รอบรู้เรื่องรถ
น้ำมันเครื่อง เลือกของแท้ ก่อนเลือกบแรนด์
คำถามของผู้ใช้รถที่ผมได้รับมากที่สุด คือ น้ำมันเครื่องบแรนด์ไหนดีที่สุด หรือน่าใช้ที่สุด รองลงมา คือ ระดับความหนืดที่ควรเลือกใช้ เรื่องบแรนด์นี่ไม่มีคำตอบตายตัวครับ เพราะมีตัวแปรอยู่มาก ที่สำคัญที่สุด คือ ราคาต่อปริมาตร ว่าเราพอจะจ่ายในระดับไหน และที่สำคัญก็คือ ราคาไม่ใช่ตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพแต่อย่างใด ส่วนความหนืดนั้นผมน่าจะเคยแนะนำไปเมื่อปีที่แล้ว หรือก่อนหน้านั้นไม่มาก แต่สิ่งที่ผมแนะนำไปในคำตอบ โดยที่ไม่ได้ถูกถามถึงก็คือ ขอให้หาทางตรวจให้แน่ใจครับ ว่าเราจะไม่พลาด โดยถูกหลอกลวงให้ซื้อน้ำมันเครื่องปลอมปัญหานี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่มีกันหรอกครับ เพราะผู้รักษากฎหมายของเขา ไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า ใครที่คิดจะทำ ก็จะมีโอกาสถูกจับกุมสูง และโทษที่ได้รับ ก็จะไม่คุ้มค่ากับการกระทำนี้ แต่ที่นี่ประเทศไทย ที่ดูเหมือนว่าผู้รักษากฎหมายส่วนใหญ่ทำหน้าที่หลัก นั่นคือ การรักษากฎหมายติดตามจับกุมผู้กระทำผิด ให้กลายเป็นหน้าที่รอง แล้วถือเอาการเอาใจ ประจบ สร้างภาพ หาผลประโยชน์ให้ผู้บังคับบัญชาเป็นหน้าที่หลักแทน พวกเราซึ่งเป็นผู้บริโภค ก็เลยต้องรับเคราะห์ ตกเป็นเหยื่อของบรรดานักปลอมสินค้าเหล่านี้ คำถามแรก คือ จะสังเกตได้อย่างไร ว่าน้ำมันเครื่องที่กำลังจะซื้อ เป็นน้ำมันเครื่องปลอมหรือไม่ ถ้าถอยเวลาไปสัก 20 ปี ก็พอจะตอบได้ว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจนี้ หรือผู้มีประสบการณ์สูงพอ สามารถสังเกตจากภาชนะที่บรรจุ จากฉลาก ควบคู่ไปกับการดมกลิ่น ซึ่งมาจากสารเคมี ที่เป็นสารเพิ่มคุณภาพ (ADDITIVES) น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพสูง จะใส่สารเพิ่มคุณภาพในอัตราที่สูง จึงมีกลิ่นค่อนข้างแรงจากความเข้มข้นของสารเหล่านี้ ผู้คุ้นเคยจะใช้กลิ่นนี้ช่วยตัดสินได้ แต่ปัจจุบันนี้นักปลอมน้ำมันเครื่อง จะใส่สารที่มีกลิ่นใกล้เคียงกัน จนแม้แต่ผู้ที่คุ้นเคย ก็หาความแตกต่างไม่ได้ ภาชนะที่บรรจุ และฉลาก ก็มีระดับคุณภาพและความละเอียดแทบไม่ต่างกัน หรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งนั้น เพราะนักปลอมแปลงพวกนี้ สามารถไปว่าจ้างโรงงานในระดับเดียวกันฉีดได้ หรือไม่ก็จ้างโรงงานเดียวกับที่ฉีดภาชนะบรรจุของแท้นั่นแหละครับ เมื่อไม่สามารถตรวจสอบด้วยการมองดูภาชนะและฉลาก หรือแม้แต่สีของน้ำมันเครื่อง รวมทั้งไม่สามารถตรวจสอบด้วยการดมกลิ่นได้ ผู้บริโภคที่อาภัพอย่างพวกเรา ก็เหลือทางเดียวเท่านั้น ที่จะไม่ให้ถูกหลอกขายน้ำมันเครื่องปลอม นั่นคือ การใช้ความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ของผู้ขาย ในการตัดสินใจ หรือไม่ก็ต้องมีการแสดงต้นทางของการจำหน่ายได้ ว่ามาจากผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าของแท้ แต่ในกรณีหลังนี้ก็ยังไม่ใช่หลักประกันครับ เพราะผู้รับของปลอมมาขาย ก็จะสั่งซื้อของแท้มาขายควบคู่ไปด้วย ไว้เป็นเครื่องป้องกัน เมื่อใดที่ถูกลูกค้า หรือเจ้าหน้าที่ขอดูหลักฐาน จะได้มีใบสั่งซื้อของแท้ให้ตรวจสอบได้ ปัญหานี้ต้องถูกแก้ไขให้ถูกจุดที่ต้นทางครับ ถ้าตำรวจมีความตั้งใจทำงาน ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือเอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมรับรองได้ว่าขบวนการปลอมแปลงน้ำมันเครื่องอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มันไม่มีทางจะเติบโตจนเป็นภัยแก่ผู้บริโภคเช่นพวกเราได้เลยครับ เป็นไปได้หรือครับที่จะมีแหล่งผลิตน้ำมันเครื่องปลอม ที่ต้องมีการขนส่งวัตถุดิบเข้า และส่งสินค้าปลอมที่บรรจุแล้วออกไป โดยที่ตำรวจไม่รู้หรือหาไม่เจอ ไม่มีทางครับ วัตถุดิบที่ว่านี้ ก็คือ น้ำมันเครื่องใช้แล้วจากศูนย์บริการ และปั๊มน้ำมัน ที่พวกเราเข้าไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนี่แหละครับ พวกมันสามารถขับรถเข้ามาซื้อไปได้โดยไม่ต้องกังวล ในราคา “มาตรฐาน” ลิตรละ 2 บาท เอาไปบำบัดโดยการกรองเขม่า ฟอกสี ใส่สี ใส่กลิ่น เสร็จสรรพ ก็ได้ ลิตรละหลาย 10 บาท แค่ขับตามบรรดาพิคอัพ บรรทุกถังน้ำมัน 200 ลิตร หลายถัง พร้อมปั๊มสูบ น้ำมันก็ไปถึงแหล่งปลอมน้ำมันเครื่องได้แล้ว ที่จริงมีอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยหลีกเลี่ยงการถูกหลอกขายน้ำมันเครื่องปลอมได้ นั่นคือ การหลีกเลี่ยง น้ำมันที่มีชื่อเสียง และขายดี คำแนะนำนี้ผมไม่อยากเขียนหรอกครับ เพราะไม่ให้ความยุติธรรมแก่ ผู้ผลิต หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ขายดี แต่มองในมุมกลับ ผู้ที่ผลิต และ/หรือ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ขายดี และถูกปลอมแปลง ก็ควรจะลงทุนลงแรง ป้องกันการปลอมแปลงผลิตภัณฑ์ของตนเองด้วย จะจ้างนักสืบเอกชน หรือจะตั้งงบประมาณ เพื่อ “ไขลาน” หรือ “หล่อลื่น” ตำรวจของรัฐก็ตามแต่ อย่ามองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้มหาศาลของบริษัทเลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของความถูกต้อง เป็นการปกป้องลูกค้า และเป็นการลดจำนวนผู้ประกอบมิจฉาชีพให้แก่สังคมด้วย
ถึงเวลารับประกันคุณภาพ
เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมอ่านพบบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นการแถลงข่าวของกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับคุณภาพของยางรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย ที่ต้องนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราซึ่งเป็นผู้บริโภค นั่นคือ กระทรวงฯ เตรียมออกกฎบังคับให้ผู้ผลิตยางรถยนต์ รับประกันคุณภาพของยางเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี นานๆ จะได้ข่าวดีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ การป้องกันผู้บริโภคเสียเปรียบครับ แต่ก็ยังดีใจไม่ได้ จนกว่าจะมีการบังคับใช้ให้เป็นรูปธรรม ผู้บริโภคชาวไทย มักมีพฤติกรรมที่แปลกบางอย่าง คือ ไม่ค่อยต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และที่หนักกว่าก็คือ ยินดีที่จะเชื่อฟังคำแนะนำของผู้ขาย โดยไม่ต้องการวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ว่าถูกต้องหรือไม่ พวกเราก็เลยถูกยุให้ซื้อสินค้าใหม่มาก และบ่อยกว่าที่ควรอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แทนที่จะอ่านคู่มือในการใช้รถ เช่น เขาบอกให้เปลี่ยนทุกๆ 12,000 กม. ก็กลับไปเชื่อเจ้าของอู่ซ่อม