มาตรวัดตลาดรถ
อาการรถขาด-โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ในมุมต่าง
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2022/2021
ตลาดโดยรวม +15.7 %
รถยนต์นั่ง +29.0 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +31.5 %
กระบะ 1 ตัน +6.4 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +17.1 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2022/2021
ตลาดโดยรวม +16.6 %
รถยนต์นั่ง +18.9 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +14.1 %
กระบะ 1 ตัน +16.2 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +11.7 %
ภาวะตลาดรถยนต์ไทยอยู่ในจังหวะที่เรียกว่า "ติดขัดแต่ทำกำไร" เนื่องจากมีความต้องการซื้อ แต่ค่ายรถไม่สามารถส่งรถบางรุ่นได้ จากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิ-คอนดัคเตอร์สำหรับรถบางรุ่นที่ยังคงขาดอยู่ กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เองก็ยอมรับว่า ยอดขายรถยนต์ที่มีตัวเลขลดลงส่วนหนึ่งเกิดจากภาวการณ์ขาดแคลนชิ้นส่วนตัวนี้ สำหรับผู้ผลิตได้รับผลกระทบเต็มๆ ซึ่งก็น่าเห็นใจ ทางเลือกของผู้ผลิตมีอยู่ทางเดียว คือ ใช้ชิ้นส่วนที่มีอยู่อย่างจำกัด อย่างคุ้มค่า ด้วยการเลือกใส่ชิ้นส่วนที่ได้มาในรถบางรุ่นที่สำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่เลือกรุ่นที่ตัวเองขายได้ราคา
กล่าวคือ รุ่นไหนแพงก็ได้ชิ้นส่วนไปก่อน เช่น รุ่นพิเศษ รุ่นลิมิเทดเอดิชัน รุ่นทอพเกรดของพโรดัคท์ไลน์อัพ หรือรถอื่นๆ ที่สามารถอัพราคาไปในแพคเกจสำเร็จรูปได้
แต่ภาวะเช่นนี้ดูน่าเห็นใจที่สุด คือ ลูกค้า เพราะต้องรอคิวรับรถ หากใครใจร้อนก็หาทางออกเอาเอง เช่น ย้ายค่ายไปหาค่ายที่มีรถ ไม่ว่าตรงจุดประสงค์หรือไม่ ก็เอาไว้ก่อน หรือยอมอัพเกรดไปซื้อรุ่นแพงที่ผู้ขายพร้อมส่งมอบ ตลาดรถยนต์ที่ "ติดขัด" เรื่องการส่งมอบ แต่สามารถขายรถตัวแพงได้ จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาของการ "ทำกำไร" สภาพแวดล้อมของตลาดจากเดิมเป็นตลาดของผู้บริโภค กลายเป็นตลาดของผู้ผลิตทันที
สิ่งที่น่าจับตามองอีกประเด็นในช่วงเวลานี้ คือ ผลกระทบจากการประกาศใช้อัตราภาษีรถยนต์ใหม่ของกรมสรรพสามิต ซึ่งภาครัฐรื้อใหญ่ไปเมื่อมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
การยกเครื่องภาษีสรรพสามิตรถยนต์ครั้งใหม่นี้ เป็นการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มพิกัด (xBEV) มีผลทันทีในวันที่ประกาศ (9 มิถุนายน 2565) ในขณะที่รถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีเวลาปรับตัวอีก 3 ปี โดยอัตราภาษีจะเริ่มใช้ 1 มกราคม 2569
แนวทางหลักๆ คือ รถยนต์สันดาปภายใน โครงสร้างภาษียังอิงค่า CO2 แต่กำหนดค่า CO2 ต่ำลงเรื่อยๆ ค่ายไหนทำไม่ได้ต้องเสียอัตราภาษีเพิ่มเป็นขั้นบันได ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ "รถยนต์อีวี และรถกระบะไฟฟ้า" ถือเป็นการเปิดทางสะดวกให้ เพราะภาระภาษีลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 2 % เท่านั้น จากเดิมเก็บ 8 %
