เรียบง่าย ใช้งานดี มีขาตั้งในตัว พับเก็บได้เมื่อไม่ต้องการ การมีขาตั้งทำให้กล้องแสดงภาพได้ทั้งซ้าย ขวา บน และล่าง เห็นมุมที่ต้องการชัดเจน มีข้อเสีย คือ ไม่ทนทาน
วีดีโอคมชัด 1080P แสดงภาพ 110 องศา สามารถแจ้งเตือนเมื่อมีการเคลื่อนไหว และมีเสียง แสดงภาพสด มีอินฟราเรดแสดงโหมดภาพกลางคืนได้ชัดเจนในระยะ 9 เมตร มีระบบสื่อสารแบบ 2 ทาง บันทึกวีดีโอบน CLOUD ได้นาน 14 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และบันทึกวีดีโอโดยใช้ MICRO SD ร่วมกันได้หลายตัว รองรับระบบ ALEXA
เพียงสแกนคิวอาร์ โคด ที่แอพพลิเคชันเพื่อใช้งาน กล้องจะทำงานอัตโนมัติ พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหว และดูภาพสด เพื่อสร้างความสบายใจเมื่อคุณออกจากบ้าน อย่างไรก็ตาม สามารถปรับตั้งค่าระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว แต่ยังมีข้อจำกัด
การแสดงภาพมุมแคบ 110 องศา ทำให้ได้วีดีโอคมชัด เนื่องจากวีดีโอจะแสดงรายละเอียดได้ล้ำลึกมากกว่า โหมดกลางคืนก็ทำงานได้ดีเยี่ยม กล้องจะบันทึกวีดีโอใน CLOUD ทุก 12 วินาที แต่ถ้ามี MICRO SD จะบันทึกได้นานกว่านั้น
ราคาไม่แรง คุณภาพวีดีโอคมชัด มีระบบ GEOFENCING แอพพลิเคชันใช้งานได้ดี มีหน่วยความจำใน CLOUD ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้กล้องรุ่นนี้ได้ 5 ดาว และชนะ TP-LINK ได้
ควรจะมีความอัจฉริยะมากกว่านี้
ตัวกล้องตั้งอยู่บนฐานขนาดเล็ก รูปทรงเรียบง่าย แต่หมุนได้ 360 องศา ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้มากกว่า ข้อเสีย คือ ต้องเสียบสายไฟที่ด้านล่างตัวกล้อง ซึ่งเป็นปัญหาหลักสำหรับผู้ใช้
ความคมชัด 1080P แสดงภาพ 130 องศา ตรวจจับเสียง และการเคลื่อนไหว (สามารถตั้งค่าระดับการเคลื่อนไหวได้) โหมดกลางคืนชัดเจนในระยะ 6 เมตร ทำงานร่วมกันได้หลายกล้อง สื่อสารแบบ 2 ทาง รองรับระบบ ALEXA และ GOOGLE บันทึกใน CLOUD ได้ 2 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากต้องการ 14 วัน ต้องสมัครสมาชิก
เสียบปลั๊ก เปิดใช้งานตามคำแนะนำในแอพพลิเคชันใช้เวลาตั้งค่าประมาณ 5 นาที (ซึ่งเราไม่มีปัญหาในจุดนั้น) แอพพลิเคชันใช้งานได้ราบรื่น ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวเหมือนจะทำงานไวเกินไปนิดหน่อย แต่หากปรับให้ดีก็จะแก้ปัญหานี้ได้ เป็นพโรแกรมเสริมที่มีประโยชน์มาก แต่กล้องรุ่นนี้ไม่มี GEOFENCING
คุณภาพวีดีโอเวลากลางวัน และกลางคืน ถือว่ายอดเยี่ยมมาก มุมภาพกว้าง 130 องศา มีประโยชน์ แต่ก็ไม่จำเป็นเท่าไร
การออกแบบให้ตัวกล้องหมุนได้ เช่นเดียวกับ ความสามารถในการตั้งค่าการตรวจจับความเคลื่อนไหว วีดีโอคมชัด แสดงภาพมุมกว้างได้ การตั้งค่าใช้งานก็ง่าย
