รอบรู้เรื่องรถ
หน้ากากอนามัยต้องใส่ให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลการป้องกันสูงสุด
ผมหวังว่าในเวลาอีกราวๆ 5 สัปดาห์ ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่หนังสือฉบับนี้จะถึงมือท่านผู้อ่าน จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเรา จะได้คลายความเครียดจากโรคระบาดร้ายแรงนี้ลงได้ ในระดับที่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน จากสถานการณ์วิกฤตที่เป็นอยู่ ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอยู่นี้ ไม่ใช่จากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวัน ที่พวกเราได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการนะครับ เพราะจำนวนที่ว่านี้ มันสัมพันธ์กับตัวเลขอื่นอีก 2 อย่าง นั่นก็คือ จำนวนผู้ที่รับการตรวจรายวัน และความชุกของผู้ที่ติดเชื้อในจำนวนผู้ที่ถูกตรวจทั้งหมด แปลกใจกันไหมครับ ว่าเราได้เห็นได้ฟังจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวันกัน โดยไม่ได้รับข้อมูลประกอบที่สำคัญ นั่นก็คือจำนวนผู้ที่ถูกตรวจ และแปลกใจกันบ้างไหมครับ ว่าทำไมตัวเลขเหล่านี้ในแต่ละวัน จึงเพิ่มขึ้น หรือลดลงในระดับที่ต่างจากวันก่อนหน้านี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่พวกเราทุกคนก็จินตนาการเอาเองได้ ว่าจำนวนผู้ที่ถูกตรวจนั้น ไม่มีทางที่จะใกล้เคียงกันได้เลย เพราะมีการเปลี่ยนสถานที่สุ่มตรวจในแต่ละวัน และประชากรในแต่ละชุมชน ก็ไม่ได้มีจำนวนพอๆ กันเลย คงต้องคาดเดากันเอาเองว่าเพราะเหตุใด และควรเชื่อถือว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าผมชี้แจงต่อ ก็จะกลายเป็นกา
รปรักปรำโดยไม่มีหลักฐาน และอาจจะโดนกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จ มันเป็นเรื่องตลกแต่ไม่ขำขันครับ คำแนะนำของผมก็คือ อย่าเคลิบเคลิ้มไปกับข่าวสารทำนองนี้ จนทำให้เราเพิ่มความประมาทในการระวังตัว พลาดเมื่อไร ถึงไม่ตายก็พิการได้ เพราะโรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาดเหมือนอีกหลายโรคที่เรารู้จักกันมานะครับ ตัวเลขที่บ่งบอกสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดีกว่า คือ จำนวนผู้เสียชีวิตครับ ซึ่งถูกเบี่ยงเบนได้ยากกว่ามาก ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม และไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่ได้รับการตรวจเชื้อด้วย ถ้าจะประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ด้วยตนเอง ผมแนะนำให้ดูจากตัวเลขนี้เท่านั้น
ผมขึ้นต้นคอลัมน์ด้วยเรื่องโรคระบาดร้ายแรงนี้ทุกเดือน มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว มิใช่เพราะหาเรื่องเทคนิครถยนต์มาเสนอไม่ค่อยได้นะครับ มีเตรียมไว้มากกว่าเนื้อที่ที่จะลงได้หลายเท่า ซึ่งปกติแล้วก็ต้องทยอยเรียงลำดับความสำคัญ และคัดทิ้งเรื่องที่เกินออกไป ผมถือว่าประโยชน์ที่ท่านผู้อ่านจะได้รับ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นความรู้เรื่องเทคนิครถยนต์ จึงกลายเป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับเรื่องหลัก ซึ่งก็คือความรู้ในการเอาตัวรอดจากโรคร้ายนี้ ความรู้เรื่องรถจะหมดความหมายไปทันที ถ้าเจ้าของรถป่วยหนัก หรือถึงขั้นไม่อาจรู้ว่าจะรอดชีวิตไปได้หรือไม่ จึงขอใช้เนื้อที่ช่วงแรกสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ
ผมรู้สึกอึดอัด และกังวลอย่างมากมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว คือ ตั้งแต่โรคนี้เข้ามาระบาดในประเทศเรา ทุกครั้งที่ต้องทนดูการใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโรคนี้ของคนไทยเรา ซึ่งจำนวนคนที่ใส่อย่างถูกวิธีนั้น กลับน้อยกว่าพวกที่ใส่อย่างผิดเสียอีกครับ และผมก็ไม่ต้องการตำหนิแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครสอนพวกเขาให้รู้วิธีที่ถูกต้อง ผู้ให้ความรู้ทั้งหลายเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย ล้วนมุ่งไปที่เรื่องอื่นๆ เช่น ใครบ้างที่ควรใส่ ใส่แล้วน่าจะป้องกันการติดโรคได้แค่ไหน ฯลฯ แต่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องพื้นฐานที่สุดของมัน คือ วิธีสวมใส่ที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลในการป้องกันสูงสุด ตามที่มันถูกออกแบบมา ที่จริงแล้วควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข ในการผลิตวีดีโอ รวมทั้งภาพนิ่งเป็นขั้นตอน สอนวิธีใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคแก่ประชาชน หน้ากากแบบอื่นๆ นั้น มักถูกออกแบบมาให้มีโอกาสสวมผิดได้ยากครับ แต่แบบแผ่นเรียบ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่นิยมกันมากที่สุด เพราะใช้งานง่าย สะดวก และราคาต่ำกว่าแบบอื่น กลับเป็นรุ่นที่มีปัญหามากที่สุด และจะป้องกันการติดเชื้อแทบไม่ได้เลย ถ้าสวมใส่ไม่ถูกต้อง เท่าที่ผมพบบ่อยที่สุด คือ อาการรั่ว ปล่อยให้อากาศที่ไม่ถูกกรอง เล็ดลอดเข้าจมูกเราได้ เพราะผู้สวมไม่มีความเข้าใจ ว่าต้องดัดขอบบนของหน้ากาก ให้เป็นทรงเดียวกับดั้งจมูกของเรา เพื่อให้ขอบหน้ากากด้านบนแนบกับใบหน้าของเราทุกจุด อย่าเพิ่งตำหนิว่า “ทำไมไม่ดูวิธีใช้ที่ข้างกล่อง เขาบอกไว้ชัดเจน” ไม่ใช่ทุกคน ที่จะซื้อแบบทั้งกล่อง และเท่าที่ผมเห็นมา ล้วนบอกวิธีใช้เป็นภาษาต่างชาติ แม้แต่ที่ผลิตในประเทศเรา ก็ไม่มีภาษาไทยให้อ่านเลย ก่อนเริ่มสวมหน้ากาก พับหน้ากากให้ประกบซ้อนกันสนิทพอดี โดยเน้นด้านบน ซึ่งมีไส้เป็นเส้นลวดฝังอยู่ ไม่ต้องถึงกับรีดให้เป็นทรงแหลมนะครับ เพราะตรงที่เส้นลวดถูกพับนี้ คือ ตำแหน่งสันจมูกของเรา เอาแค่ให้งอเท่าทรงสันจมูกของเรา กดขอบบนให้แนบกับดั้งจมูก เอานิ้วรูดไถลลงมาให้ถึงส่วนเรียบของใบหน้าเรา จะเป็นการดัดเส้นลวดให้งอแนบพอดี ตรงที่จมูกมา ”ชน” กับส่วนใบหน้าของเรา เอามือกดส่วนที่งอกลับนี้ไว้ให้นิ่ง แล้วใช้อีกมือดึงห่วงของหน้ากากไปคล้องที่ใบหูข้างหนึ่งก่อน ถ้าจะให้ดี ไม่ควรเปลี่ยนมือข้างที่กดหน้ากาก เพราะหน้ากากอาจจะเคลื่อนจากตำแหน่งที่ถูกต้อง ใช้มือข้างเดิม ดึงห่วงอีกข้างไปคล้องใบหูอีกข้าง ครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าตอนคล้องห่วงที่สองนี้ ไม่ถนัดเอาเสียเลย ผมรับรองว่าแค่สวมสักไม่กี่ครั้ง ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายครับ จากนั้นขยับหน้ากากให้เข้าที่ ตรวจแนวเส้นลวดที่ขอบบน ว่าแนบสนิทกับใบหน้าและดั้งจมูก เอามือกดไว้แบบตอนที่คล้องห่วง แล้วดึงขอบล่างของหน้ากาก ให้ลงมาคลุมใต้คาง แล้วตรวจด้านสั้นทั้งสองข้างของหน้ากาก ให้สนิทกับใบหน้า จากนั้นลองสูดหายใจเข้าตามปกติ จะต้องรู้สึกว่ายากกว่าตอนไม่สวมหน้ากากอยู่พอสมควร เพราะเกิดแรงต้านจากการที่อากาศต้องไหลผ่านหน้ากากเท่านั้น ถ้าหายใจเข้าค่อนข้างง่าย ให้สงสัยไว้ก่อนว่า ยังมีจุดที่อากาศรั่วเข้ามาโดยไม่ได้ถูกกรอง
