ชีวิตคือความรื่นรมย์
วรรณคดีพิจารณ์
วรรณคดีพิจารณ์
เพื่อนที่ห่างไกลจากการอ่านหนังสือ ถามข้าพเจ้าว่า "เกิดอะไรขึ้นในวงการหนังสือหรือเกี่ยวกับสามัคคีเภทคำฉันท์" ?
ข้าพเจ้าตอบว่า "ก็เกิดสามัคคีเภทนะซี !"
เขาถามว่า "หมายความว่ากระไร"
ข้าพเจ้าบอกว่า "ก็กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง"
เมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากมิตรรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งชอบอ่านหนังสือ แต่หนักไปด้านสารคดีแต่เห็นว่าข้าพเจ้าชอบวรรณคดีเก่าๆ จึงซื้อหนังสือวรรณคดีเก่าซึ่งสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งขออนุญาตหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร มาจัดพิมพ์ใหม่มาฝาก เล่มนั้นชื่อ "กำสรวลศรีปราชญ์" ซึ่งถูกใจข้าพเจ้ามาก ตั้งใจจะ "แกะ" อย่างเอาจริงเอาจังดูสักทีเพราะตอนเรียนนั้น อาจารย์พูดถึงอย่างผิวเผิน และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นสักที
แต่พอลงมืออ่าน คำนำของกรมศิลปากร และประวัติของศรีปราชญ์ (ตามธรรมเนียมที่ข้าพเจ้าชอบทำก่อนอ่าน) เนื้อหาข้างใน (โดยเชื่อและเห็นตามคุณวิลาศ มณีวัตนักเขียนสารคดีเด่นดังผู้อาวุโสว่า หนังสือบางเล่มอ่านเพียงคำนำก็คุ้มค่าแล้วเพราะผู้เขียนคำนำนั้นเขียนดีมาก ส่วนเนื้อหาในเล่มนั้น ถ้าดีก็ถือเป็นกำไร-ยอร์ช เบอร์นารด ชอว์ว่าอย่างนั้น !)
แต่พออ่านประวัติศรีปราชญ์ (ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าใครเป็นคนเขียน) พบว่าเนื้อหาไม่ค่อยน่าไว้วางใจว่าจะถูก ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าหัวเสียจนเลิกคิดจะอ่านเนื้อเรื่องจริงๆ เพราะการตรวจแก้อักษร "แย่เอามาก" ข้าพเจ้าจึงเขียนบทความแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับสำนักพิมพ์นั้นและพาดพิงไปถึงกรมศิลปากรด้วย (ดูเหมือนจะลงพิมพ์ใน : สกุลไทย) เรื่องก็เงียบหายไม่มีใครพูดถึงเลย
มาปีนี้ มิตรผู้น้องคนเดิม ซื้อ "สามัคคีเภทคำฉันท์" ของสำนักพิมพ์ไพลิน มาฝากอย่างเคยพอเปิดอ่านตอนที่ตนพอจะจำได้ เช่น บทไหว้ครู บทที่บรรยายปราสาทราชวังหรือบทที่พระเจ้าอาชาตศัตรูทำเป็นโกรธพราหมณ์วัสการ ตลอดจนบทที่บรรยายถึงการยกทัพและบทที่บรรยายถึงบาดแผลของพราหมณ์ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดลังเลที่จะอ่านต่อเพราะที่เห็นหลายคนที่เคยท่องได้ขึ้นใจนั้น มีหลายคำที่ข้าพเจ้าเห็นว่าผิดชั้นเชิงฉันท์ของกวี ชิต บุรทัตที่ตนเองเคยติดใจอยู่หลายแห่งมาก ข้าพเจ้าจึงค้นหาหนังสือเล่มเก่าที่เคยใช้เรียนเพื่อจะเอามาเปรียบเทียบดูว่าแท้จริงเป็นอย่างไร กว่าจะหาหนังสือได้พบก็กินเวลานานจนหมดอารมณ์จะเปรียบเทียบจริงจัง แต่ก็ได้ผรุสวาท (ในใจตน และปรารภกับเพื่อน ๆ) ถึงสำนักพิมพ์ หาว่าเขา "มั่ว" ไม่รู้และไม่เข้าใจคำที่ควรใช้ในฉันท์ จึงไปแก้ไขเสียหลายตอนทำให้ลีลาและสำนวนของ ชิต บุรทัต เสียรสอันควร
นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังตำหนิว่า การตรวจปรูฟของสำนักพิมพ์แย่มาก และกรมศิลปากรที่อนุญาตให้พิมพ์ มีตราของศิลปากรหราบนปก ยังไม่ควบคุมดูแลการพิมพ์ให้ดี...!