ไม่สามารถบันทึกวีดีโอลง MICRO SD ได้ และไม่มีระบบ GEOFENCING
MACBOOK AIR รุ่นใหม่ ปรับปรุงจากรุ่นเดิมเล็กน้อย คุณภาพจอดีกว่า และราคาถูกกว่า ราคาเริ่มต้น 1,099 ปอนด์ apple.com/uk
หากคุณเพิ่งซื้อ MACBOOK AIR รุ่นปีที่แล้ว สามารถข้ามคอลัมน์นี้ไปได้ เพราะรูปแบบต่างๆ ของรุ่นที่แล้วกับรุ่นนี้ เหมือนกันแทบทุกอย่าง เพียงแต่มีราคาถูกลงถึง 100 ปอนด์ และมีการปรับแต่งอีกเล็กน้อย
เช่นเดียวกับรุ่นปีที่แล้ว พโรเซสเซอร์ DUAL CORE 1.6 GHZ สามารถทำงานที่ค่าความถี่สูงถึง 3.6 GHZ ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ (หรือที่เรียกว่า TURBO BOOST) ผู้บริหาร APPLE กล่าวว่า MACBOOK AIR รุ่นนี้ใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 12 ชั่วโมง หากงานที่กำลังทำไม่ต้องการพลังงานมาก เช่น งานพิมพ์, การรับ/ส่งอีเมล์ และการท่องเวบไซท์ทั่วไป จะเสียพลังงานจากแบทเตอรีเพียง 2 เปอร์เซนต์/ชั่วโมง ด้วยความสามารถในการใช้พลังงานได้น้อย ทำให้แบทเตอรีอยู่นานหลายวัน
ที่สำคัญ ความเร็วในการทำงานแบบปกติสูงมาก แต่ถ้าต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับวีดีโอ และใช้งานพลังงานสูงอาจจะต้องใช้ MACBOOK PROS ซึ่งมีหน่วยความจำที่ทำงานได้รวดเร็วแทน เพราะนอกจาก RAM ขนาด 128GB มีให้ในรุ่นพื้นฐานแล้ว ยังสามารถเพิ่มเงินเพื่อเพิ่ม RAM เป็น 256GB ได้ด้วย จริงๆ แล้วแค่ 128GB ก็เพียงพอ เพราะในอนาคตเราน่าจะเน้นใช้งาน CLOUD มากกว่า
หน้าจอขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2,560×1,440 ดิสพเลย์ ดีกว่าคู่แข่งที่มีลักษณะคล้ายกันอยู่มาก แม้จะไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร แต่ก็น่าสนใจ และทำงานได้ดี รวมถึงมีเทคโนโลยี TRUE TONE ของ APPLE ทำให้ได้ภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น เสียดายที่กล้องหน้ามีความคมชัดเพียง 720P ซึ่งดูน้อยไปสักหน่อย
ข้างคีย์บอร์ดทั้ง 2 ด้าน มีสุดยอดลำโพงติดตั้งอยู่ ให้เสียงสเตริโอยอดเยี่ยม นุ่มลึก มีรายละเอียด เหมาะกับการใช้เพื่อชมภาพยนตร์
แป้นพิมพ์แบบ LOW TRAVEL ของ APPLE มีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือมาก่อน ดังนั้นในรุ่นนี้ APPLE จึงให้สัญญาว่ามันจะดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยรวมไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้น หากคุณต้องการแลพทอพทรงพลัง แนะนำให้ใช้ MACBOOK PRO หน้าจอ 13 นิ้ว ราคา 1,299 ปอนด์ มีหน้าจอ และพโรเซสเซอร์ QUAD CORE ดีกว่า แต่ถ้าต้องการความสะดวกในการพกพา รุ่นนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว
การทำงานรวดเร็ว แบทเตอรีใช้งานได้นาน เทคโนโลยี TRUE TONE ทำให้หน้าจอทำงานได้ดีเยี่ยม
รุ่นมาตรฐานมีหน่วยความจำเพียง 128GB และต้องจ่ายราคาแพงหากต้องการอุปกรณ์เพิ่ม กล้องหน้ามีความละเอียดน้อยเกินไป
แลพทอพของ APPLE ที่ราคาถูกสุด น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับพกพา แต่ต้องเลือกขนาดหน่วยความจำให้เหมาะสมกับการใช้งาน
พโรเซสเซอร์ QUALCOMM SNAPDRAGON 855
หน้าจอ 6.39 นิ้ว ความละเอียด 1,080×2,340 AMOLED
หน่วยความจำตัวเครื่อง 6GB
หน่วยความจำ 64GB/128GB
แบทเตอรี 3,800MAH
กล้อง 12MP เลนส์ WIDE ด้านหลังมีเลนส์ TELEPHOTO 12MP และด้านหน้า 24MP พร้อมเซนเซอร์
ระบบปฏิบัติการ ANDROID 9.0, MIUI 10
ขนาด 157.9×74.7×9.4 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 225 กรัม
โทรศัพท์ระบบ 5G ที่เป็นเจ้าของได้ง่าย แต่จะสู้รุ่นอื่นที่มีราคาแพงกว่าได้หรือไม่ ? ไม่ระบุราคา mi.com
MI MIX 3 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่โดดเด่น สวยงามอย่างแท้จริง หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว มีกรอบโดยรอบจอ เพียงพอให้ถือได้สะดวกมือโดยไม่เผลอกดไลค์รูปบนอินสตาแกรมทุกครั้งที่คุณเลื่อนดู ความสว่างมากพอที่จะเปิดดูกลางแจ้ง และสีสันสวยงาม
พลิกไปด้านหลังเจอจุดเล็กน้อย คือ ที่สแกนนิ้วมือทรงกลมตรงกลางด้านหลัง และกล้องคู่ด้านบนมุมซ้ายเรียงตัวเป็นแนวตั้ง XIAOMI มี 2 สีให้เลือก SAPPHIRE BLUE และ ONYX BLACK เป็นผิวเซรามิคเงาวับจนคุณเห็นเงาตัวเอง
นอกจากความสามารถในการเชื่อมต่อระบบ 5G แล้ว สิ่งที่ประทับใจอีกจุด คือ กลไกเลื่อนด้านหน้าจอโทรศัพท์ เพราะกินเนื้อที่
93.4 % ของตัวเครื่องโดยรวม คุณสามารถใช้งานได้มือเดียว แม้หน้าจอจะมีขนาดใหญ่ XIAOMI เพิ่มฟังค์ชันสแกนใบหน้าอยู่ด้านหลังจอ สามารถใช้งานเมื่อคุณเลื่อนหน้าจอลง และสิ่งที่เจออีกอย่าง คือ กล้องด้านหน้าที่ซ่อนอยู่ ดูแล้วน่าหลงใหลมาก เหมือนเป็น FIDGET SPINNER ราคาแพง กลไกต่างๆ ทำให้โทรศัพท์ทนทาน แม้ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายเซลฟี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอายุการใช้งานของโทรศัพท์รุ่นนี้
โชคไม่ดี เนื่องจากมีการเพิ่มส่วนสำคัญให้โทรศัพท์มากมาย ทำให้ตัวเครื่องหนักถึง 225 กรัม และหนา 9.4 มิลลิเมตร มากกว่าคู่แข่ง เช่น SAMSUNG GALAXY S10 5G ที่หนา 7.9 มิลลิเมตร และหนัก 198 กรัม ซึ่งต่างกันพอสมควร