มีการตั้งคำถามกันในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป ว่าพลเมืองมีวินัยสูง และยังมีมารยาทที่ดีมาก หน้ากากอนามัยแบบนี้นั้น ชาวญี่ปุ่นใส่กันมาตั้งแต่ยังไม่มีโรคนี้ระบาดแล้ว จุดประสงค์ก็คือความเห็นใจผู้อื่น ที่อาจจะต้องรับเชื้อหวัด หากมาอยู่ใกล้ และบังเอิญตนไม่สามารถจะกลั้นการไอ หรือจามได้ แต่เมื่อมีโรคระบาดนี้เกิดขึ้น บางครั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับค่อนข้างสูง ทั้งๆ ที่ทุกคนล้วนสวมหน้ากากอนามัยกันอย่างเคร่งครัด และเมื่อซักประวัติดู ก็พบว่าแต่ละคนติดเชื้อทั้งๆ ที่สวมหน้ากากอนามัยกันอย่างแน่นอนตลอดเวลา จนต้องมีการวิจัยหาสาเหตุกันอย่างจริงจัง และก็ได้คำตอบโดยไม่ยากว่า การแพร่เชื้อเกิดขึ้นได้เพราะหน้ากาก “รั่ว” ทั้งฝ่ายแพร่ และฝ่ายรับเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากส่วนที่ควรจะแนบกับดั้งจมูกนี่เอง ไม่ได้ถูกดัดให้ได้รูปทรงที่ควรจะเป็น ตามที่ผมเน้นไว้ข้างต้นนี่แหละครับ แค่ช่องที่อากาศเล็ดลอดได้เล็กน้อยนี่ อาจหมายถึงความเป็นความตายของพวกเราได้เลย ถึงจะบอกว่าไม่ต้องกลัว อายุยังน้อย ไม่ตายง่ายๆ หรอก แต่อย่าลืมว่าเราอาจจะติดแล้วเอาเชื้อไปแพร่ ให้ผู้สูงวัยที่ใกล้ชิด จนป่วยถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้นะครับ
วิธีเลือกหน้ากากแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นเรียบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เราไม่สามารถตัดสินได้จากการมองด้วยตาเปล่า ความหนาบางของแผ่นกรอง ไม่ได้บ่งบอกคุณภาพของหน้ากาก และการไหลผ่านของอากาศได้ยาก หรือง่าย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถ หรือความละเอียดในการกรองเช่นกันครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ หน้ากากเนื้อบาง มีทั้งที่ดี และไม่ดี และแบบเนื้อหนาก็มีทั้งที่ดี และที่ห่วยครับ เท่าที่ผมลองใช้มา และดูจากมาตรฐานของผู้ผลิต ผมพบหน้ากากแบบนี้ ที่คุณภาพสูงจริง และถูกใจอย่างมากแค่ 2 บแรนด์เอง เชื่อไหมครับ ว่าทั้งคู่ถูกผลิตในประเทศไทย โดยโรงงานที่น่าจะมีมาตรฐานสูง และตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม
เรื่องวัคซีนก็ทำนองเดียวกันครับ มีการเผยแพร่ตารางบอกค่า ว่าวัคซีนแต่ละบแรนด์นั้น ฉีดแล้วป้องกันการแพร่เชื้อ และการติดโรค รวมทั้งการป่วยหนัก ได้สักกี่เปอร์เซนต์ บางคนบอกว่า ที่จะฉีดให้นี่ ค่าต่ำเกินไป ไม่ต้องการ บางคนก็หลงประเด็นอย่างหนัก บอกว่าถ้าฉีดแล้วคนที่ตนเกลียด มันจะได้ผลประโยชน์จากการขายวัคซีนนี้ ขอเสี่ยงตายอยู่แบบเดิมต่อไปดีกว่า พวกที่เกี่ยงว่าตัวเลขที่บอกความสามารถ ในการป้องกันการแพร่ หรือการติดนั้น มันต่ำเกินไป ผมได้ลองสอบถามดู แทบไม่มีใครเข้าใจเลยครับ ว่าค่าเหล่านั้นมันหมายถึงอะไร เช่น ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ ที่บอกค่าเป็น “ร้อยละ” บางคนเข้าใจว่า ได้มาจากสถิติของคนที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ว่าเมื่อเทียบเป็นจำนวนลงตัวร้อยคนแล้ว และได้รับเชื้อ มีคนติดเชื้อกี่คน เช่น พบว่าติดเชื้อ 45 คน และไม่ติด 55 คน หมายความว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพ 55 % ยังไม่ถูกต้องนะครับ ค่าประสิทธิภาพนี้ ต้องได้จากการทดลองทางคลีนิคอย่างเป็นทางการ เปรียบเทียบข้อมูลจากคน 2 กลุ่ม ที่ได้รับวัคซีนจริง กับที่ได้วัคซีนหลอก