สงขลา คือ เมืองใหญ่แห่งแดนใต้ ที่ขนาบด้วยทะเล 2 ด้าน และเป็นเมืองท่าการค้าเก่าแก่ จึงมีผู้คนทั้งชาวไทย จีน มุสลิม และยุโรป อาศัยอยู่รวมกัน เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม สะท้อนผ่านตึกรามบ้านช่องทรงคลาสสิค คล้ายย่านเมืองเก่าของ จ. ภูเก็ต และเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย แถมผู้คนเป็นมิตร และใจดี “ชีวิตอิสระ” ไปเยือนเมืองเก่าที่ให้อารมณ์สโลว์ไลฟ์แห่งนี้
หลังไปเยือนเกาะยอ จนหนำใจแล้ว ฉบับนี้เราจะข้ามทะเลสาบสงขลาสู่ตัวจังหวัด
ผมออกเดินทางพร้อมรถคู่ใจ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ ใหม่ เครื่องยนต์สูบนอน 2.0 ลิตร 156 แรงม้า ที่ติดตั้งเทคโนโลยี EYE SIGHT มาให้เพียงรุ่นเดียวของค่าย ระบบนี้ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าตั้งแต่หยุดนิ่ง ทำให้ขับชมวิวได้อย่างสบายใจ
ผมไปข้ามแพขนานยนต์ ที่ท่าแพ ต. ม่วงงาม อ. สิงหนคร ซึ่งช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้เกือบชั่วโมง แถมได้บรรยากาศชิลล์ๆ ที่หาได้ยากอีกด้วย ค่าข้ามแพคันละ 20 บาท ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เมื่อถึงตัวเมืองสงขลา ผมมุ่งหน้าไปสักการะ อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นที่แรก เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นขับผ่านประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ สถานที่เที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด จากนั้นไม่นานก็ถึงหาดสมิหลา
หาดสมิหลาเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ชายหาดสะอาดขึ้นเยอะดูสวยงามกว่าเดิม ทรายขาวละเอียด ป่าสนร่มรื่น และมีม้าแคระให้บริการนั่งถ่ายรูปเหมือนหัวหิน
ผมเดินไปยังปลายหาดเพื่อชมรูปปั้น “นางเงือกทอง” สัญลักษณ์ของจังหวัด มีคนมารอถ่ายรูปกับนางเงือกไม่ขาดสาย จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเกาะหนู เกาะแมว ได้อย่างชัดเจน ใกล้ๆ กันมีรูปปั้นหนู และแมว จากศิลปินชื่อดัง
ใกล้กับหาดสมิหลามีเนินเขาสูงที่เรียกว่า “เขาตังกวน” อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 2,000 ฟุต ใครที่ขี้เกียจเดินก็มีลิฟท์ไว้คอยบริการ
บนยอดเขาตังกวน นอกจากมีจุดชมวิวหลายแห่งที่เห็นเมืองสงขลาขนาบข้างด้วยทะเลแล้ว ยังประดิษฐานเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลาอันเก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวารวดี โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานเงินหลวง ให้เป็นทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์ และในเดือนธันวาคม 2539 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองค์พระเจดีย์ โดยเดือนตุลาคมของทุกปี จะมีงานพิธีห่มผ้าองค์พระเจดีย์ ประเพณีตักบาตรเทโว และลากพระของสงขลา
นอกจากนี้ ยังมีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายจุด ได้แก่ ประภาคารโบราณ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และศาลาพระวิหารแดงอันสวยงาม ใครที่ได้มาคุ้มค่าสุดๆ
อีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาด คือ ย่านเมืองเก่า ซึ่งเป็นย่านเด็กฮิพ ศูนย์รวมที่เที่ยว ที่กินเก่าแก่ของสงขลา
การเดินเที่ยวย่านนี้ง่ายมาก ประกอบด้วยถนนหลัก 3 สายขนานกัน ได้แก่ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ซึ่งแต่ละเส้นเชื่อมต่อถึงกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งเป็น 3 ลอคถนน