ผลของการเป็นโทรศัพท์แบบเลื่อนหน้าจอ ทำให้ไม่สามารถกันน้ำหรือกันฝุ่นได้ ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบบไร้สาย เอาใจผู้ที่ไม่ชอบการชาร์จด้วยสาย แต่คนเหล่านั้นจะต้องทำใจให้ชินกับการพกอุปกรณ์เชื่อมต่อไปมา (DONGLE) หากต้องการใช้หูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ร่วมด้วย
กล้องหน้า/หลังมีโหมด PORTRAIT (ถ่ายภาพในที่แสงน้อยด้วยมือถือ) และแต่งภาพพื้นหลังให้เบลอ หรือไม่ชัดได้ ส่วนฟิลเตอร์รูปภาพที่ตั้งค่าเริ่มต้นไม่ถูกใจเท่าไร ทำให้ดูเหมือนรูปถ่ายผ่านเลนส์เปื้อนวาสลีน เราจึงแนะนำให้ปิดมันทันทีเมื่อเริ่มใช้งาน
แอพพลิเคชันของ XIAOMI มีให้เลือกเยอะมากทั้งถ่ายวีดีโอปกติ และวีดีโอสั้น แน่นอนว่าคุณอาจจะมีการลบทิ้งบ้าง แต่ภาพที่ได้จะมีความคมชัดสูง สีสันสวยงาม แม้จะปรับแต่งไม่ได้เหมือน GOOGLE PIXEL 3 แต่มันก็สมบูรณ์แบบพอสมควร
ภายใต้ฝาครอบของ Mi MIX 3 5G มีชิพเซทที่ล้ำสมัยอย่าง QUALCOMM SNAPDRAGON 855 จับคู่กับ RAM 6 GB ทำให้ทุกส่วนทำงานได้ราบรื่น MI MIX 3 5G ใช้ ANDROID OS รุ่นล่าสุด แม้จะถูกปกปิดตัวตนภายใต้ชื่อ MIUI 10 (ระบบปฏิบัติการของ XIAOMI) ซึ่งทำงานได้รวดเร็วเหมือนรถบรรทุกที่อัดแน่นไปด้วยฟังค์ชันต่างๆ ที่ดีกว่ารุ่นก่อนมาก และแน่นอนว่าดีกว่า สิ่งที่ได้ยินมาแว่วๆ ว่า IOS ต้องการจะทำ
สุดท้าย 5G จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมต่อกับสัญญาณ 5G ที่ยังอ่อนหัดอยู่ในตอนนี้ เป็นไปได้ว่าคุณจะได้รับความเร็วจากการส่งสัญญาณความเร็วสูงด้วยเส้นใยแก้วนำแสงบนมือถือตามที่สัญญาไว้ในโฆษณา แต่อาจจะไม่ได้ครอบคลุมทั่วทุกที่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเพื่อทำการปรับปรุง และจะเกิดขึ้นกับโทรศัพท์ 5G ยี่ห้ออื่นๆ เช่นกัน
MI MIX 3 เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีมาก และชัดเจนว่าโทรศัพท์ 5G ในงบประมาณที่จำกัด รุ่นอื่นอาจจะมีจอดีกว่า กล้องใช้งานได้ดีกว่า และใช้วัสดุดีกว่า นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ต่างกันมากมาย
จอภาพออกแบบได้สวยงามมาก การเลื่อนเพื่อเปิดกล้องทำงานได้ดี และรองรับระบบ 5G
มีขนาดใหญ่ และหนักกว่าแบบอื่นๆ ไม่สามารถเพิ่มความจุ และไม่กันน้ำ
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ MI MIX 3 เป็นโทรศัพท์ 5G ที่ทำงานได้อย่างดี มีกล้องทนทาน แบทเตอรีใช้งานได้นาน การออกแบบสวย และราคาไม่แรงเกินไป
จุดสแกนนิ้วมือที่หลังโทรศัพท์ เรายังสงสัยว่ามันมีไว้ทำไม
แม้ OPPO จะมีราคาสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกล้องที่มีฟังค์ชันไฮบริด ซูม 10X ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าพูดถึงการถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์
