“เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา” เป็นวลีฮิทในช่วงที่คนไทยกำลังรอวัคซีน COVID-19 เข็มแรก เนื่องจากมี ”หมา” หน้าคีย์บอร์ดจำนวนมาก พากัน “เมนท์” ความเห็นเชิงลบเกี่ยวกับวัคซีนที่รัฐบาลสั่งเข้ามาเตรียมฉีดให้ประชาชน จนเกิดกระแสกลัววัคซีนไปทั่ว โดยเฉพาะวัคซีนจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ร้อนถึงบรรดา “หมอ” ทั้งหลายต้องออกมาช่วยกันยืนยันว่า วัคซีน มีความปลอดภัย ส่วนประสิทธิภาพ อย่างน้อยก็กันป่วยหนัก และกันตายได้ สรุปแล้ว ฉีดดีกว่าไม่ฉีด และถ้าฉีดกันมากๆ จะทำให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ซึ่งเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของวิกฤตครั้งนี้ครั้นพอรัฐเปิดให้จองคิวฉีดวัคซีน และเริ่มฉีดจริง คนไทยก็พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเราเชื่อ “หมอ” มากกว่า “หมา” ด้วยการแห่จองคิวฉีด จนเกิดเหตุสับสนวุ่นวายจากการที่ “หมอพร้อม” ไม่พร้อมเหมือนชื่อ รวมถึงการ “ประสานงา” ของหน่วยงานต่างๆ อย่างที่ทราบกัน นอกจากนี้ ระหว่างช่วงระดมฉีด ยังมีประเด็นปัญหาถกเถียงกันรายวัน ทั้งเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ ผลข้างเคียงหลังฉีด การจัดส่งวัคซีนที่ล่าช้า การกระจายวัคซีนไม่ทั่วถึง ตลอดจนยี่ห้อวัคซีนที่รัฐควรสั่งเข้ามาเป็นทางเลือกให้ประชาชน แม้แต่ประเด็นปัญหาจะมากมายกว่าช่วงแรกหลายเท่า ทว่าไม่มีใครเตือนให้เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา อีกแล้ว เพราะรอบนี้ แทบจะมีเฉพาะ “หมอ” ล้วนๆ ที่ออกมา “เมนท์” กันอย่างคึกคัก ปรากฏการณ์ดังกล่าว แน่นอน ทำให้ผมมีความรู้เรื่อง COVID-19 และวัคซีนเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่งรู้ด้วยว่า เมืองไทยมีหมอเก่งๆ เยอะกว่าที่คิด นับเฉพาะที่ “เมนท์” เป็นประจำก็ร่วมสิบท่านแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจเพราะ COVID-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับโรคยังมีน้อย ขณะที่ผลการค้นคว้าวิจัยก็มาจากหลายสำนัก สอดคล้องกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง เมื่อมาประกอบกับความรู้ และความเห็นส่วนตัว ส่งผลให้ ในช่วงหลัง “เมนท์” ของหมอไทยแต่ละท่าน เริ่มไปคนละทิศละทาง สร้างความสับสนให้บรรดา “ฟอลโลเวอร์” เป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ ข้อมูล และความเห็นทางการแพทย์ที่ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว คือสิ่งที่คนไทย (อาจรวมถึงลุงด้วย) ต้องการมากที่สุด ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่า ตอนท่านกำลังอ่านบทความนี้ ชะตากรรมของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? แต่อย่างน้อย ผมควรมีสิทธิ์หวังใช่ไหมครับว่า เมื่อพวกเราอุตส่าห์ “เชื่อหมอ ไม่เชื่อหมา” แล้ว สถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี