รอบรู้เรื่องรถ
วิธีคำนวณค่าความเร็วก่อนชนจากวีดีโอ จะใช้สูตรไหน ก็ยังแพ้ใจทรามของมนุษย์
ผมพิมพ์ต้นฉบับนี้ในช่วงประมาณกลางเดือนสิงหาคม กว่าจะถึงกำหนดออกวางจำหน่ายและถึงมือท่านผู้อ่าน ก็จะเป็นเวลาที่ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ผมหวังว่าชีวิตของพวกเราชาวไทย และโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้วก่อนมีโรคระบาดร้ายแรงนี้ ที่ต้องหยุดกิจการหรือถูกเลิกจ้าง จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้างแล้วสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ขณะนี้ (หมายถึงช่วงกลางเดือนสิงหาคม) ว่าประเทศไทยของพวกเรานั้น มีผู้บริหารประเทศและสมุนที่เก่งกาจ สามารถทั้งสะกดและสกัดการแพร่ของโรคระบาดร้ายแรงนี้ ได้ยอดเยี่ยมติดอันดับต้นๆ ของโลก ให้ประชาชนชาวไทยภาคภูมิใจ และเบาใจได้ ว่าได้รับการดูแลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว และสมควรไว้วางใจ ให้โอบอุ้มชีวิตของพวกเราต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 20 ปี มันคือการเบี่ยงประเด็น และเป็นภาพลวงตาครับ ก่อนอื่นผมขอคั่นด้วยการชมเชยเจ้าหน้าที่และพนักงานทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ มาอย่างยาวนานเกือบครึ่งปี ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือและความทุ่มเทในระดับที่ผ่านมา อาจมีผู้เสียชีวิตหรือป่วยหนัก มากกว่านี้อีกมากมายครับ ผมเชื่อว่า คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งหลายนั้น ไม่ได้มาจากความสามารถล้วนๆ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะต้องมีความโชคดีมามีส่วนช่วยด้วยเสมอ หรือที่มักชอบพูดกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย” การต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้อย่างได้ผลของประเทศไทย ก็เช่นเดียวกันครับ พวกเราโชคดี ที่เผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัส “รุ่นแรก” จากประเทศต้นทางและประเทศที่อยู่ใกล้เคียง ที่ยังไม่ได้กลายพันธุ์ ผู้ป่วยแสดงอาการหลังจากรับเชื้อไม่นาน รักษาง่ายกว่า และไม่แพร่เชื้ออย่างรวดเร็วในวงกว้าง เท่าพวกที่กลายพันธุ์แล้ว และระบาดอย่างรุนแรงอยู่ในทวีปอื่นๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงลำบากกันยิ่งกว่านี้มาก แต่ความสงบที่พวกเราส่วนหนึ่งได้รับ มันเป็นความสงบเทียมนะครับ เราจะอยู่กันแบบหลงใหล ภูมิใจกับสิ่งที่รัฐบาลเยินยอ กรอกหูไว้ทุกวันไม่ได้แน่ ถ้าเปรียบเทียบกับดินฟ้าอากาศ มันคือความสงบนิ่งชั่วครู่ก่อนพายุใหญ่จะมาถึง ประชาชนในหลายสาขาอาชีพ ยังไม่มีรายได้เท่ากับที่เคยมีก่อนโรคระบาด ส่วนหนึ่งไม่สามารถประกอบกิจการได้เลย เช่น เจ้าของและพนักงานของโรงแรม ที่รายได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ บางจังหวัดที่ธุรกิจเกือบทั้งจังหวัด ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ล้วนกำลังใกล้เวลาที่จะล่มสลาย ถ้ารัฐบาลยังมัวแต่ภาคภูมิใจกับตัวเลข ผู้ติดเชื้อใหม่ ที่เป็นศูนย์ติดต่อกันมานานแล้ว ไร้สาระมากครับ เพราะสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน คือ การยอมรับว่าในอตีตที่ผ่านมา เรามัวแต่หลงระเริงไปกับรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ เป็นการพึ่งพาอย่างไม่กระจายความเสี่ยง ว่าวันใดวันหนึ่งอาจมีเหตุอะไรก็ตามเกิดขึ้นได้ ที่จะทำให้รายได้ส่วนนี้หยุดชะงักไป หมดเวลาเอาสถิติมาอวดอ้างหากิน หรือหาคะแนนนิยมแล้วครับ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นศูนย์ เพื่อแลกกับความเดือดร้อนถึงขั้นไม่มีจะกิน หรือต้องล้มละลายของประชาชนส่วนหนึ่ง แต่ในด้านอื่นๆ กลับปล่อยให้ประชาชนล้มตายกันมากมายได้ทุกวัน เช่น เมาแล้วขับ คร่าชีวิตตนเองหรือผู้อื่น คน ยากจนที่ต้องตายก่อนเวลาอันควร เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาและแพทย์ได้ หรืออาจจะได้แต่ไม่ทันการณ์ ในเมื่อบุคลากรด้านสาธารณสุขของรัฐ มีความสามารถและประสบการณ์พอ ทั้งในการป้องกันและรักษาโรคระบาดจากไวรัสใหม่นี้ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่มีความเสียงต่ำต่อการเป็นพาหะของโรคนี้ กลับเข้ามาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้ผู้ถูกผลกระทบ กลับมามีรายได้ แม้จะไม่เท่ากับในช่วงก่อนการระบาดก็ตาม ช่วยกันระดมความคิดจากประสบการณ์ที่พวกเรามีกันอยู่อย่างดี และน่าจะเพียงพอด้วย ว่าจะจำกัดความเสี่ยงกันอย่างไร ให้อยู่ในสภาวะที่เป็นไปได้ และค่อนข้างสมดุล พวกเราไม่สามารถอยู่กันไปเรื่อยๆ กับแค่ตัวเลขสวยอย่างนี้ได้อีกต่อไปแล้วครับ ในท่ามกลางความเลวร้าย ไม่ว่าจะมากแค่ไหนและที่ใดก็ตาม ถ้าเรามองหาให้ดี ก็จะพบสิ่งดีแทรกปะปนอยู่ด้วยเสมอ ตั้งแต่โรคนี้เริ่มระบาดในประเทศไทย ผมไม่ป่วยด้วยโรคหวัดอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ ไม่ใช่เพราะผมสวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำนะครับ แต่มาจากการที่ผู้อื่นที่อยู่ในระยะใกล้ชิดผม ไม่สามารถแพร่เชื้อโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหวัด มาสู่ผมได้ เพราะทุกคนล้วนสวมหน้ากากอนามัย เช่น คนในครอบครัวของผมบางคน ที่มักเอาเชื้อหวัดมาแพร่ให้ผมทุกๆ หนึ่ง หรือสองเดือน ไม่ว่าผมจะขอร้องให้ระวังอย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ของผม หายไปหมดพร้อมกับการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ผมลองสอบถามเจ้าของร้านขายยาบางราย ก็ได้คำตอบตรงตามที่คาดไว้ นั่นคือ รายได้จากการขายยารักษา หรือบรรเทาโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เหลือเพียงไม่ถึงครึ่ง เมื่อเทียบกับจำนวนก่อนการระบาด ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่เคยเป็นโรคเหล่านี้ ลดลงเกินกว่าครึ่ง จากผลของการจำกัดการแพร่เชื้อ ด้วยการที่ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่างทางกายภาพในสังคม ข่าวเรื่อง ผู้เมายาเสพติด แล้วขับรถเร็วเกินกำหนด จนชนเจ้าหน้าที่ตาย แต่สามารถ “ลอยนวล” อยู่ได้เกือบ 10 ปี แล้วยังมีทีท่าว่าจะสามารถโยนความผิดให้กับผู้ตาย ซึ่งจะทำให้ตนเองพ้นจากความผิดได้ด้วย ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชนผู้รักความยุติธรรมทั่วประเทศ มีผู้อ่านส่วนหนึ่งแจ้งมาว่า อยากให้ผมขยายความ การคำนวณความเร็วเฉลี่ยของรถ จากการดูภาพเคลื่อนไหว ที่ถ่ายด้วยกล้องวงจรปิด ซึ่งผมได้อธิบายหลักการไปแล้วในฉบับก่อน คราวนี้ขอให้เป็นแบบที่มีตัวเลขเป็นตัวอย่างชัดๆ กันไปเลยได้ไหม ไม่มีปัญหาครับ จุดยืนของการนำเสนอเรื่องเทคนิคในนิตยสารของเรา ซึ่งมีผู้อ่านหลากหลายมากก็คือ จะไม่นำตัวเลข สูตร หรือสมการ มาทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายขณะอ่าน กลับกลายเป็นเรื่อง “หนัก” ชวนเวียนหัว หรืออาจจะถึงขั้นอยากเลิกอ่านไปเลย แต่บางครั้งก็มีความจำเป็นครับ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้เขียน ในการทำเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด วิธีหาค่านี้ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนครับ เพราะความเร็วก็คือระยะทางที่อะไรก็ตามเคลื่อนที่ไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเราต้องการรู้ค่าความเร็ว (เฉลี่ย) ของรถคันหนึ่ง ที่เราได้ถ่ายถาพเคลื่อนที่หรือวีดีโอเอาไว้ เราก็เพียงแค่นำมาฉายดู แล้วหาตำแหน่งที่สังเกตง่าย และอยู่ใกล้แนวที่รถเคลื่อนที่ที่สุด ให้ได้ 2 ตำแหน่ง เลือกให้ห่างกันพอสมควร เพราะถ้าใกล้กันมาก จะมีผลคลาดเคลื่อนได้มากเกินไปในการจับเวลา ยกตัวอย่างระยะแค่ประมาณ 10 เมตร แบบนี้น้อย (ใกล้กัน) เกินไป ยิ่งรถแล่นเร็ว ยิ่งต้องเลือกระยะให้ห่างกันมากเข้าไว้ก่อนครับ ตำแหน่งทั้งสอง ที่เราอยากเลือก จะเป็นวัตถุอะไรก็ได้นะครับ เช่น พุ่มไม้บนเกาะกลางถนน ตอม่อรถไฟฟ้า เสาของรั้ว เสาไฟฟ้าริมทาง หัวจ่ายน้ำดับเพลิง (ที่ไม่เคยมีการปล่อยน้ำเลยตั้งแต่ติดตั้งเสร็จ) ขอให้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ถูกตรึงอยู่กับที่อย่างถาวร เมื่อเลือกตำแหน่งทั้ง 2 ได้แล้ว จากการดูวีดีโอซ้ำจนมั่นใจและคุ้นเคย ขั้นต่อไปให้จับเวลาที่รถที่เราต้องการรู้ความเร็ว ตั้งแต่ผ่านจุดแรก จนกระทั่งผ่านจุดที่ 2 พอดี ต้องเลือกตำแหน่งของรถให้เหมือนกัน ตอนผ่านทั้ง 2 จุด เช่น กันชนหน้า กันชนหลัง บานประตูหน้า ฯลฯ จับเวลาตั้งแต่รถผ่านจุดแรก จนผ่านจุดที่ 2 ใช้นาฬิกาของวีดีโอนี่แหละครับ เที่ยงตรงมากเกินต้องการอยู่แล้ว หลังจากนั้น ต้องไปยังสถานที่จริงตามภาพ วัดระยะห่างระหว่างจุดทั้งสอง เราก็จะได้ค่าตามที่ต้องการครบถ้วน คือ เวลา และระยะทาง เช่นจับเวลาในวีดีโอได้ 2.6 วินาที และวัดระยะทางได้ 87 เมตร เราเอาระยะทาง คือ 87 เมตร เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยเวลา คือ 2.6 วินาที ได้ค่าความเร็วเท่ากับ 33.46 เมตร/วินาที แปลงหน่วยของความเร็วที่ได้ จาก เมตร/วินาที ให้เป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง โดยคูณด้วย 3,600 แล้วหารด้วย 1,000 ได้ค่าประมาณ 120.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง หักความผิดพลาดของผลที่ได้ ให้เป็นประโยชน์ต่อ “จำเลย” สัก 5 % ก็ได้ครับ ก็จะได้ตัวเลขที่จะนำมาปรักปรำ แค่ 114.4 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีผู้สอบถามมาว่า จากการคำนวณความเร็วของนักวิชาการ 2 คน จากพยานหลักฐานเดียวกัน เหตุใดจึงได้ค่าจากการคำนวณของคนหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งของอีกคน และที่ตลกแต่ขำไม่ออกก็คือ รายหลังนี่ได้ตัวเลขนำโชคแก่จำเลยพอดี คือ 79 เศษๆ กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนดไว้ (80) อย่างฉิวเฉียด เข้าขั้นที่พอจะเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ ผมคงให้คำตอบต่อคำถามนี้ไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ปรักปรำใครโดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน ขอเปลี่ยนเป็นการเล่าประสบการณ์ของผม ในช่วงที่ทำงานในมหาวิทยาลัย 2 แห่ง กับสิ่งที่ผมได้รับรู้ในฐานะบุคลากรในระบบการศึกษา ผมขอบอกว่า ประเทศไทยเรานี้ ถ้าเปรียบเป็นคนคนหนึ่ง ก็ต้องเรียกว่าเป็นคนที่อาภัพอับโชคจริงๆ จะเป็นเพราะมีบาปหนาติดตัว หรือคงกรรมเก่ามากมาย เพราะโดยเฉพาะในช่วงหลัง คือ ไม่กี่สิบปีมานี้ จรรยาบรรณของบุคลากรในแวดวงการศึกษาของไทย ตกต่ำลงอย่างมากจริงๆ นักวิชาการ “หน้าเงิน” จึงเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเหมือนเห็ดต้นวสันตฤดู “ปีศาจคาบคัมภีร์” เหล่านี้ มันพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ได้เงิน “จุใจ” เป็นใช้ได้ครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2563
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/346069