หากเพิ่มราคาอีกนิดจะได้จอ OLED มีรายละเอียด 90 HZ คุณสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ชาญฉลาดมากเลยทีเดียว
แลพทอพระบบทูอินวันเหล่านี้ มีความบางมาก ทำให้พกพาไปทำงานได้สะดวก และใช้งานเพียงแค่สัมผัส
ในที่นี้ รุ่นนี้น่าจะเป็นแลพทอพขนาดใหญ่สุดแต่คุณน่าจะยินดีที่เดินถือมันไปไหนมาไหน ตัวที่เราทดสอบมีสีขาว และทอง คีย์บอร์ด และแป้นสัมผัสไวต่อการแตะมาก พโรเซสเซอร์ INTEL ทำงานตัดต่อวีดีโอแบบคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ หน้าจอ 13 นิ้ว มีความมันเงา และคมชัด พร้อมสีสันสดใส อายุใช้งานแบทเตอรีก็วางใจได้ แม้น้ำหนักจะมากกว่าตัวอื่น แต่ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลง
ราวกับเวทมนตร์ แลพทอพเครื่องนี้มีน้ำหนักเพียง 1.2 กิโลกรัม เนื่องจากการออกแบบที่ไม่มีพัดลม และใช้แบทเตอรีแบบบางที่สุด ทำให้ SWIFT 7 เหมือนมาจากอนาคต หน้าจอ 14 นิ้ว สีสันชัดเจน ขอบจอบางเหมือนไม่มีขอบ ด้านในประกอบด้วยพโรเซสเซอร์ INTEL I7 พร้อม RAM 8GB ประสิทธิภาพสูง ไม่เหมาะกับงานหนัก เช่น ตัดต่อวีดีโอ แต่เหมาะกับงานออฟฟิศทั่วไป เมื่อพับลงจะมีความหนาเพียง 9 มิลลิเมตร ระบบความปลอดภัยดี เพราะปุ่มเปิด/ปิดสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องสแกนลายนิ้วมือได้
ปัจจุบันแลพทอพใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ หน้าจอพับลง ตัวเครื่องบาง ทำให้เปลี่ยนเป็นแทบเลทได้ เราลองเชคแลพทอพรุ่นหน้าจอสัมผัสล่าสุดทั้งหมด 4 รุ่น ที่ใช้ชิพของ INTEL รุ่นล่าสุด ทุกรุ่นมีขนาดบาง น้ำหนักเบา ในขณะที่บางรุ่นยังเป็นแลพทอพแต่ควบคุมโดยระบบสัมผัส บางรุ่นสามารถพับได้เพื่อใช้งานแบบแทบเลท ส่วนรุ่นไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดนั้นต้องตัดสินใจเอง
เครื่องนี้อาจจะเป็นแลพทอพจาก ASUS ที่ดีที่สุด ขอบจอบาง และพับได้ ทำให้คุณใช้ทำงาน, ดูหนัง หรือใช้แบบแทบเลทก็ได้ เราค่อนข้างประทับใจเมื่อใช้งานแบบแทบเลท การออกแบบทนทานระดับใช้งานในกองทัพที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ทรงพลังพอๆ กับรุ่นอื่นในประเภทเดียวกัน ลำโพงเสียงดี คีย์บอร์ดทนทาน ใช้ง่าย สิ่งที่น่าทึ่ง คือ เมื่อกดปุ่มที่แสดงอยู่บนแป้นสัมผัส ตัวเลขจะแสดงขึ้นมาเพื่อใช้งานเป็นแป้นกดตัวเลขได้ ซึ่งเป็นรุ่นที่น่าสนใจมากๆ
ในที่นี้แลพทอพทรงพลังมากที่สุด โดยใช้ระบบประมวลผลแบบเดียวกัน แต่มาพร้อมกับ RAM 16GB และกราฟิค คาร์ด NVIDIA ที่ไม่ใช่ชิพ INTEL ซึ่งไม่ได้ทำให้มีราคาสูงขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัย เช่น จดจำลายนิ้วมือ และมีที่ปิดกล้องเวบแคม สามารถใช้ได้ทั้งงานออฟฟิศ และงานครีเอทีฟ ลำโพงของ B&O ให้เสียงที่มีคุณภาพ แป้นสัมผัสอาจไม่มั่นคง แต่ตัวคีย์บอร์ดดูทนทาน น่าใช้งาน ช่องต่อ USB เปิดออกมาได้ ซึ่งไม่น่าสนใจเท่าไร แต่ก็เป็นเรื่องดีที่แลพทอพบางขนาดนี้ มีช่องต่อ USB ขนาดปกติ