และได้รับเชื้อในระดับเดียวกัน จากนั้นเอาจำนวนผู้ติดเชื้อของทั้ง 2 กลุ่ม มาเปรียบเทียบกันเป็นสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ เช่น กลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริง 100 คน (จำนวนอาสาสมัครต้องมากพอ แล้วจึงเทียบให้เป็นจำนวน 100 คน ด้วย “บัญญัติไตรยางศ์” ที่เรียนกันตอนเป็นเด็กนี่แหละครับ) ติดเชื้อ 10 คน และกลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก 100 คน ติดเชื้อ 93 คน ก็เอา 10 ลบออกจาก 93 ได้ 83 (เราตั้งชื่อให้เข้าใจง่ายว่า จำนวนผู้ที่ “รอด” เพราะวัคซีน) แล้วหารด้วย 93 (จำนวนผู้ที่ “ติดเชื้อ” เพราะไม่ได้รับวัคซีน) ก็จะได้ค่าประมาณ 0.892 แล้วคูณด้วย 100 ได้ 89.2 หน่วยเป็น % หรือร้อยละ หมายความว่า ในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีน และติดเชื้อ 100 คนนี้ หากทั้ง 100 คน ได้รับวัคซีนอย่างถูกต้องครบถ้วน และครบเวลาที่ให้ผลในการป้องกัน จะมีคนรอดจากการติดเชื้อถึง 89 คน ค่าที่ได้นี้ ถ้าได้จากการทดลองทางคลีนิคตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก จะเรียกว่า EFFICACY หรือ ประสิทธิภาพ ในการป้องกันการติดเชื้อ แต่ถ้าเป็นการสำรวจ และประเมินทางภาคสนาม อย่างไม่เป็นทางการตามมาตรฐานนี้ ให้เรียกว่า EFFECTIVENESS แทน ในภาษาไทยคงประมาณ ประสิทธิผล หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ
และถ้าต้องเจอวัคซีนที่ประสิทธิภาพแค่ไม่ถึง 60 % ก็อย่าเพิ่งเกี่ยงครับ ถ้าหมดหวังที่จะได้รุ่นดีกว่านี้ ฉีดไปก่อนเลยครับ เพราะค่านี้แค่ 50 % ก็หมายความว่า โอกาสรอดจากการติดเชื้อของเรานั้น เป็น 2 เท่าของพวกที่ไม่ได้รับวัคซีนแล้ว ถือว่าไม่น้อยเลยครับ แต่ “ทีเด็ด” ของวัคซีนนั้นอยู่ตรงตอนที่ซวยเพราะติดเชื้อแล้ว นั่นก็คือโอกาสที่จะมีอาการหนัก ถึงระดับต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยมากๆ ถ้าใช้ภาษาพื้นๆ อธิบาย น่าจะเป็นแบบนี้ครับ คือ “ถึงจะยังติดได้ไม่ยาก แต่โอกาสป่วยหนักนั้นยากมาก และเรื่องถึงตายนั้น ยิ่งยากขึ้นไปอีก” ไม่นับพวกที่อายุมาก และมีโรคประจำตัวบางโรคนะครับ ในสหรัฐอเมริกาซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนกันครบ ยกเว้นพวกที่ต่อต้าน และไม่ยอมรับ จากการสำรวจผู้ป่วยอาการหนักในโรงพยาบาล พบว่าเกินกว่าร้อยละ 95 เป็นผู้ที่ไม่ยอมรับวัคซีน ไม่ใช่ไม่ได้รับนะครับ ใช้คำว่าไม่ยอมรับได้เลย เพราะรัฐบาลของเขาจัดหามาให้อย่างเพียงพอสำหรับทุกคน ช่วงหลังนี่ถึงขั้นแถมเงินให้ระดับคนละหลายพันบาท เป็นค่าจ้างให้มาฉีดด้วย ต่างจากบางประเทศ ที่ประชาชนอยากฉีดจนตัวสั่น แต่กลับต้องโหยหา ชะเง้อคอยกันเดือนแล้วเดือนเล่า อย่างน่าสังเวชใจที่สุด
มีสมาชิกประจำท่านหนึ่ง ที่ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และถามมาว่า อู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการฯ ทั้งหลาย มีสิทธิซ่อมรถของเรา เกินขอบเขตที่ได้ตกลงกันไว้ตอนส่งมอบรถหรือไม่ ไม่ใช่แค่เล็กน้อย แต่เกินเลยไปมาก เช่น ตกลงกันไว้ที่มูลค่าประมาณไม่ถึง 5,000 บาท แต่พอไปรับรถ กลับต้องเผชิญกับค่าช่อมเกิน 20,000 บาท ตอบได้เลยครับว่าผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิกระทำการเช่นนี้ต่อลูกค้า เนื้อที่หมดพอดี ผมขอผลัดไปอธิบายต่อในฉบับหน้านะครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/384587