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการปรับตัว คือ ค่ายรถยนต์ต้องพยายามลด CO2 ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ หลายบแรนด์พร้อมขยับหนีไปทำไฮบริด หรือพลัก-อิน ไฮบริด และเชื่อว่าจะมีแรงจูงใจให้รถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่เข้าสู่ไทยด้วยการลงทุนตรงมากขึ้น
ส่วนรถที่มีผลทางลบมาจากสรรพสามิตนี้ คือ รถกลุ่มอีโคคาร์ เพราะว่าภาษีอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งไม่เกิน 3,000 ซีซี มีอัตราจัดเก็บเพิ่ม ยอมทำให้ต้นทุนต่อคันเพิ่มขึ้น และก็ไม่มีมาตรการจูงใจ หรือได้รับส่วนลดจากรัฐบาลเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า
อีโคคาร์ที่ผลักดันกันมาตลอดน่าจะถูกลอยแพแล้ว หากมองกันตามโครงสร้างนี้ อีโคคาร์ คือ รถเพื่อประหยัดพลังงาน รัฐให้ใช้รถเล็กๆ กินน้ำมันน้อย แต่เมื่อรัฐหันมาส่งเสริมรถแบทเตอรี ผู้ผลิตอีโคคาร์มีทางเลือก คือ ปรับเทคโนโลยีขึ้น หมายถึง ต้นทุนสูงขึ้น แต่เงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนไม่ได้เปิดทางให้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใดๆ สิ่งที่ทำได้ คือ ปิดของเก่า เริ่มโครงการใหม่ที่ได้รับสิทธิ์ภาษีมาทำ
แน่นอนว่าของเก่าจะเอาไปไหน ทำได้ง่าย คือ ย้ายฐานการผลิตไปหาบ้านใหม่ในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดด้านภาษีรถยนต์บ้านเรานั้น เกิดขึ้นหลายวาระ ขึ้นอยู่ว่าจะให้ภาษีสรรพสามิตทำหน้าที่อะไร เพื่อจุดประสงค์อย่างไร
กาลครั้งหนึ่ง ไทยเคยใช้เป็นเครื่องมือสร้างเศรษฐกิจรากฐานของประเทศ โดยการดึงมหาอำนาจทางด้านรถยนต์มาผลิตในประเทศ ให้คนไทยใช้ของที่ผลิตในประเทศ รักษาเงินตราต่างประเทศ และเก็บเงินภาษีเข้ารัฐ ครั้งหนึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนรวยใช้รถหรูต้องเสียภาษีสูงกว่าคนทั่วไป ระยะหลังภาษีสรรพสามิตตามกระแสโลกที่พัฒนาไป กลายเป็นเครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ผู้บริโภคจะได้รับ ค่ายรถไหนมีเทคโนโลยีสูง ก็ได้เปรียบทางด้านภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถหรูราคาแพงๆ
กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถในบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่สามารถซื้อรถผ่อนเดือนละ 6,000-8,000 บาท คือ มีรายได้ราว 30,000 บาท/เดือน แต่จากโครงสร้างภาษีใหม่ คือ การบีบรถยนต์เครื่องสันดาปให้มีต้นทุนภาษีสูง หากค่ายรถไม่สามารถทำตามเงื่อนไขนั้นได้ รถต้องแพงขึ้น แรงกดดันจึงอยู่กับลูกค้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ เพราะไม่มีรถ BEV ในราคาสำหรับคนต้องการผ่อน 6,000-8,000 บาท ให้เลือกซื้อเลย เท่ากับว่าคนหาเช้ากินค่ำก็เสียเปรียบ คนรวยมีอำนาจซื้อได้รถคุ้มค่า ด้วยเนื้อภาษีที่เก็บในอัตราต่ำกว่า บอกไว้ตรงนี้เลยว่า ระยะยาวลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะ "รถถูก" สูญพันธุ์ไปจากตลาด ซึ่งเวลานั้นไม่เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีรถใช้งานนั่นเอง โปรดเก็บตังค์ไว้เยอะๆ สำหรับการซื้อรถ 1 คันในอนาคต
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2565
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/417071