รู้ทันเทคนิค
ซื้อรถไฟฟ้า ควรเลือกจากอะไร ?
ต้องยอมรับว่ากระแสรถไฟฟ้ากำลังมาแรง ยิ่งมีการอุดหนุนเงินช่วยเหลือเพื่อให้เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่มีความผันผวน และอยู่ในช่วงขาขึ้น รถไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาในช่วงนี้
หลายคนเริ่มปันใจไปหารถไฟฟ้า แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ ควรศึกษาให้ถี่ถ้วนว่าลักษณะการใช้งานของคุณเป็นอย่างไร และประเด็นสำคัญที่หลายๆ คนสับสน คือ “ระยะทางการวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง สำคัญแค่ไหน” อย่าเพิ่งใช้ประเด็นระยะทางการวิ่งเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ เพราะยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน !
อย่ากังวลว่าชาร์จ 1 ครั้ง จะวิ่งได้กี่กิโลเมตร ?
จริงๆ เรื่องการชาร์จ 1 ครั้ง แล้ววิ่งได้ไกลเกินกว่า 500 กม. ขึ้นไป เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็อยากได้ แต่อย่าลืมว่ายิ่งแบทเตอรีวิ่งได้ไกลเท่าไร น้ำหนัก และราคาตัวรถยิ่งแพงมากขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ถ้าจะทำให้รถไฟฟ้าที่มีขายอยู่ในราคา 900,000-120,000 บาท วิ่งได้เฉลี่ยราว 380-500 กม. สามารถวิ่งได้ไกลมากขึ้นเป็น 500+ แน่นอนว่าราคาอาจต้องขึ้นไปตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท รวมถึงน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเซทอัพช่วงล่างให้รองรับด้วย ราคาโดยรวมมันก็จะมากขึ้นไปอีก ลองถามตัวเองดูก่อน ถ้าต้องจ่ายเพิ่มในราคานี้ คุณยังคิดจะซื้อหรือไม่ ?
ชาร์จได้เร็ว น่าสนใจกว่า วิ่งได้ไกล !
ประเด็นนี้ ไม่ค่อยมีใครพูดถึง เพราะรถไฟฟ้ายังค่อนข้างใหม่ และถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และศึกษาพอสมควร เรารู้ว่าคุณรอไม่ได้ในตอนนี้ จะมาสรุปให้ฟังว่าควรโฟคัสตรงไหน รถไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกล/การชาร์จ 1 ครั้ง เหมาะกับประเทศที่มีจุดชาร์จน้อย หรือมีระยะห่างต่อสถานีมากกว่า 200 กม. ขึ้นไป ถ้าเป็นแบบนี้ ควรเลือกรถไฟฟ้าที่ชาร์จครั้งหนึ่งแล้ววิ่งได้ไกลๆ แต่บ้านเรา ณ วันนี้ จากจำนวนผู้ให้บริการสถานีชาร์จหลายๆ เจ้าบวกรวมกันครอบคลุมพื้นที่น่าจะใกล้เคียง 80 % ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่มีสถานีชาร์จบนเส้นทางหลักห่างกันราว 100-150 กม. พื้นที่ห่างไกล อาจจะมีระยะห่างราว 150-200 กม. คาดว่าในปีนี้ และปีถัดไป ความครอบคลุมน่าจะทั่วทั้งประเทศ และในการเดินทางไกล แม้ว่าคุณขับรถที่ใช้น้ำมัน คุณก็ต้องแวะพักทุกๆ 250-300 กม. หรือทุกๆ 2.30-3 ชม. ดังนั้นประเด็นเรื่องของการวิ่งได้ไกล/การชาร์จ 1 ครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปจากเหตุผลเรื่องของต้นทุน และระยะการเดินทางดังกล่าว
การชาร์จได้เร็ว คือ สิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทางไกล
ณ วันนี้ตู้ชาร์จแบบ DC ตามสถานีทั่วประเทศมีกำลังสูงสุดตั้งแต่ 50, 125, 150 กิโลวัตต์ และกำลังจะมีตู้ชาร์จที่แรงกว่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ การชาร์จไฟที่ถูกที่สุด คือ การชาร์จไฟแบบ AC หรือไฟบ้านหลัง 22.00-09.00 น. มีค่าไฟ/หน่วยราว 2.70 บาท การชาร์จไฟ DC หรือไฟกระแสตรงแรงดันตามสถานีสถานะสูงมีราคาตั้งแต่ 4-7.50 บาท/หน่วย เมื่อเห็นราคาก็น่าจะเข้าใจได้ว่าชาร์จไฟบ้านถูกที่สุด การชาร์จระหว่างทาง คือ การรีฟิลล์ไฟฟ้าให้เพียงพอไปในจุดถัดไป แล้วค่อยไปชาร์จเต็มอีกทีกับไฟ AC เมื่อถึงปลายทาง
อีกเหตุผลที่สำคัญ ก็คือ การชาร์จไฟ DC หรือชาร์จเร็วนั้น มันจะอัดประจุไฟได้เร็วจริงๆ แค่ช่วง 80 % แรกเท่านั้น ช่วง 80-100 % หลัง จะชาร์จด้วยกำลังไฟต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้แบทเตอรีร้อน หรือเสื่อมสภาพเร็วเกินไป เมื่อคุณเดินทางไกลราว 250-300 กม. ก็จะใช้เวลาในราว 2.30-3 ชม. เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ต้องพักเข้าห้องน้ำ หาเครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ หรือแวะรับประทานอาหาร การแวะพักแบบนี้เราจะใช้เวลาเฉลี่ยราว 15-30 นาที ซึ่งรถในกลุ่มราคานี้แบทเตอรีอาจจะคงเหลือราว 15-30 % ถ้าเราแวะพัก และใช้เวลาในการพักชาร์จแบทเตอรีไปด้วยมันได้ประโยชน์ 2 ทางโดยใช้เวลาเท่าเดิม
ประเด็นสำคัญ คือ รถแต่ละคันมีความสามารถในการรับกระแสไฟเข้าได้ไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับตู้ชาร์จที่มีกำลังไฟแตกต่างกัน สิ่งที่คุณควรต้องรู้ คือ “รถคันที่สนใจรับไฟชาร์จ DC สูงสุดได้เท่าไร ?” รถคันหนึ่งรับไฟ DC สูงสุดได้ 50 กิโลวัตต์ อีกคันหนึ่งรับไฟ DC สูงสุดได้ 100 กิโลวัตต์ การชาร์จไฟแบทเตอรีจาก 20-80 % ของรถที่รับไฟได้ 100 กิโลวัตต์ ใช้เวลาราว 15 นาที แต่รถที่รับไฟเข้าได้แค่ 50 กิโลวัตต์ จะใช้เวลามากกว่ากันเป็นเท่าตัว หรือมากกว่า “ถ้ารถรับไฟชาร์จได้แรง การรีฟิลล์แบทเตอรีก็จะทำได้เร็วโดยไม่รู้สึกว่าเสียเวลาเลย” ในแอพพลิเคชันของผู้ให้บริการสถานีชาร์จหลายๆ เจ้า เราสามารถลงทะเบียนรุ่นรถ แล้วแอพพลิเคชันจะเลือกสถานีชาร์จที่เหมาะสมให้ หรือเราจะเลือกให้เหมาะกับความต้องการของเราเองก็ได้
ถ้ารถผมสามารถรับไฟ DC ได้ถึง 100 กิโลวัตต์ ในการเดินทางไกล ผมจะเลือกตู้ชาร์จที่มีกำลังไฟสูงตั้งแต่ 100-150 กิโลวัตต์ เพื่อให้ช่วงเวลาพักไม่สูญเปล่า อาจจะได้พลังงานกลับมาในระดับ 60-80 % โดยที่เราไม่รู้สึกว่าต้องรอเลยด้วยซ้ำ ประเด็นนี้ก็จะย้อนกลับไปตรงที่ว่า “ชาร์จไฟบ้านถูกสุด” และ “ชาร์จได้เร็วระหว่างพัก” แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราแวะพักในการเดินทางปกติเลย วันนี้ตู้ชาร์จระดับ 50 กิโลวัตต์ มีเยอะมาก ส่วนตู้ความแรงระดับ 100-150 กิโลวัตต์ กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเพิ่มสถานี หรือตู้ชาร์จไฟ DC นั้นทำได้เร็วมาก ถ้าเพิ่มในปั๊มน้ำมันเดิมอาจจะเสียช่องจอด 2-4 ช่องเท่านั้นเอง ภายในสิ้นปีนี้เราจะเห็นสถานี หรือตู้ชาร์จแรงดันสูงมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ถ้านานๆ ครั้งจะเดินทางไกล คุณเลือกรถไฟฟ้าจากเหตุผลอะไรก็ได้ แต่ถ้าต้องการเดินทางไกลบ่อยๆ รถที่ชาร์จไฟได้เร็วเหมาะกับการใช้งานมากกว่ารถที่วิ่งได้ไกลแต่ชาร์จนานเยอะ !
เรื่องโดย : พหลฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2565
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/406980