รอบรู้เรื่องรถ
โลกใหม่ ชีวิตใหม่ หลังโรคระบาด
วันที่ผมเริ่มพิมพ์ต้นฉบับนี้ เป็นช่วงประมาณ กลางเดือนเมษายน หมายความว่า กว่า ผู้อ่านจะได้อ่านเรื่องนี้ในมือของท่าน อย่างเร็วที่สุด ก็น่าจะราวๆ วันที่ 1 เดือนมิถุนายนนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าท่านที่เป็นสมาชิกรายปีจะได้รับนิตยสารก่อนการวางจำหน่ายหรือไม่ แต่ก็คงจะคลาดเคลื่อนกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หวังว่าในช่วงเวลาอีกเดือนกว่าที่ว่านี้ ทุกสิ่งที่เลวร้ายตกต่ำลงจากโรคระบาดนี้ โดยเฉพาะที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จะลดระดับลงไปได้มากพอสมควรนะครับ เพราะในขณะที่ผมกำลังพิมพ์เรื่องนี้อยู่ สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ไม่มีใครที่รู้จริงและตอบได้ว่า พวกเรามาเกือบถึง “ก้นเหว” หรือยังผมหวังว่าจะใช่นะครับ หมายถึง การแพร่ระบาดของโรคนี้ และความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนเท่านั้น ส่วนความเสียหายด้านเศรษฐกิจ และอาชีพการงาน หรือรายได้ของประชาชนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงครับ เพราะจะตามมาเป็นระลอก แบบเดียวกับคลื่นจากต้นกำเนิด ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วต้องใช้เวลา เพราะมีองค์ประกอบซับซ้อนต่างๆ อีกมากมาย จนไม่น่าจะมีใครรู้ล่วงหน้าได้ นอกจากจะคาดเดากันไป ทำนายได้ถูก หรือตรงมากน้อยแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับความรอบรู้ หรือไม่ก็แค่โชคช่วย ถ้ามีใครมาบอกว่ารู้จริงล่วงหน้า ถึงผลลัพธ์ที่จะมีต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างละเอียด รีบเชื่อได้เลยนะครับ ว่ามันโม้ หรือไม่ก็มั่วแน่นอน แต่ใน “ภาพใหญ่” นั้น ใครที่สนใจ หรือเฝ้าดูมาตลอด ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมือง หรือพวกที่เดือดร้อนจากผล กระทบโดยตรงจากความตกต่ำของเศรษฐกิจประเทศเรา ไม่มีทางทำนายผิดหรอกครับ ว่าจะต้อง “เละเทะ” เกินบรรยายอย่างแน่นอน แค่ลองนึกภาพย้อนเวลากลับไปก่อนที่โรคระบาดนี้จะมาถึงประเทศไทย ในช่วงเวลาเป็นปี ที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจมปลักอยู่ในการดำรงชีพอย่างฝืดเคือง และไม่มีแนวโน้มว่าจะเงยหน้าอ้าปากกันได้ มีแต่กลับดำดิ่งทรุดลงไปทุกวัน และนี่ยังมาถูกกระหน่ำซ้ำเติม ด้วยความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหลาย เลิกจ้างพนักงาน หรือลูกจ้างกันอย่างมากมาย มันจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน ผมขอไม่บรรยายต่อนะครับ และก็หวังว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงต่อจากวันนี้ จะไม่เลวร้ายเท่าที่ผมกลัว หรือคาดเดาไว้ “น้ำลด ตอผุด” สุภาษิตไทยดั้งเดิม ยังใช้การได้อย่างตรงประเด็นอยู่เสมอ ยามที่ประเทศไทย และอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคอย่างยิ่งยวด กลับมีข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริง ถูกเผยแพร่ออกมาว่า คนที่มีหน้าที่จัดการหาสิ่งเหล่านี้ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน มันกลับปล่อย หรือไม่ก็อาจจะถึงขั้นร่วมมือด้วย ยักยอกแล้วนำไปลักลอบส่งออกไปขายยังต่างประเทศเสียเอง นี่ก็สร้างความเจ็บช้ำต่อประชาชนได้อย่างหนักแล้ว แต่ที่ยิ่งไปกว่านี้ก็ คือ พวกมันไม่ได้ถูกลากคอมาลงโทษตามกฎหมายให้สาสมครับ เพียงแค่เพราะคนที่เอาเรื่องมันได้ ดันเป็นฝ่ายเดียวกับมันเสียอีก จึงจัดนักวิชาการ “ขาใหญ่” พวกเดียวกันอีกเช่นเคย หาข้อแก้ตัวแบบหน้าด้านที่สุด แล้วมาตะแบงให้ประชาชนอย่างพวกเราฟัง ในท่ามกลางสารพันความเลวร้าย ที่เป็นผลพวงของโรคระบาดในครั้งนี้ ก็ยังมีสิ่งดีๆ บางอย่างเกิดขึ้น และมาช่วยลดระดับความหดหู่จิตใจของพวกเราได้พอสมควร ซึ่งก็คือ ความมีน้ำใจ ความโอบอ้อมอารีของคนไทยส่วนหนึ่ง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผม และอาจจะรวมถึงผู้อ่านส่วนหนึ่งด้วยนะครับ ย่อมรับรู้มานานแล้วว่า ผมมักจะมีเรื่องตำหนิพฤติกรรมอันไม่สมควรของคนไทยส่วนใหญ่อยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะชีวิตในอดีตของผมในต่างแดน รวมทั้งหน้าที่การงาน และยังผสมกับความสนใจส่วนตัว ล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นไป และพลเมืองของบรรดาประเทศที่ “พัฒนาแล้ว” ซึ่งที่จริงแล้วล้วนมีที่มาจากความคาดหวัง หรือหวังดี อยากให้ประเทศของเรา และพลเมืองของประเทศเรา เป็นแบบพวกเขาบ้างในด้านที่ดี ยอมรับครับว่าบางครั้งที่อยากหาเรื่องมาชมเชยบ้าง ก็หาไม่ค่อยได้ แน่นอนอยู่แล้วครับ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ก้าวหน้า และมีมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่สูงกว่าพวกเรา นี่คือ ความเป็นจริงในสถานการณ์ปกติ คุณค่าด้านดีในจิตใจของคนไทยเรา อาจจะไม่มีโอกาสได้ “เผยโฉม” ออกมาให้พวกเราเอง และชาวโลกได้รับรู้ แต่เมื่อใดที่มีวิกฤตการณ์เกิดขึ้นในประเทศ เราจะได้เห็นธาตุแท้ของคนไทยในด้านดี ซึ่งจากประสบการณ์ตลอดชีวิตของผมแล้ว ถือว่าหาได้ยากมากในชนชาติอื่นครับ ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของประเทศยากจน หรือร่ำรวยก็ตาม ผมได้เห็นผู้คนที่มีจิตใจดี นำอาหาร หรือแม้แต่เงินสด มาแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ที่ลำบากแร้นแค้นจริงๆ โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ไม่มีการประกาศชื่อ ยกเว้นจะถูกผู้สื่อข่าวถาม ไม่ได้ต้องการ “ได้หน้า” ด้วย เพราะใบหน้าเกินครึ่ง ก็ถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัย ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ความช่วยเหลือทำนองนี้มักมาจากองค์กรนะครับ สมาชิกส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมีใจเป็นกุศลจริง แต่เงินจำนวนไม่น้อย ก็มาจากการเรี่ยไรจากคนที่มีฐานะพอจะจ่ายได้ ไม่ได้มาจากความเต็มใจล้วนๆ อย่างที่พวกเราคนไทยช่วยเหลือกัน ที่กล่าวมานี้ไม่นับรวมการแจกจ่าย โดยนักการเมืองหลายพรรคด้วยกันนะครับ ที่ต้องใส่เสื้อคลุมมีชื่อพรรคติดอยู่ พวกมันคงได้บาปติดตัวไปแทน ไม่ว่าจะไปอยู่ในภพไหน เพราะเบิกงบประมาณเกินมูลค่าสิ่งที่เอาไปแจก ส่วนต่างก็คงผันเข้ากระเป๋าไป ผมเคยเห็นมีข้าวกล่องที่กับข้าวเป็นผักล้วนๆ หาเนื้อสัตว์ไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว บางพรรคมันก็เอาของที่ประชาชนมีใช้อยู่แล้วไปแจก พวกมันให้แม้กระทั่งยาสีฟัน และแปรงสีฟัน ที่อาจจะรีดไถพ่อค้ามาได้โดยง่าย และไม่เน่าเสีย แก่ประชาชนที่หิวโหย (น่าจะมีใครที่ทนไม่ไหว รวมตัวกันขว้างใส่หัวพวกมันคืนไป) เรื่องต่อมาที่น่าชมเชยพวกเราชาวไทย ก็คือ ความมีมารยาทในการซื้อของ แม้จะกำลังขาดแคลน พวกเราไม่มีพฤติกรรมป่าเถื่อนเหมือนพลเมืองในประเทศมหาอำนาจอันดับแรกของโลก ที่ผมเห็นการยื้อแย่งของกันจากมือดื้อๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากพฤติกรรมของสัตว์ป่า ที่แย่งอาหารกันในแบบที่ ใครแรงมากกว่าย่อมได้ไป แต่ถ้าจะให้ดีจริงยิ่งขึ้นไปอีก ก็ต้องดูชาวญี่ปุ่นเป็นเยี่ยงอย่างครับ พวกเขาจะมีความเห็นใจผู้อื่นเป็นสำนึกประจำใจอยู่ตลอดเวลา เช่น ถ้ามีของแบบเดียวกันที่ต้องการซื้อกลับบ้านสัก 5 ชิ้น และในร้านเหลืออยู่เพียง 2 ชิ้น คนชาติเขาส่วนใหญ่จะหยิบมาเพียงชิ้นเดียว ด้วยความเห็นใจว่าคนต่อไปที่มาช้ากว่าเขา อาจจะจำเป็นต้องใช้เท่าเขา หรือยิ่งกว่าเขาก็ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ (ผมเจาะจงใช้คำนี้ เพราะพวกเราไม่เลือกที่จะช่วยแต่เฉพาะชนชาติเดียวกัน เหมือนที่พวกชนชาติอื่นๆ โดยเฉพาะพวกผิวขาวถือปฏิบัติกัน) ด้วยกันยามวิกฤต โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ก็เปรียบเสมือนพวกเราชาวไทย เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ อายุพอประมาณคันหนึ่ง ยามปกติที่มีถนนอย่างดีให้เจ้าของใช้งาน มันย่อมไม่มีทางสู้รถเก๋งระดับสูงได้เลย ไม่ว่าจะด้านไหนทั้งนั้น ความนุ่มนวลของช่วงล่าง อัตราเร่ง การกันเสียงรบกวน