ประกันภัย
ระวังประกันภัยขี้โกง (2)
ฉบับที่แล้วเราพูดกันถึงเรื่องกลโกงของบริษัทประกันภัยในการทำอาชีพที่ตั้งท่าว่าจะไม่โปร่งใส่ไม่ตรงไปตรงมาไม่บอกหมดว่าคุ้มครองอะไรหรือไม่คุ้มครองอะไรบ้างจะมารู้ก็ตอนที่มีปัญหาอุบัติเหตุและต้องการใช้บริการในสิ่งนั้น จึงได้มารู้ว่ากรมธรรม์นั้นไม่มีการคุ้มครองทำไมตอนแรกจึงไม่บอกก่อนว่าประกันภัยที่นำมาเสนอขายนี้ไม่คุ้มครองอะไรบ้างถ้าจะให้คุ้มครองจะต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มอีกเท่าไรก็ว่าไป ผู้เอาประกันเขาจะได้ตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อแต่แรก
และเราได้พูดถึงการตีความเงื่อนไขเอาเปรียบผู้เอาประกันภัยกรณีความเสียหายส่วนแรกสำหรับการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีโดยเหมารวมเอาเป็นว่าการที่ขับไปชนถังขยะฟุตบาท กิ่งไม้ หรือถูกหินกระแทกใส่เป็นการเกิดเหตุที่ไม่มีคู่กรณีที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่าเสียหายเอง 2,000 บาทแรก ซึ่งความเป็นจริงกรณีดังกล่าวผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่าความเสียหายส่วนแรกเพราะ คำว่า "คู่กรณี"ในความหมายของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับมาตรฐานใช้หมายถึงรถคันอื่นที่มาเฉี่ยวชนและผู้ขับขี่หรือผู้เอาประกันไม่สามารถแจ้งให้ชัดเจนว่าเป็นรถคันใดเข้ามาชน เช่น จอดรถไว้ข้างถนนหรือบริเวณลานจอดรถแล้วถูกรถคันอื่นมาชนมีแผลเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เป็นรถคันใดที่เข้ามาชน หรือขับอยู่บนท้องถนนรถติดถูกรถมอเตอร์ไซค์วิ่งซอกแทรกมาเฉี่ยวชนเกิดความเสียหายแต่มอเตอร์ไซค์ขับหนีไปอย่างรวดเร็วไม่สามารถติดตามได้ว่าเป็นรถคันใด หมายเลขทะเบียนอะไร เป็นต้น
เหตุผลที่กรมธรรม์เขากำหนดเรื่องนี้ไว้ก็โดยเจตนารมณ์ให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยหากเกิดการเฉี่ยวชนกับผู้ใดหรือสิ่งใดขึ้นต้องสามารถแจ้งถึงผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างชัดเจนรวมถึงป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยค้ากำไรจากการทำประกันกรณีที่ถูกรถคันอื่นชนแล้วเรียกรับเงินค่าเสียหายจากผู้ที่มาทำให้เกิดความเสียหายแล้วมาแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยของตนอีกว่าไม่รู้ใครชนเพื่อให้บริษัทประกันภัยมาออกเงินซ่อมรถนั้นอีกต่อหนึ่งเป็นการเอาเปรียบบริษัทประกันภัยหรือค้ากำไรจากการทำประกันภัยเพราะเท่ากับผู้เอาประกันภัยรับเงินค่าเสียหายถึงสองต่อคือจากผู้ที่มาชนต่อหนึ่งและจากการที่บริษัทประกันภัยออกเงินซ่อมรถให้อีกต่อหนึ่ง
แต่การที่บริษัทประกันภัยเอากรณีของการเฉี่ยวชนวัตถุอื่นๆ เช่น ถังขยะ ฟุตบาท กิ่งไม้ดังกล่าวข้างต้นมาเป็นข้อหาให้ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่าความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาทโดยอ้างว่าไม่มีคู่กรณีนั้นถือว่าเป็นการไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้เอาประกันภัยซึ่งบริษัทประกันภัยโครตโกงทั้งหลายมักใช้เป็นกลวิธีพื้นฐานเบื้องต้นนี้กับลูกค้าที่รู้ไม่ทันตลอดมาและผู้ขับขี่ผู้เอาประกันหลายคนก็เคยถูกเอาเปรียบเรื่องนี้มาถึงทุกวันนี้จนเข้าใจไปว่าสิ่งที่บริษัทประกันภัยปฏิบัตินั้นเป็นเงื่อนไขสิ่งที่ถูกต้องแล้วทั้งที่ในกรมธรรม์ก็ได้เขียนข้อความนี้ไว้อย่างชัดเจน ลองไปพลิกอ่านดูนะครับ
ในฉบับนี้จะได้พูดต่อเรื่องกลโกงที่ควรต้องระวังจากการทำประกันภัยต่อจากฉบับที่แล้ว ดังนี้
4. ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นตามกรมธรรม์ พรบ. โดยอ้างว่า เอกสารที่นำมายื่นขอรับการชดใช้ยังไม่ครบทั้งที่เอกสารตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ได้แก่ บัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านสำเนาใบมรณะบัตร (กรณีเสียชีวิต) ใบความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและใบเสร็จรับเงิน เป็นต้นแต่มีบริษัทประกันภัยโครตโกงจะกำหนดเอกสารขึ้นมาอีกมากมาย เช่นสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เอาประกันและของผู้เสียหายรวมถึงของทายาท (กรณีมีการเสียชีวิต) และคู่กรณี สำเนาใบขับขี่ของรถประกันและรถคู่กรณีบันทึกใบแจ้งความที่ระบุความผิดของรถประกันหรือรถคู่กรณี เป็นต้นซึ่งบางอย่างไม่มีความจำเป็นและไม่ใช่หน้าที่การนำส่งเอกสารของผู้เรียกร้องแต่บริษัทประกันภัยบางบริษัทก็จะกำหนดให้ผู้เรียกร้องต้องนำมายื่นด้วยทำให้ไม่สามารถจัดหามายื่นได้ครบและไม่ได้รับเงินซึ่งถือเป็นกลวิถีที่บริษัทประกันทั้งหลายนำมาใช้เพื่อเป็นการประวิงการรับเรื่องและการจ่ายเงินค่าเสียหายทั้งที่ตอนจะทำกรมธรรม์บอกจ่ายค่าสินไหม พรบ. ภายใน 24 ชั่วโมง พอเกิดเหตุจริงเป็นคนละเรื่องกันเลย
5. ปฏิเสธการจ่ายค่าเสียหายโดยให้ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สำรองจ่ายหรือไปเบิกจากคู่กรณีเมื่อเกิดการบาดเจ็บต้องมีการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยมักจะให้ผู้เอาประกันภัยสำรองจ่ายค่ารักษาเองไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาฝ่ายรถประกันหรือคู่กรณีก็ตามทั้งที่กฎหมายให้บริษัทผู้รับประกันภัยต้องสำรองจ่ายค่าเสียหายแทนผู้เอาประกันแก่ผู้เสียหายในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท หากผู้เอาประกันหรือผู้เสียหายหลงสำรองจ่ายไปก็จะไปตกที่นั่งลำบากตามข้อ 4 คือกว่าจะได้รับเงินคืนจากบริษัทประกันภัยก็ต้องนำส่งเอกสารอีกมากมายและต้องเสียเวลาอีกอย่างน้อยเป็นเดือนหรืออาจเป็นหลายเดือนสำหรับบางบริษัทที่เรื่องมากโยกโย้ บอกเรื่องยังไม่เรียบร้อยต้องรอสอบสวนเพิ่มแล้วแต่หามาอ้าง
เกี่ยงกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายกรณีเกิดที่ต่างฝ่ายต่างผิด เช่น รถชนกัน 2 คัน มีผู้โดยสารที่นั่งมาในรถคันใดคันหนึ่งบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต โดยผลของการเกิดเหตุสรุปได้ว่ารถทั้ง 2 คันต่างฝ่ายต่างประมาท ในแง่ของกฎหมายกำหนดให้กรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 2 บริษัทต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผู้เสียหายเต็มตามจำนวน คือผู้เสียหายจะได้รับชดใช้ทั้ง 2 กรมธรรม์ แต่ทั้งนี้ไม่เกินค่าเสียหายที่แท้จริง เช่น รักษาพยาบาลไป 50,000 บาท ทั้ง 2 กรมธรรม์ก็ต้องร่วมกันชดใช้ เป็นเงิน 50,000 บาท ถ้ารักษา 100,000 บาท ก็ร่วมกันชดใช้ 100,000 บาท จะอ้างว่ากรมธรรม์ พรบ. จ่ายให้สูงสุดไม่เกิน
50,000 บาทไม่ได้ เพราะกรณีมี ถึง 2 กรมธรรม์ที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบกรณีเสียชีวิตก็เช่นกันผู้เสียหายจะต้องได้รับเงินตาม พรบ. กรมธรรม์ละ 80,000 บาทรวม 2 กรมธรรม์เป็นเงิน 160,000 บาท/คน มิใช่ได้เพียงคนละ 80,000 บาท แต่โดยความเป็นจริงบริษัทประกันภัยที่โครตโกงก็จะเกี่ยงกันจ่ายและก็จะรับผิดชอบให้สูงสุดเพียงกรมธรรม์เดียวเท่านั้นคือ 50,000 บาทกรณีรักษาพยาบาล หรือ 80,000 บาท กรณีเสียชีวิต ถ้าผู้เสียหายไม่รู้ก็ได้รับไปแค่นั้นทั้งที่สิทธิที่แท้จริงมีมากกว่านั้นอีกเท่า
จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นตามกรมธรรม์ พรบ. แล้วลักไก่ให้ผู้เสียหายเซ็นหนังสือสัญญาตกลงประนีประนอมยอมความโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถือว่าพอใจในค่าเสียหายที่ได้รับและจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายอื่นใดไม่ติดใจเอาความทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาอีกต่อไปทั้งที่ผู้เสียหายยังมีสิทธิเรียกร้องจากผู้ที่ทำให้เสียหายตามกฎหมายละเมิดหรือได้รับค่าชดใช้ในค่าเสียหายตามกรมธรรม์ภาคสมัครใจอีกแต่พอไปเซ็นหนังสือดังกล่าวแล้วในแง่ของกฏหมายถือว่าเป็นการสละสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆ เช่นการที่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาท บริษัทประกันก็จ่ายให้ 50,000 บาท ซึ่งถือว่าเต็มตามความคุ้มครองสูงสุดตาม พรบ. แต่ผู้เสียหายยังสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนอื่น เช่นค่าขาดรายได้จากการที่บาดเจ็บไม่สามารถทำงานได้ ค่ารักษาต่อเนื่อง หรือค่าขาดไร้อุปการะ (กรณีเสียชีวิต) เป็นต้น จากผู้ที่ทำให้เสียหายหรือจากกรมธรรม์ภาคสมัครใจ ซึ่งอาจจะเรียกได้เป็น 100,000/200,000 ,หรือ เป็น 1,000,000 บาทก็ได้ ตามที่เห็นว่าเหมาะสมกับฐานานุรูปของผู้เสียหายแต่ก็มีหลายคนตกหลุมพลางของบริษัทประกันภัยโครตโกงหลอกล่อให้เซ็นหนังสือประนีประนอมยอมความสละสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอื่นๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทราบเรียกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์
8. ตกลงจ่ายค่าเสียหายตาม พรบ. ต่ำกว่าค่าเสียหายสูงสุดที่ผู้เสียหายพึงจะได้รับเรื่องนี้มักจะเกิดขึ้นในต่างจังหวัดที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายไม่ค่อยมีความรู้เรื่องประกันภัยกรณีที่ผู้เสียหายบาดเจ็บหรือตายบริษัทประกันภัยเสนอข้อตกลงกับผู้เสียหายหรือทายาทว่าจะจ่ายเงินให้เท่านั้นเท่านี้ทั้งที่สิทธิขั้นตำตามกฎหมายเขาจะได้สูงสุดตามกรมธรรม์ พรบ. 50,000 บาท สำหรับการรักษาพยาบาลต่อคนต่อการเกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง หรือ 80,000 บาท กรณีผู้เสียหายเสียชีวิต แต่มีบริษัทประกันภัยโครตโกงบางบริษัทไปทำการเจรจาค่ารักษาบอกจะช่วยค่ารักษาตามหลักของมนุษยธรรมให้ 30,000 บาท ทั้งที่ค่ารักษาจริงสูงกว่า 30,000 บาท หรือ กรณี ตายก็ไปเจรจาตกลงจ่ายกันที่ 50,000 บาท โดยอ้างว่าผู้ตายเป็นสติไม่ดีไม่มีงานทำวันๆเดินไปตามถนนจนมาถูกรถชนตาย ช่วยจ่ายให้ทายาท 50,000 บาทก็ถือว่าเห็นแก่มนุษยธรรมสูงสุดแล้ว ซึ่งโดยความเป็นจริงบริษัทจะต้องจ่ายขั้นต่ำกรณี 80,000 บาท ไม่สามารถจะเจรจาตกลงกันให้จ่ายต่ำกว่านี้ได้ เพราะผิดกฎหมายในทางตรงกันข้ามทายาทยังสามารถจะเรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆมากกว่านี้อีกได้ด้วยซ้ำตามหลักของกฎหมายละเมิด
วันนี้เราคุยกันในเรื่องของการประกันภัยตาม พรบ. เสียเป็นส่วนใหญ่เพราะเห็นว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับที่ทุกคนควรจะได้รู้เเละไม่ควรเสียเปรียบบริษัทประกันภัยที่ชอบเอาเปรียบด้วยลูกไม้กลโกงสารพัด อย่าเห็นว่าการประกันภัยตามพรบ. ให้ความคุ้มครองน้อยและไม่สำคัญ จะทำประกันภัยกับบริษัทไหนก็ได้อันที่จริงแล้วแนะนำว่าควรเลือกทำประกันกับบริษัทที่มั่นคงและมีบริการที่ดีเป็นหลักเน้นการจ่ายค่าสินไหมที่เป็นธรรม รวดเร็ว ไม่เรื่องมาก และถ้ามีข้อสงสัยให้รีบโทรปรึกษาสายด่วนประกันภัยโทร. 1186 ของกรมการประกันภัย และถ้ามีปัญหาเรื่องการเคลม พรบ. ก็แนะนำให้ไปเคลมกับบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภับจากรถ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของกรมการประกันภัยเช่นกันมีสาขาในทุกจังหวัด จะได้รับความสะดวกและเป็นธรรมมากกว่า นะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2546
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51487