รอบรู้เรื่องรถ
เลิกใช้ยาง “รันฟแลท” ได้หรือไม่ ?
นรกบนดิน ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักประโยคนี้ แต่ผู้ที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันอย่างลึกซึ้งนั้น น่าจะมีอยู่น้อยมาก เพราะพวกเราค่อนข้างโชคดี ที่ได้อาศัยอยู่บนผืนดินที่ปราศจากภัยธรรมชาติทุกรูปแบบครับ ประเทศเราไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น และส่อแววว่าพร้อมที่จะปะทุ ไม่มีพายุรุนแรงนานาชนิด ในระดับที่ต้องตั้งชื่อ และอันดับความแรงของมัน ไม่มีภัยแล้งแรมเดือนที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนอุทกภัย ชื่อหรูที่ถูกบัญญัติขึ้นมาแทนน้ำท่วม ให้เหนื่อยกันเปล่าๆ ทำนองเดียวกับ กระบือ สุนัข ที่ใช้แทน ควาย หมา นั้น และพวกเรารู้สึกว่ามันหนักหนาสาหัส ต้องรอให้นักการเมืองมันเอาอาหารลงเรือไปแจกให้ได้หน้า และเป็นบุญคุณนั้น ถ้าพลเมืองประเทศที่เผชิญกับภัยนี้จริงจังเป็นประจำ และได้มาเห็น ก็คงจะบอกว่า นี่มันระดับ “เด็กๆ” เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ต้องตื่นเต้น ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำงานกันตามหน้าที่ที่มีอย่างครบถ้วนเท่านั้นเองจนกระทั่งเกิดโรคระบาดครั้งนี้นี่แหละครับ และโดยเฉพาะระลอกล่าสุด ที่คนไทยส่วนใหญ่ ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องถามตัวเองอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ว่าเราจะเอาตัวรอดจากอันตรายระดับ “ปางตาย” หรือตายจริงๆ ไปได้หรือไม่ กว่าบทความนี้จะถึงมือผู้อ่าน เวลาก็จะผ่านไปอีกราวๆ 40 กว่าวัน ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหายนะระดับชาตินี้ จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และควรจะเป็นอย่างมากด้วย ถ้าพวกเราไม่ถูกพวกนักการเมืองขี้ฉ้อตลบตะแลงมันสร้างความเดือดร้อนให้ยิ่งไปกว่านี้ แต่ในขณะที่ผู้คนส่วนหนึ่งซึ่งรักตัวกลัวตาย พยายามป้องกันตัวไม่ให้ติดโรคร้ายนี้ พร้อมกับชะเง้อคอย หวังจะได้รับวัคซีนที่ดีพอ และทันกาล ก็ยังมีคนอีกจำพวก ที่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งใด แม้กระทั่งการมีชีวิตอยู่ของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพวกที่ “ตะบัน” ขับรถด้วยความเร็วสูงเกิน ในทุกเวลา และทุกสภาพของการจราจร และด้วยรถที่ไม่ได้เอื้อต่อการ ใช้ความเร็วสูงแต่อย่างใดเลย ผมไม่ได้ดูหมิ่น หรือแบ่งชนชั้นด้วยอคติแต่อย่างใดนะครับ แต่ขอบอกตรงๆ เลยว่า คือ พวกที่ขับรถบรรทุกขนาดเล็ก ชื่อเป็นทางการ คือ รถบรรทุกขนาด 1 ตัน ที่เราเรียกทับศัพท์โดยไม่กำหนดขนาดกันว่า รถพิคอัพ นี่แหละครับ ตามหลักแล้วจำนวนคนที่มีพฤติกรรมด้านลบที่ว่านี้ ควรจะเป็นส่วนน้อยจริงๆ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะเรามีพลเมืองโง่ หรือบ้า ในสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยหรือครับ ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเราไม่ได้แย่ขนาดนั้นเลย ต้นเหตุมาจากการยุยงส่งเสริมของบรรดาบริษัทที่จำหน่ายรถประเภทนี้ ผ่านการโฆษณาว่ารถเหล่านี้ เหมาะแก่การขับด้วยความเร็วสูงอย่างบ้าระห่ำ แต่ละรายต่างสรรหาวิธีนำเสนอ ให้ “ล้ำหน้า” คู่แข่ง การใช้ข้อความเตือนผู้ชม หรือลูกค้า ว่าอย่าเอาเยี่ยงอย่าง เพราะเป็นการขับโดยผู้เชี่ยวชาญ ในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษนั้น ก็ไม่ได้ทำด้วยความหวังดีแต่อย่างใด แค่ปัดความรับผิดชอบ และป้องกันการถูก ฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยเท่านั้นเอง ถ้าใช้สำนวนพื้นบ้านให้เข้าใจง่าย แบบไม่ต้องอ้อมค้อม การผลิตงานโฆษณารถแนวนี้ มันก็คือ การยุยงส่งเสริม “ให้ไปตาย” หรือไปทำให้คนอื่นต้องตายไปด้วยนั่นเองครับ ไม่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศีลธรรมก็ผิดถึงขั้นบาปหนาเลยนะครับ เพราะจะเรียกว่าเป็นการฆ่าคนทางอ้อม แม้จะไม่มีเจตนา ก็คงไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงไปสักเท่าไร นอกจากนี้แล้ว ผมก็อยากจะถามต่อว่าไม่เบื่อกับ “มุก” ซ้ำซากสิ้นคิดเหล่านี้กันบ้างหรือครับ จะอ้างว่าบริษัทที่รับงาน เลือกใช้แนวนี้ ก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะมันเป็นนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูง และไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย ต้องรับรู้ และเห็นชอบก่อน จึงจะอนุมัติงบประมาณระดับหลายสิบหรือเป็นร้อยล้านบาทได้ ทำไมไม่นำเสนอสิ่งดีอื่นๆ อีกหลายด้านแก่ลูกค้าครับ เช่น การให้บริการหลังการขายที่ดี เต็มไปด้วยความตั้งใจ ความรับผิดชอบ หรือราคาอะไหล่ที่สมเหตุผล มูลค่าของรถที่ลดลงไม่มากเมื่อขายต่อ หรือจะเป็นแนว “คนขยัน คนฉลาด คนดีมีน้ำใจเท่านั้น ที่ใช้รถบแรนด์นี้” และแนวอื่นๆ ได้อีกมากมายครับ • พระขับรถได้หรือไม่ ? เป็นคำถามที่มีมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีผู้ที่อยากรู้จำนวนมากในช่วงหลังนี้ เมื่อรถยนต์กลายเป็นของหาง่ายราคาถูกไปแล้วในสังคมไทย คำถามข้างบนนี้ เป็น “ภาษาพูด” ที่ถูกย่อให้สะดวกเท่านั้นครับ ความหมายที่แท้จริงคือ พระสงฆ์ในพุทธศาสนาของประเทศไทยเรานั้น มีสิทธิในการขับรถยนต์ โดยไม่ผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ และถ้าจะให้ครบถ้วนหายสงสัยกันอีกต่อไป ก็ต้องถามว่าผิดกฎหมายจราจรหรือไม่ด้วย อย่างหลังนี่ง่าย และตอบสั้นๆ ได้เลยครับ ว่าถ้ามีใบอนุญาตขับขี่ถูกต้อง ยังไม่หมดอายุ ย่อมทำได้เช่นเดียวกับฆราวาสทั้งหลาย ไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด ส่วนประเด็นหลังนั้น ก็ไม่ผิดเช่นเดียวกันครับ ถ้ามีเหตุผล หรือมีความจำเป็น เพราะรถยนต์ก็เป็นเพียงพาหนะ ไม่ต่างจากเรือพาย จักรยาน ม้า ลา ที่พระสงฆ์ในย่านทุรกันดารในอดีต เคยพึ่งพา เราต้องไม่เอาไปปนกับการใช้รถยนต์ เพื่อฝ่าฝืนพระธรรมวินัย ดังเช่นที่เป็นข่าวค่อนข้างถี่ในยุคนี้ เช่น พระสงฆ์ ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แล้วขับรถไปหาความบันเทิงยามวิกาล อย่างนี้ไม่เกี่ยวกับรถนะครับ ปลอมตัวเดินเท้าไปซดเหล้าเคล้าสตรี แบบนี้ก็ผิดหนักเหมือนกัน ยังเหลืออีกประเด็น ที่อยู่ในความสนใจแต่ไม่ค่อยมีผู้รู้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ว่าพระสงฆ์ที่ขับรถยนต์ และทำผิดกฎจราจร ต้องรับโทษเช่นเดียวกัน หรือน้อยกว่า หรือได้รับการยกเว้น ถ้าเป็นโทษสถานเบา หยุดอยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งอ่านต่อ แล้วลองทายกันก่อนครับ ว่าคำตอบที่ถูกคืออย่างไหน มหาเถรสมาคม ได้ออกกฎมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดถือ และปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งประเทศ ว่าไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น แก่พระสงฆ์ที่ทำผิดกฎจราจร ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงโทษได้เทียบเท่ากับฆราวาสทุกประการ ผมเห็นว่ายุติธรรม และถูกต้องตามตรรกะครับ ที่ผ่านมาแรมปีนั้น มักจะมีการผ่อนผัน หรือยกเว้นเกือบทุกกรณี นอกจากนี้ ถ้าเป็นความผิดร้ายแรง เช่น ขับชนคนตาย เจ้าหน้าที่ต้องรีบแจ้งเจ้าคณะฯ เพื่อทำการสึกโดยด่วน เพราะเข้าขั้นปาราชิก นอกจากต้องรับโทษตามกฎหมายแล้ว ยังไม่มีสิทธิกลับมาบวชเป็นพระสงฆ์ได้อีกต่อไปตลอดชีวิตด้วย



ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