หรือปั๊มน้ำมันที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการขายน้ำมันเครื่อง ว่าต้องเปลี่ยนทุก 5,000 กม. มันเป็นเงินที่ศูนย์เปล่า และน่าจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ครับ เรื่องยางก็เหมือนกัน อายุใช้งานของมัน “สั้นลง” เรื่อยๆ ตามคำแนะนำ (ขู่) ของเจ้าของร้านยาง ช่าง ผู้จัดการ เจ้าของอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการ ที่ล้วนมีผลประโยชน์โดยตรง ต่อการขายยางใหม่ สถานการณ์ ณ เวลานี้ ก็คือ “อายุของยางไม่ควรเกิน 2 ปี” นี่คือ คำแนะนำที่ระบาดไปทั่ว ผู้ที่รักรถ หรือผู้มีสำนึกด้านความปลอดภัย เชื่อกันสนิทใจว่ามันเป็นความจริง ไร้สาระครับ แต่กรณีนี้ต่างจากกำหนดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องครับ เพราะผู้ผลิตมักไม่ได้บอกไว้ในคู่มือใช้รถ สิ่งที่กำหนดว่าล้อยางของรถ ไม่ควรถูกใช้งานอีกต่อไป มี 3 อย่างที่สำคัญครับ อย่างแรก คือ ความลึกของดอกยาง ที่มีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยเมื่อขับบนถนนเปียก เพราะต้องช่วยรีดน้ำ เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้ดี ผมไม่แน่ใจว่ากฎหมายการจราจรทางบกของไทย กำหนดค่านี้ไว้หรือเปล่า ขนาดไปดูกฎหมายของประเทศที่เจริญระดับสูงสุดของยุโรป ก็ยังเป็นค่าที่ล้าหลัง คือ กำหนด ให้มีร่องลึกไม่น้อยกว่า 1 มิลลิเมตรเศษ ซึ่งไม่เพียงพอครับ ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากความเร็วของรถเมื่อสมัยออกกฎหมายนี้ ที่ยังไม่สูงนัก และหน้ายางของรถ เมื่อหลาย 10 ปีก่อน ก็ยังแคบกว่าสมัยนี้มาก ค่าที่เหมาะสมทางเทคนิค คือ ไม่ควรต่ำกว่า 3 มม. เวลาวัดไม่ต้องหาอุปกรณ์พิเศษมาให้ยุ่งยากเหน็ดเหนื่อย ใช้เงินเหรียญทั่วไปนี่แหละครับ เอาด้านข้างของเหรียญเสียบเข้าไปในร่องจนยันกับก้นร่อง เอานิ้วโป้งกับ นิ้วชี้บีบ โดยเน้นให้เล็บแนบกับหน้ายางพอดี แล้วชักกลับมาดูด้วยสายตา หรือจะจำตำแหน่งที่ปลายเล็บ สัมผัสกับเหรียญแล้วใช้ไม้บรรทัดวัดให้ได้ค่าจริงพอประมาณก็ได้ ความลึกของดอกยางใหม่เอี่ยม ประมาณ 8 ถึง 9 มม. ครับ สิ่งที่ 2 ที่กำหนดว่ายางหมดอายุ ในการที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็คือ ความชำรุดที่ส่งผลถึงโครงสร้างของยาง เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นแผลใหญ่ หรือโครงสร้างช้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างแรงจนขอบกระทะล้อชำรุด ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างของหน้ายาง และโดยเฉพาะแก้มยางต้องบอบช้ำมากแน่นอน หรือถูก “บด” จากการขับโดยไม่มีลมยางระยะทางไกล ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไปครับ สิ่งที่ 3 ที่บ่งชี้ว่า ยางหมดสภาพที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป ก็คือ อายุของยาง นับตั้ง แต่ถูกผลิต ไม่ควรเกิน 6 ปีครับ ซึ่งไม่ถือว่านานมากสำหรับยางที่มีคุณภาพสูงพอ ใครที่บอกว่า ไม่จริง เพราะเคยเจออายุแค่ 4 ปี ก็เสื่อมแล้ว นั่นคือ ยางชั้นต่ำครับ และก็คือ ที่มาของการกำหนดมาตรฐานยางในเรื่องนี้นั่นเอง ถ้ายางของคุณไม่เข้าข่ายที่จะหมดสภาพใช้งาน ก็ไม่ต้องไปกังวลครับ ว่าจะใช้มากี่หมื่นกิโลเมตรแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ยางของคุณมีอายุเกือบ 