ใครมาต้องถ่ายรูปกับภาพ STREET ART เท่ๆ ออกลีลาโพสต์กันได้เต็มที่ ไม่มีใครว่า ที่น่าชมต่อมา คือ อาคารเก่าสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า สะท้อนเรื่องราวความเป็นมาของชาวสงขลา ทั้งห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิคสไตล์ชิโนโปรตุกีส ที่สำคัญ คือ มีร้านอาหารหลากหลายรูปแบบให้ได้แวะชิมตลอดทาง
สถานที่ที่ผมชอบเป็นพิเศษ คือ บ้านนครใน ซึ่งปรับปรุงบ้านเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดเข้าชมฟรี จัดแสดงของโบราณของสงขลาที่น่าสนใจ เช่น กระเบี้องโบราณ หม้อ ไห แบบจีนที่สวยงาม
อีกสถานที่ต้องแวะให้่ได้ คือ “หับ โห้ หิ้น” หรือโรงสีแดง เป็นโรงสีข้าวเก่าแก่ของเมืองสงขลา ใครผ่านด้านนอกต้องสะดุดตากับอาคารสีแดงเลือดหมู ด้านในมีภาพแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองสงขลา โรงสี เรือโบราณ ด้านหลังติดกับท่าเรือสินค้าริมทะเลสาบ สามารถขับรถเข้าไปจอด เดินชม และถ่ายรูปได้
หลังถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้ว ผมเดินทางไปอำเภอหาดใหญ่อีก 20 กม. เพื่อชมสวนสาธารณะหาดใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวหาดใหญ่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย
สวนสาธาณะแห่งนี้ครอบคลุมภูเขาทั้งลูกถึง 914 ไร่
จุดน่าสนใจ คือ หาดใหญ่เคเบิลคาร์ แห่งเดียวในประเทศไทย ที่สามารถเห็นวิวเมืองหาดใหญ่ และสงขลาได้แบบ 380 องศา
นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ หอดูดาว หอศิลป์ พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน และสวนสัตว์หาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้นจึงพลาดไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง
ที่มัสยิดกลางจังหวัดสงขลาแห่งนี้ มีความงดงามจนได้รับขนานนามว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” ตัวมัสยิดมีขนาดใหญ่ และกว้างขวาง แต่ความอลังการไม่ได้อยู่แค่ตัวมัสยิด ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีความยาวเกือบ 200 เมตร อยู่ด้านหน้า เสริมความยิ่งใหญ่ให้มัสยิดแห่งนี้ได้มากทีเดียว
ก่อนกลับ บริเวณพื้นที่ของเขาคอหงส์ หลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีเจดีย์ที่สร้างจากวัสดุสเตนเลสส์ ที่วัดมหาเจดีย์ไตรภพไตรมงคล ซึ่งสวยงามแปลกตาแห่งเดียวในโลก สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ตัวเจดีย์สูง 32 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 22 เมตร ส่วนฐานด้านล่างเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชม
สำหรับผู้ชื่นชอบอาหารทะเล ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวเมืองสงขลา แนะนำให้ซื้ออาหารทะเลที่ร้าน “เจ้เจี๊ยบ” ชายทะเลสาบสงขลา ริมถนนติณสู-ลานนท์ไปรับประทานกัน ร้านนี้จะคัดของทะเลสดๆ ตัวใหญ่ มาขายในราคาย่อมเยา ผมซื้อหอยแมลงภู่นึ่งตัวเท่าฝ่ามือ 2 กก. (กก. ละ 60 บาท) ปูทะเล หรือปูดำนึ่ง ขนาด 2 ตัว 1 กก. ราคากก. ละ 280 บาทเท่านั้น รวมทั้งหอยจุ๊บแจง ซึ่งเป็นหอยประจำถิ่นอีก 3 กก. 100 บาท ร้านเจ๊เจี๊ยบแกนึ่งให้ฟรี พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด บอกเลยว่าทั้งสด ทั้งหวาน อร่อยสุดๆ ครับ
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อพาหนะสำหรับการเดินทางครั้งนี้