รอบรู้เรื่องรถ
จะเข้าร่วมการประมูลรถ หรือสิ่งใด ต้องเข้าใจจุดประสงค์
ผมไม่แน่ใจนักว่าเรื่องนี้จะถึงมือท่านผู้อ่านทันก่อนเริ่มงาน MOTOR EXPO 2020 หรือไม่ ถ้าไม่ทันก็ไม่ถึงกับเป็นความผิดพลาดนะครับ ถือว่าเป็นความเห็น หรือคำแนะนำสำหรับงานของเราปีหน้า และสำหรับงานประเภทเดียวกันนี้ในช่วงต้นปีหน้า ก็ได้เหมือนกันครับ คงไม่ได้มีแค่ตัวผมที่ได้ฟังความเห็นแนวนี้ จากผู้ที่ไม่ต้องการไปชมรถรุ่นใหม่และค่อนข้างใหม่ในงานนี้ ซึ่งพอจะจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่แบบไม่เป็นทางการ ได้ 2 จำพวกด้วยกัน คือ พวกแรกบอกความเห็น (หรือข้อแก้ตัว เพราะเสียดายเงินค่าเข้าชม) “ไม่รู้จะไปทำไม เห็นแล้วเซ็งเปล่าๆ ถึงอยากได้ ก็ไม่มีปัญญาซื้อ” ประโยคหลังนี่ละครับที่สำคัญ ก็เพราะไม่มีเงินพอจะซื้อ ถึงได้สมควรไปดู เพราะถ้ามีเงินพอซื้อรุ่นที่ชอบได้แน่ ก็ซื้อมันมาทั้งดูทั้งขับได้เลยนี่คือ ค่านิยมของสังคมไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างยอมรับการ “แถ” บ่ายเบี่ยง แทนที่จะบอกตรงๆ ว่าไม่ต้องการเสียค่าเดินทางและค่าเข้าชม แต่เรื่องการโกหกในชีวิตประจำวันของคนไทยนี่ ไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องการเอ่ยถึงในตอนนี้นะครับ ข้อดีของการเข้าชมงานประเภทนี้ ไม่ได้มีอยู่เพียงการได้ชมรถที่เราชอบอย่างใกล้ชิด ประการแรกก่อนอื่นใดเลย เป็นการได้เปลี่ยนบรรยากาศจากความจำเจ ทั้งในบ้านและที่ทำงานของพวกเรา เพราะในงานมีแต่ความเจริญหูเจริญตา ไม่มีผู้ใดมาแสดงความทุกข์ให้เราเสียความรู้สึก ข้อที่ 2 เป็นโอกาสดีที่จะได้ชมรถรุ่นต่างๆ ทั้งรุ่นที่กำลังสนใจ และรุ่นที่ไม่ได้อยากซื้อ หรือถึงอยากก็ไม่มีเงินพอ ได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเหมือนตอนแวะไปชมตามสาขาที่จำหน่าย หรือแม้แต่ที่สำนักงานใหญ่ก็ตาม ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องปกตินะครับ เพราะเป็นหน้าที่และความต้องการของพนักงานขาย ในการพูดจาหว่านล้อม เพื่อ “ล้วงเงิน” ในกระเป๋าลูกค้าออกมาให้สำเร็จ เพราะการซื้อรถใหม่ของคนทั่วโลกนี่เหมือนกันหมด คือ มีอารมณ์ชั่ววูบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก เมื่อยืนอยู่ข้างรถใหม่เอี่ยม สีมันปลาบ กลิ่นกาว และสีย้อมหนังอย่างเข้มลอยเข้าจมูก จินตนาการเห็นภาพตัวเองนั่งขับอยู่ ต้องรวบรัดให้สำเร็จขณะนั้นให้ได้ ถ้าปล่อยให้ “หลุดมือ” กลับไปคิดต่อที่บ้านด้วยเหตุผลแล้วล่ะก็ หมดหวังครับ ข้อ 3 ถ้ามีรถรุ่นที่ชอบมาแสดงอยู่ด้วย มีโอกาสสูงที่จะได้ลองขับภายนอกบริเวณงานได้ทันทีด้วย บรรยากาศจะค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่ผูกมัดเหมือนการไปขอลองที่ตัวแทนจำหน่ายครับ เพราะจะต้องเจอทีท่าว่าสมควรจัดรถให้เราลองหรือไม่ หรืออาจจะถูกปฏิเสธ ด้วยข้ออ้างว่าไม่มีรถให้ลอง เพราะขี้เกียจ หรือไม่ก็ไม่มั่นใจว่าเราจะซื้อจริงหรือเปล่า ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นคำแนะนำอย่างเป็นกลางจริงๆ เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นจากงานนี้ครับ งานประมูลเลขทะเบียนรถของกทม. เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง และพลันที่มีข่าวแพร่ออกไปทางสื่อมวลชนในวันรุ่งขึ้น ก็มีเสียงเล่าลือตามมามากพอสมควร เนื่องจากเลขทะเบียนราคาสูงสุดของงานนี้ สูงเกือบ 30 ล้านบาท เป็นเสียงท้วงติงหรือเย้ยหยันที่มีต้นเหตุมาจากความไม่เข้าใจเสียเป็นส่วนใหญ่ กับความริษยาที่ปะปนอยู่บ้างตามประสามนุษย์เรา ราคาที่ว่านี้จะแพงเกินควรหรือไม่ คงไม่มีทางหามาตรฐานใดมาเทียบเพื่อตัดสินได้ ประเด็นที่ผมต้องการเอ่ยถึงก็คือ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งหรือสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม ที่ถูกนำมาประมูลในประเทศไทย (หรือประเทศในทวีปเดียวกับเรา) มักจะจบลงที่ราคาซึ่งสูงเกินปกติเป็นอย่างมาก เรามาดูจุดประสงค์ของการจัดการประมูลกันก่อนครับ ผมแบ่งของผมเองอย่างไม่เป็นทางการได้ 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรก เจ้าของทรัพย์สินที่นำมาประมูล ต้องการเปลี่ยนเป็นเงินให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแน่นอน (เช่น รถที่ใช้แล้วขององค์กร หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ยึดจากลูกค้า) แม้ว่าราคาที่ได้จะต่ำกว่าที่ต้องการ หรือต่ำกว่าราคาปกติในตลาดที่ซื้อขายกันก็ตาม (แน่นอนว่าจะต้องกำหนดราคาต่ำที่สุดที่เจ้าของรับได้ไว้ ซึ่งก็คือราคาเริ่มต้นนั่นเอง) แล้วทำไมไม่ตั้งราคาให้ต่ำมากเข้าไว้ แล้วจึงประกาศขาย โอกาสสำเร็จนั้นยากครับ อาจไม่มีใครติดต่อสอบถามมาเลยนานเป็นเดือน และถ้าจะตั้งราคาที่ประกาศขาย ให้ต่ำมากจริงๆ ระดับที่พูดกันว่า “ใครเห็นแล้วไม่รีบซื้อ ก็โง่แล้ว” ก็ทำใจลำบากเหมือนกัน ขายออกไปสำเร็จได้ง่ายแล้ว ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเราตั้งราคาต่ำไปกว่าที่ควรจะได้หรือเปล่า จึงต้องมาจบลงที่วิธีเปิดประมูล ประเภทที่ 2 ของที่นำมาประมูลเป็นสิ่งที่หายาก จำนวนสินค้าน้อย หรืออาจจะถึงขั้นมีเพียงชิ้นเดียว แต่ผู้ต้องการซื้อมีเป็นร้อยเป็นพัน ตั้งราคาขายจนสูงมากแล้ว ก็ยังเหลือคนที่ “สู้” อยู่อีกเยอะ ถ้าจะให้มันจบลงแบบง่ายๆ ไม่เสียเวลา และไม่โดนด่า เพราะมีความยุติธรรมพอ ก็พอทำได้ครับ คือ ใช้วิธีจับฉลาก แต่นั่นไม่ใช่วิธีคิดของนักธุรกิจมืออาชีพที่จะยอมทิ้งเงินส่วนหนึ่งไปเฉยๆ เด็กไม่ถึงสิบขวบที่ฉลาด ก็คิดได้ครับ ว่าต้องให้คนที่พร้อมจะซื้อในราคาต่ำที่สุดที่เราพอใจจะขายแต่แรก มาเสนอราคาเพิ่มแข่งกัน จนเหลือคนสุดท้ายที่พร้อมจะซื้อในราคาสูงสุด ซึ่งก็คือการประมูลนั่นเอง คราวนี้มาวิเคราะห์กันว่า เหตุใดราคาสุดท้ายของสิ่งที่ถูกประมูลในประเทศไทย จึงมักสูงกว่าที่ควรเสมอ มันมาจากพฤติกรรมของผู้เข้าประมูล ซึ่งเรียกง่ายๆ ก็คือผู้ที่มาพยายามซื้อโดยการเสนอราคานั่นเองครับ คนไทยเราเข้าใจกันว่า การเข้าร่วมการประมูล คือ การเข้าร่วมในพิธีการแย่งชิง ให้ได้สิ่งที่ชอบมาครอบครอง ไม่ใช่เลยนะครับ คงมีคนอยากเถียงผมว่า ถ้าไม่ใช่แล้วเหตุใดจึงมีการเสนอราคาให้มาก กว่าคนอื่น สลับกันไปเรื่อยๆ ตอบอย่างง่ายๆ ก่อนเลย ก็เพราะแต่ละคนอยากซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุดนั่นเองครับ อ่านแล้วงงใช่ไหมครับ ไม่แปลก เพราะเราเข้าใจผิดมาตลอดเป็นเวลานานแรมปี วิธีคิดที่ถูกต้องของผู้ต้องการซื้อของในการประมูล ตามตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้เข้าใจนี้ ซึ่งหมายถึงทุกคนที่เข้าร่วมการประมูล มีความเข้าใจจุดประสงค์ของการประมูลถูกต้อง เช่น ประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ต้องเริ่มด้วยการทำความรู้จักสภาพของสิ่งนั้นให้กระจ่าง แล้วประเมินว่า มูลค่าของสิ่งนั้นในใจเรา ในความรู้สึกของเราต่อมัน ควรมีราคาสูงสุดได้แค่ไหน ถ้าเกินกว่านั้น เราถือว่าแพงเกินไป หรืออาจจะไม่แพง แต่ว่าเกินความเหมาะสมต่อฐานะทางการเงินของเราครับ เมื่อเริ่มประมูล ราคาตั้งต้นมักต่ำกว่าราคาประเมินในใจของเราอยู่แล้ว (มีความเป็นไปได้ ที่ราคาเริ่มต้นก็สูงเกินไปสำหรับเราแล้ว เราก็ควรปล่อยมันผ่านไป ไม่คิดจะร่วมเสนอราคาด้วย หันมารอสิ่งอื่นที่เราชอบดีกว่า) ระหว่างประมูล ถ้าราคาที่ผู้อื่นเสนอ เกินกว่าราคาที่เราเสนอ แต่ยังต่ำกว่าราคาสูงสุดที่เรากำหนดไว้ในใจ แน่นอนว่าเราก็จะเสนอราคาเพิ่มขึ้นไปอีก (ตรงนี้ละครับที่คนไทยเข้าใจผิด และคิดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชนะกัน) เผื่อว่าหากไม่มีใครเพิ่มราคาให้อีกแล้ว เราก็น่าจะได้สิทธิเป็นผู้ได้ครอบครอง แต่ถ้ามาถึง ราคาสูงสุดของเราแล้วยังมีคนให้คุณค่าต่อสิ่งนั้นมากกว่าอยู่ จะด้วยความชอบเป็นพิเศษ หรือเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับฐานะของเขา เป็นสิ่งที่ผูกพันกับเขามาในอดีต หรือจะด้วยเหตุใดก็ตาม วิธีคิดและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องของเรา ก็คือ หยุดการเสนอราคาที่มาก กว่าเขา และเกินราคาในใจเราด้วย เปลี่ยนเป็นความรู้สึกยินดีด้วยกับเขา ที่ได้ของชอบไปครอบครอง