4 ปี ใช้ไปแล้วเกือบ 50,000 กม. แต่ยังเหลือ ดอกยางเกือบ 5 มม. เพราะศูนย์ล้อของรถคุณถูกต้อง ยางจึงสึกช้า ก็ไม่ต้องรีบเปลี่ยนใหม่ให้เปลืองเงิน ใช้ต่อไปอีกได้ จนกว่าหัวข้อใดจะบ่งชี้ว่าหมดสภาพการใช้งานครับ ก็คงอยากมีคนเถียงว่า แล้วเนื้อยางมันจะไม่แข็งโป๊กไปแล้วหรือ ก็เป็นได้ครับ ซึ่งจะทำให้มันเกาะ ผิวถนนเปียกได้ไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเจอแบบนี้ก็หมายความว่า เราเจอยางห่วย ที่เป็นประเด็นของเรื่อง มาตรฐานที่ว่านี้แหละครับ ก็หวังว่ามันจะเป็นสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ จะทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา เพื่อคุ้มครองสิทธิอันชอบธรรมของผู้ใช้รถนะครับ ดูเหมือนว่าเกือบทุกครั้งที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับในแต่ละเดือน จะต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ ครั้งนี้เป็นเรื่องราวที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ เพราะมันเลวร้ายจนน่าจะเป็นการฝันร้ายมากกว่าความจริง นั่นคือ การบิดเบือนของกลุ่มคนที่เป็นข้าราชการ เพื่อทำเรื่องให้ผู้ต้องหาที่ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเสียชีวิต ภายใต้ความมึนเมาจากการเสพทั้งแอลกอฮอล และยาเสพติด พ้นจากความผิดทุกข้อหา ลงชื่ออนุมัติไม่สั่งฟ้องอย่างมีเลศนัยลับๆ โดยอัยการผู้หนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เสมือนการเอาเท้าเหยียบหน้าคนไทยทั้งประเทศ จะยกเว้นก็เฉพาะกลุ่มคนที่มันรู้เห็นเป็นใจต่อพฤติกรรมอุบาทว์นี้เท่านั้น คำถามหลักที่ผมถูกขอให้ตอบก็คือ เจ้าหน้าที่ทราบได้อย่างไร ว่ารถนี้ถูกขับด้วยความเร็วก่อนชน สูงถึง 177 กม./ชม. เพราะไม่น่าจะมีเครื่องวัดความเร็วอยู่บริเวณนั้น ขอตอบสั้นๆ เพราะเนื้อที่เกือบหมดนะครับ ว่าโดยการจับเวลาอย่างละเอียดระดับหนึ่งในร้อยวินาทีในคลิพวีดีโอ ขณะที่รถขับผ่านวัตถุถาวร 2 ตำแหน่ง ที่เห็นในคลิพ แล้ววัดระยะห่างของวัตถุทั้ง 2 ณ สถานที่จริง เอาค่าทั้ง 2 มาคำนวณหาความเร็วเฉลี่ยได้ง่ายมากครับ กับอีกคำถามที่ไม่ค่อยมีใครจินตนาการได้ ว่ารถคันที่ชนนั้น มันทำความเร็วบนถนนสุขุมวิทย่านกลางเมืองได้สูงระดับนี้จริงหรือ คำตอบ คือ แน่นอนครับ รถนี้ (ผมขอไม่เอ่ยชื่อ เพราะเห็นใจตัวแทนจำหน่าย ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ต้องหาก็ถือหุ้นอยู่ด้วย) เอาเป็นว่ารุ่น พยัญชนะซ้ำกัน 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ให้กำลังได้ถึง 650 แรงม้า ถ้ารถนี้แล่นอยู่ด้วยความเร็วสัก 60 กม./ชม. ด้านหน้าหมดรถอื่นที่กีดขวาง แล้วคนขับเหยียบคันเร่งยันพื้นแช่ไว้ด้วยความเมา มันจะทำความเร็ว ราวๆ 180 กม./ชม. ได้ภายในเวลาราวๆ 7 วินาทีเท่านั้นครับ ไม่มีใครรู้ว่าก่อนชนท้ายรถจักรยานยนต์ของตำรวจ รถได้ถูกเบรคหรือไม่ ผมเชื่อว่าใช่ มิฉะนั้นความ เสียหาย น่าจะมากกว่านี้ ถึงกระนั้นกระจกหน้า (ซึ่งแข็งแรงระดับที่พวกเราทุบด้วยไม้ท่อนใหญ่ให้แตกยังไม่ได้) ก็แตกยุบเป็นหลุม ขนาด และรูปทรงเดียวกับหมวกนิรภัยของเจ้าหน้าที่ที่ถูกชนครับเรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2563
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/339541