แล้วหนังสือที่สำนักพิมพ์เอามาพิมพ์ใหม่ ก็ตกไปถึงมือเพื่อนหนังสือพิมพ์ นั่นคือหนังสือพิมพ์ "กรุงเทพธุรกิจ" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาค "จุดประกาย-วรรณกรรม" ซึ่งทำเป็นภาคพิเศษสอดแทรกในฉบับวันอาทิตย์
จึงมีการ "รายงานพิเศษ" เรื่อง "สามัคคีเภทคำฉันท์" แล้วก็เกิดฮือฮาขึ้นมาให้รู้จักกว้างขวางขึ้น
ที่น่าชื่นชมกว่านั้น คณะอักษรศาสตร์จุฬา ฯ ยังได้จัดเสวนาเรื่องนี้ ทำให้รู้ความจริงต่อมาว่าสามัคคีเภทคำฉันท์ ที่กรมศิลปากรมีต้นฉบับอยู่และอนุญาตให้สำนักพิมพ์ไพลินเอาไปพิมพ์นั้นก็เป็นผลงานของกวี ชิต บุรทัต (ตอนนั้นยังใช้ชื่อและนามสกุลว่า ชิต ชวางกูร) ยิ่งกว่านั้นยังเป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรกเสียด้วย ! คือพิมพ์เมื่อ ปี 2458 ตอนที่ท่านยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เจ้าหน้าที่จากกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจึงได้เล่าความจริงว่า "สามัคคีเภทคำฉันท์" ฉบับที่คนทั้งหลายรู้จักกันแพร่หลายนั้น ก็เป็นผลงานของกวี ชิต บุรทัต เช่นกันหากแต่เมื่อจะให้กระทรวงศึกษาธิการ นำไปพิมพ์เพื่อเป็นแบบเรียนใน ปี 2470 นั้น กวีชิต บุรทัต (ตอนนี้ใช้นามสกุล "บุรทัต" ตามที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว) ได้แก้ไขปรับปรุงหลายตอนซึ่งคงจะเป็นที่พอใจของท่านผู้ประพันธ์แล้ว จึงค่อนข้างจับใจนักอ่าน และผู้ศึกษาเรื่องนี้ในกาลต่อมา
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ผู้เขียนจะขอยกบทกวีบางตอนที่คนรู้จักดีผู้เขียนก็จำได้นับแต่สมัยเรียนวิชาการประพันธ์ร้อยกรอง เมื่ออยู่จุฬา ฯ มา ที่พอจำได้ เช่นประณามพจน์ หรือบทไหว้ครู ขึ้นต้นว่า
"พร้อมเบญจางคประดิษฐ์สฤษดิสดุดี
กายจิตวจีไตร ทวาร"
แต่สำนักพิมพ์นำมาพิมพ์ใหม่เป็น
"พร้อมเบญจางคประดิษฐ์สฤษดิดุษฎี
กายจิตร์วจีไตร ทวาร"
หรือบทอินทรวิเชียรฉันท์ ที่อาจารย์ยกมาและเราก็ท่องจำเป็นตัวอย่าง "ภาพพจน์" ที่ว่า
"บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย"
ก็มีคำแปร่งๆ โผล่มาแทนว่า
"ยลเนื้อก็เนื้อเต้น พิศะเส้นก็สั่นรัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังก็หลั่งโล หิตโอ้เลอะลามไหล
เพ่งผาดอนาถใจ ตละล้วนระรอยหวาย"
ก็มันแปร่งดังนี้แหละ จะไม่ให้เราซึ่ง "ติดฉันท์" ของท่านมหากวีแห่งรัตนโกสินทร์ รู้สึกกังขาและไม่พึงใจได้อย่างไร
ต่อเมื่อได้ทราบจากข้อเขียนของคุณบุญเตือน ศรีวรพจน์ ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์และคำชี้แจงของคุณสมศรี เอี่ยมธรรม ผู้อำนวยการกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจึงได้ถึง "บางอ้อ" ว่าที่จริงนั้นอะไรเป็นอะไร ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
แต่อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่า สิ่งที่กรมศิลปากร ควรแก้ไข 2 ประการคือ หนึ่งเขียนคำนำให้กระจ่างแจ่มแจ้งถึงที่มาที่ไปของหนังสือที่จะให้ใครพิมพ์ ยิ่งลำดับประวัติได้ละเอียดยิ่งดีเพราะอนุชนรุ่นหลังจะได้รู้ "รากเหง้า" มรดกของบรรพบุรุษตนได้ ประการที่สอง กรมศิลปากรโดยเฉพาะกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ควรตรวจสอบการสะกดการันต์ให้ถูกต้องทั้งก่อนให้ไปพิมพ์ (ถ้าจะคงสะกดการันต์แบบเดิม ก็ต้องบอกและคงไว้ทุกประการอย่าแก้บ้างไม่แก้บ้าง จะทำให้ชาวบ้านสับสน ทางที่ดีควรแก้ให้ถูกต้องตามอักษรวิธีปัจจุบันแต่ทำหมายเหตุให้รู้ไว้ว่าที่มาเป็นอย่างไร และเหตุผลที่แก้ไขใหม่เพราะอะไร) และหลังจากสำนักพิมพ์ต่างๆ เรียงพิมพ์แล้ว เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร (กองวรรณกรรม ฯ) ควรได้ตรวจดูให้ถ่องแท้ ถ้าผิดจากที่ (กองวรรณกรรม ฯ) กำหนดไว้ ถือว่าผิดสัญญาต้องเรียกคืนจากตลาด ก็ต้องทำ (ถ้าพิมพ์ออกจำหน่ายแล้ว) เพราะมรดกวัฒนธรรมของชาติเป็นทรัพย์สินทางปัญญา ใครจะย่ำยีตามใจมิได้เป็นอันขาด
เรื่องโดย : ประยอม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51516