เราต้องไม่มีความรู้สึกว่าเป็น “ผู้แพ้” นะครับ และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชนะด้วย เป็นแค่ผู้โชคดี บางครั้งผู้ได้ครอบครอง ก็อาจหันมาหรือส่งสัญญาณด้วยภาษากาย มาขอบคุณผู้ที่ “สู้” กับเขาเป็นคนสุดท้ายด้วย หรือผู้นี้อาจจะแสดงความยินดีต่อผู้ที่ “ชนะ” เขาด้วย นี่คือตัวอย่างของการประมูลของชนชาติที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ที่มีระดับจิตใจสูงครับ ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความคิดเหล่านี้ “ถูกหยาม”, “เสียหน้า”, “เสียเหลี่ยม”, “แพ้” ผมเคยได้เข้าร่วมการประมูลรถยนต์ในต่างประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งมีเหตุการณ์ที่ประทับใจผมเกิดขึ้น ช่วงปลายของการประมูลรถคันหนึ่ง เหลือผู้ที่ยังคงเสนอราคาเพิ่มอยู่เพียง 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ดูจากการแต่งกาย น่าจะมีฐานะปานกลาง อีกฝ่ายเป็นชายสูงวัย จากการแต่งกาย และทีท่าที่พนักงานปฏิบัติต่อเขา คงมีฐานะดีมาก ต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันเสนอราคาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ฝ่ายหญิงเริ่มออกอาการเครียด จะเสนอราคาเพิ่มแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการตัดสินใจ ส่วนฝ่ายชายนั้นไม่ต้องรีรอครับ เพิ่มราคาให้มากกว่าทันที ทุกครั้งที่ฝ่ายหญิงเสนอเพิ่ม ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เข้าใจสถานการณ์นี้ดี ล้วนเอาใจช่วยฝ่ายหญิง ที่ดูเหมือนใกล้จะหมดหวังแล้ว และแล้วก็มีคนเข้าไปให้คำแนะนำแก่ฝ่ายหญิง (ที่มีการเปิดเผยทีหลัง) ว่าให้ไปเปิดเผยความจริงแก่ฝ่ายชายที่ร่ำรวยกว่ามาก ว่ารถคันนี้มีความสัมพันธ์ต่อความหลังของเธอมาก และเธอคงไม่มีทางเสนอราคาเพิ่มได้อีกแล้ว ถ้าเข้าใจและเห็นใจ โปรดสละรถคันนี้ให้เธอด้วย เศรษฐีรายนี้เลิกเสนอราคาเพิ่มทันทีครับ เล่ามาขนาดนี้แล้ว คงหายสงสัยกันนะครับ ว่าเหตุใดราคาสิ่งของที่ถูกคนไทยประมูล จึงมักจะจบลงที่ราคาสูงเกินควรแทบทั้งนั้น มันแปรแบบผกผันกับระดับของจิตใจ และความรู้ความเข้าใจครับ อย่าหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะคนที่สามารถชี้แจงถึงวิธีคิดและวิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องในการประมูลก็คือ ผู้จัด ซึ่งมีผลประโยชน์มากหรือน้อย ตามราคาของสินค้าที่ถูกประมูลนั่นเองครับ ใครจะอยาก “ทุบหม้อข้าว” ของตนเอง ปล่อยให้หมูเอาชนะคะคานกันแบบฉลาดน้อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีแต่ได้ครับ และยังถูกใจเจ้าของสินค้าที่ส่งมาประมูลอีกด้วย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/354083