว่าประเทศไทยกำลังกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
ปฏิบัติการทำศึกกับยาเสพติดครั้งนี้ ไม่ได้ขีดวงจำกัดอยู่เพียงแค่การปราบปรามอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ แต่ยังขยายวงต่อไปอีก
นั่นคือการปฏิบัติการในแบบ ล้างบางเจ็ดชั่วโคตร
ผู้ที่ทำหน้าที่ทางด้านนี้คือ ปปง. หรือ สำนักงานป้องกันปราบปรามการฟอกเงินที่ได้มาจาการทำทุจริตผิดกฎหมาย
มีการติดตามยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้องและมีโยงใยกับขบวนการค้ายาเสพติดในแบบสาวย้อนถึงรากถึงเหง้ากันเลย
ที่ปรากฏเป็นข่าวชัดแจ้ง ก็คือการติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของเครือญาติผู้ใกล้ชิดของราชายาเสพติดระดับโลกที่มีชื่อว่า เหวยเซียะกัง หรือ จางซึฟู ซึ่งในปัจจุบันหลบหนีจากคุกเมืองไทยไปปักหลักตั้งหน้าตั้งตาผลิตยาเสพติดอยู่ในประเทศเพื่อนบ้างของไทยทางภาคเหนือ
เครือญาติเครือข่ายของราชายาเสพติดผู้ที่มีกระจัดกระจายอยู่หลายแห่งในประเทศ แม้แต่ในกรุงเทพฯตอนนี้ถูกอายัดไว้เรียบร้อยแล้วส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนมหาศาลทีเดียว
มีการเปิดเผยยอดเงินและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ ปปง. ยึดเอาไว้มีจำนวนเฉียดๆ 1,000 ล้านบาททีเดียว
ปฏิบัติการอย่างนี้ กลายเป็น สังคมวิกฤติ ขึ้นมาอีก
เมื่อบรรดาคนรวยมากๆ มีเงินมีทรัพย์สินมูลค่าเป็นร้อยเป็นพันล้าน (ยกเว้นนักการเมืองในระดับชั้นบริหารประเทศที่ประกาศตนเปิดเผยว่าร่ำรวยมีเงินมีทรัพย์สินในระดับเป็นร้อยเป็นพันล้าน) กำลังผวากับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
คนร่ำคนรวยเหล่านี้ตกเป็นเป้าสายตาของ ปปง. อย่างไม่กระพริบตา
ร่ำรวยมาโดยหากินอย่างสุจริต ร่ำรวยมาแต่บรรพกาล หรือร่ำรวยมาโดยการมีส่วนร่วมของยาเสพติด ก็ต้องหาทางเคลีย์ตัวเองในแบบตัวใครตัวมัน
ถ้า ปปง. เขาเชื่อก็รอดตัว แต่ถ้าไม่เชื่อก็เรียบร้อย
จากการเปิด สงครามยาเสพติด คราวนี้ได้รับรู้กันด้วยว่า ทุกวันนี้พิษภัยของยาเสพติดในสังคมบ้านเรากำลังตกอยู่ในขั้น วิกฤติ แล้ว
มีเยาวชนที่กำลังจะเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้าตกเป็นทาสของ ยาบ้า ไม่น้อยกว่า 270,000 คนและถ้ารวมคนที่ตกเป็นทาส ยาบ้า ทั่วประเทศแล้วจะมีถึง 3-4 ล้านคน
อย่างนี้แล้วจะจัดการกับตัวการผลิตและค้า ยาบ้า กันอย่างเด็ดขาดในระดับไหน ก็จัดการกันไปเถอะ
ขออย่างเดียวจัดการกันอย่างรอบคอบทุกขั้นตอนหน่อย อย่าให้คนบริสุทธิต้องมาเจอกับ สังคมวิกฤติ ก็แล้วกัน
เรื่องโดย : หลวงเลียบเมือง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51517