ความสบายขณะขับ ฯลฯ แต่เมื่อต้องใช้งานบนทางชัน ผิวถนนเป็นหลุมบ่อ หรือต้องผ่านแอ่งน้ำลึก เมื่อนั้นแหละครับ รถเก่า “ธรรมดา พื้นๆ” คันนี้ จะเผยคุณค่าให้เราได้รับรู้ทันที เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเปรียบเทียบความดีหรือคุณค่า ในหัวข้อต่างๆ ระหว่างชาวไทย และชาวต่างชาติ ผมถือว่า 2 ข้อ ที่ผมเอ่ยมานี้ เป็นสิ่งที่ล้ำค่า และหาได้ยากยิ่ง ถ้าจะให้ยุติธรรมในการให้คะแนน ต้องมีตัวคูณเพื่อเพิ่ม “น้ำหนัก” ให้เป็นพิเศษด้วยครับ ผู้อ่านทุกท่านคงไม่ต้องใช้ความช่างสังเกตเป็นพิเศษ ก็ย่อมจะเห็นได้นะครับ ว่าพวกมนุษย์ด้อยค่า กากเดนของสังคมไทย ที่ภารกิจอันโปรดปราน คือ การถ่ายรูปวัตถุทั้งหลาย (อาจจะเป็นร่างกายของมัน ที่มันเชื่อว่าน่าอวดด้วย) ทั้งบ้าน นาฬิกา รถยนต์ กระเป๋า ผัว หรือเมีย (ไม่ใช่คำหยาบนะครับ) ของมัน แล้วเอามาอวดตามสื่อสังคม ยามนี้ที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะวิกฤติมีคนที่ด้อยโอกาส หรือโชคร้าย ต้องการความช่วยเหลืออยู่เกลื่อนกลาด ซึ่งที่จริงแล้วเป็นโอกาสดี ที่คนพวกนี้จะได้สำแดงความร่ำรวย (ทั้งแบบจริง และกำมะลอ) ได้สมใจ แต่มันไม่ทำหรอกครับ เพราะมันต้องใช้เงินจริงๆ พร้อมกับความใจกว้าง ซึ่งพวกมันไม่มีอยู่แล้ว ปัญหาของคนไทยสมัยนี้ โดยเฉพาะพวกที่อายุยังน้อย คือ การขาดผู้ชี้แนะหนทางที่ถูกต้องให้ จึงมัก “หลงทาง” สำคัญผิด ซึ่งผมไม่ถือว่าเป็นความผิดนะครับ ถูกพวกมากลากเข้ารกเข้าพงไป คนที่จะช่วยประคับประคองได้ ก็คือ พ่อแม่ แต่บางทีก็ต้องคร่ำเคร่งกับการหารายได้ให้พอใช้ จนไม่เหลือเวลามาทำอย่างอื่น น่าเสียดายที่เยาวชนกลุ่มนี้ ไม่ใช่พวกที่จะได้อ่านเรื่องนี้ในนิตยสารของเรา ผมขอฝากผู้อ่านไปช่วยเผยแพร่ก็แล้วกันนะครับ อยากให้พวกเขาเข้าใจ และเลิกชื่นชมมนุษย์สวะพวกนี้ครับ ประเด็นที่สำคัญก็คือ การเอาสิ่งเหล่านี้มาโอ้อวดผู้อื่น ที่ไม่สามารถมีได้นั้น ต้องมองให้เข้าใจจุดประสงค์แท้จริงที่เป็นแก่นครับ ว่ามัน คือ การเหยียดหยาม สบประมาทผู้อื่นในรูปแบบหนึ่ง (ทำนอง “เห็นไหมว่าข้ามีสิ่งที่พวกเอ็งไม่มีวันมี”) ถ้าพวกเราเข้าใจ และเลิกชื่นชมคนพวกนี้ แต่เปลี่ยนเป็นการพร้อมใจกันประณาม มนุษย์ที่เปรียบเสมือนขยะของสังคมไทยเหล่านี้ ก็จะค่อยๆ สูญพันธุ์ไปเอง ยังเหลือพวกที่หาเงินจาก YOUTUBE เป็น กอบเป็นกำ โดยการดูถูกเหยียดหยามคนไทยด้วยกันอยู่อีกกลุ่ม กับวิธีป้องกันความเดือดร้อนในยามวิกฤต ที่ตั้งใจเตรียมมาให้แก่ผู้อ่านในฉบับนี้ เสียดายที่เนื้อที่หมดพอดี ขอผลัดไปฉบับหน้านะครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2563
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/328554