SONY เปิดตัวเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน ในราคาที่เอื้อมถึงง่ายกว่ารุ่น 1000XM3 ราคา 230 ปอนด์ sony.co.uk
เวลาซื้อของออนไลน์อาจเจอของที่ดีมากๆ โดยบังเอิญ ทั้งราคาถูก และมีของแถมมากมาย SONY อาศัยไอเดียนั้น รังสรรค์ WH-XB900N ที่มีราคาถูก โดยใช้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนจากหูฟังรุ่น WH-1000XM3
ทุกอย่างเกี่ยวกับ XB900N ชวนให้นึกถึงผู้ชนะรางวัล T3 AWARD แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น รูปร่างที่ดูคุ้นตา คุณภาพการผลิตที่ดี เสียงหนักแน่น และยอดเยี่ยม แต่ให้เสียงเบสส์มากกว่า การตัดเสียงรบกวนทำได้ดี แต่อย่างที่เห็น การเลือกเลขรุ่นเป็น 900 ที่น้อยกว่า 1000 นั้น แปลว่าคุณภาพโดยรวมยังดีไม่เท่า 1000XM3
อักษร XB ย่อมาจาก XTRA BASS เหมือนเสียงดนตรีในปี 1980 อะไรทำนองนั้น นั่นคือ สิ่งที่หูฟังนี้ให้ได้ เมื่อพูดถึงหูฟัง หลายคนจะนึกถึง BEATS ที่มีเสียงเบสส์หนัก แต่เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนของ BEATS STUDIO 3 ฟังแล้วนุ่มลึกกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับหูฟังรุ่นนี้ แม้เสียงเบสส์ของ XB900N จะพิเศษ แต่ก็ดูมากเกินความจำเป็น เสียงแน่นแต่ไม่มีพลัง หากเพลงส่วนใหญ่เป็นแนวอคูสติค หูฟังนี้ไม่เหมาะกับคุณ แต่เหมาะกับเพลง ROCK, HIP-HOP และ DANCE แต่ไม่เหมาะกับเพลง REGGAE เช่นกัน
การตัดเสียงรบกวนจากการพูดคุยในออฟฟิศ หรือบนถนน ถือว่าทำได้ดี แม้ไม่สามารถเอาชนะเสียงรถไฟใต้ดินได้ แต่ถือว่าเป็นฟังค์ชันที่มีประโยชน์
มีระบบ ALEXA ในตัว แบทเตอรีใช้ได้ 30 ชั่วโมง การชาร์จรวดเร็วเมื่อแบทเตอรีหมด หูฟังคู่นี้คุณภาพดี แต่ XB900N ก็ไม่ได้ราคาถูกจริงๆ
รุ่น WH-1000XM3 เปิดตัวมาสักพักแล้ว ราคาอยู่ที่ 330 ปอนด์ ซึ่งมากกว่ารุ่นนี้ 100 ปอนด์ แต่ราคาจริงที่ต้องจ่ายเมื่อซื้อออนไลน์อาจจะต้องเสียเพิ่มอีก 30-40 ปอนด์ รวมแล้วราคาเกือบจะเท่ากัน
อย่างไรก็ตาม คนที่รักในเสียงเบสส์ควรพิจารณาหูฟังนี้ เสมือนทางเลือกจาก SONY ผู้นำด้านหูฟังตัดเสียงรบกวน
เสียงเบสส์โดดเด่น กับเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนคุณภาพดี
รุ่น WH-1000XM3 ดีกว่าในทุกด้าน ซึ่งเราคิดว่าควรลดราคาอีกเล็กน้อย
ราคาที่ต่างกันระหว่างทั้ง 2 รุ่น ทำให้ยากจะแนะนำให้ซื้อรุ่น WH-1000XM3 ขณะที่ XB900N ก็เป็นหูฟังที่ดีเช่นกัน