BEV ในภาคขนส่ง ประหยัด หรือสิ้นเปลืองกว่า รถเครื่องยนต์ดีเซล ?

ช่วงที่ผ่านมา เราพูดถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า รถยนต์ BEV กันอย่างหนาหู แต่ส่วนใหญ่เราจะมุ่งเน้นที่รถยนต์ส่วนบุคคลเสียมากกว่า รถในกลุ่มนี้ ถ้าเอาเข้าจริง ระยะทางในการใช้งานแต่ละวันอาจไม่มากนัก และเจ้าของรถอาจไม่ได้กังวลเรื่องของค่าพลังงานไฟฟ้าสักเท่าไร แต่มีรถยนต์อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องของค่าน้ำมันในการเดินทาง นั่นคือ รถในภาคธุรกิจขนส่ง ซึ่งมีค่าน้ำมันเป็นตัวแปรสำคัญหลักของต้นทุน ราคาน้ำมันมีการผันผวนขึ้น/ลงตลอดเวลา ส่งผลโดยตรงต่อ “ต้นทุน” โดยเฉพาะในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง แล้วทำอย่างไร จึงจะสามารถลด หรือควบคุมต้นทุนของค่าพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเมื่อราคาน้ำมันที่ถือว่าเป็นต้นทุนสำคัญมีความผันผวนเป็นอย่างยิ่ง ! เราสามารถควบคุมต้นทุนภาคขนส่งได้อย่างไร ? ในภาคธุรกิจขนส่ง เราควบคุมต้นทุนได้อย่างไร ในเมื่อราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมได้ แล้วถ้าเป็นรถพลังงานไฟฟ้าละ จะสามารถตอบโจทย์ได้หรือไม่ ในเมื่อราคาไฟฟ้ามันค่อนข้างตายตัว ! ก่อนจะไปดูเรื่องค่าไฟฟ้า ลองมาดูก่อนว่ารถยนต์ในกลุ่มรถบรรทุก 4 ล้อเล็ก ไล่ไปจนถึงรถ 6 ล้อ 10 ล้อ หรือแม้แต่รถหัวลาก ช่วงที่มีการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาก และก่อให้เกิดมลพิษสูง คือ การใช้งานในเมืองที่ต้องเคลื่อนที่สลับหยุดนิ่งตลอดเวลา รวมถึงรถที่ใช้ในพื้นที่จำกัดระยะทางวิ่งต่อวันไม่มาก แต่ทำงานทั้งวัน เช่น ในเขตอุตสาหกรรม ท่าเรือ หรือแม้แต่ในสนามบิน รถยนต์จะใช้เชื้อเพลิงสูงมาก คือ จังหวะออกตัว และไต่ขึ้นทางชัน ถ้าในแต่ละวันรถแต่ละคันวิ่งระยะทางเฉลี่ยราว 150-200 กม. แต่ต้องวิ่งทั้งวัน รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าเป็นทางออกที่เหมาะสมมาก เพราะการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นไม่ต้องมีอาการรอรอบเหมือนเครื่องยนต์ดีเซล สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากการกดคันเร่ง เรื่องของแรงม้า และแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าก็เพียงพอที่จะรับน้ำหนักบรรทุกได้สบาย รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า คือ คำตอบ ถ้าต้องการรถขนส่งที่มีระยะการเดินทางแต่ละวันเฉลี่ยราว 150-200 กม. รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า คือ ทางเลือกที่น่าสนใจ ประเด็นหลัก คือ สามารถควบคุมค่าขนส่งได้ง่าย ความผันผวนในเรื่องของราคาพลังงานค่อนข้างน้อย สามารถที่จะแข่งขันได้ง่าย การดูแลรักษาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และรถยนต์ในกลุ่มนี้ตัดปัญหาเรื่องการเสียเวลา หรือเสียค่าปรับ ในกรณี “ควันดำ” ได้อย่างสิ้นเชิง ค่าพลังงานไฟฟ้านั้นต้องคิดแยกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในพื้นที่การให้บริการของใคร เช่น การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้ง 2 หน่วยงาน มีหลักเกณฑ์แตกต่างกันไม่มาก แต่ที่คล้ายคลึงกัน คือ สนับสนุนให้หันมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในช่วงกลางวันใช้งานขนส่ง ช่วงกลางคืนหลัง 22.00 น. ก็ชาร์จไฟ จะมีอัตราถูกที่สุดจนถึง 09.00 น. ซึ่งมิเตอร์ของการไฟฟ้าทั้ง 2 หน่วยงาน มีการให้บริการ และการจัดเก็บในอัตราแตกต่างกัน เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังในฉบับถัดๆ ไป แต่ถ้าคุณต้องการรถบรรทุกที่มีความคล่องตัว สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ดี ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และที่สำคัญ สามารถควบคุมต้นทุน และบริหารจัดการได้ง่าย รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้านับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และอนาคตอันใกล้จะมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นอย่างจุใจ