รู้ลึกเรื่องรถ
อะไรรอเราอยู่ ? ในทศวรรษที่ 3 ของศตวรรษที่ 21
ในที่สุดเราก็ได้เข้าสู่ทศวรรษที่ 3 แห่งศตวรรษที่ 21 กันอย่างสมบูรณ์แล้ว ในแต่ละทศวรรษเราได้เห็นทิศทางความสนใจของวงการรถยนต์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นยุคแห่งการตื่นตัวเรื่องการประหยัด เชื้อเพลิง การตื่นตัวเรื่องมลภาวะ การตื่นตัวเรื่องความปลอดภัย ส่วนทศวรรษนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นเรื่องของการตื่นตัวในเรื่อง “INTERNET OF THINGS” หรือรถยนต์จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เนท 5G และ 6G เพื่อใช้อำนวยความสะดวกรวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆเราทุกคนต่างตระหนักว่า อะไรในยุคนี้ก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าสู่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เนทแล้วละก็ มันจะสูญพันธ์อย่างแน่นอน อาทิ ท่านจะอ่านบทความนี้บนกระดาษ แต่บทความนี้ก็เขียนขึ้นบนคอมพิวเตอร์ที่หาข้อมูลจากอินเตอร์เนท (ซึ่งหากเป็นเมื่อศตวรรษที่แล้วไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าข้อมูลต่างๆ จะเก่าแก่ ล้าสมัยเพียงใดกว่าจะส่งจากแหล่งข้อมูลมาถึงมือเราได้) หรือกระทั่งอาหารที่รับประทานกันอยู่ ก็สั่งผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธว่า สมาร์ทโฟนของเรา หน้าร้านของร้านต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่ได้รับโอกาสไม่แตกต่างกัน ร้านเล็กขายอาหารจานเดียว อาทิ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู และข้าวมันไก่ ก็มีโอกาสแข่งขันไม่แพ้ร้านอาหารใหญ่ๆ หรือแต่ก่อน เวลาจะเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องติดต่อตัวแทนการเดินทาง (ทราเวลเอเจนซี) ที่จะขายตั๋วเครื่องบินพร้อมจองที่พักให้ แต่ทุกวันนี้เราสามารถสั่ง และเปรียบเทียบราคาผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และสามารถจองพร้อมชำระเงินได้ในเวลาอันน้อยนิด ทำให้โรงแรมขนาดเล็ก ตลอดไปจนถึงคนที่ไม่ได้มีโรงแรม แต่มีห้องว่าง อยากเปิดให้คนเข้ามาพัก ก็สามารถแข่งขันกับโรงแรมขนาดใหญ่ได้ ด้วยความเร็วของการรับ/ส่งข้อมูลที่มากขึ้น ตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ คือ เทคโนโลยี 5G จะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 20 กิกะบิทส์/วินาที (GIGABITS PER SECOND) ซึ่งเร็วกว่าขีดจำกัดของเทคโนโลยี 4G ถึง 20 เท่า และพวกเขาตั้งเป้าสำหรับเทคโนโลยี 6G ไว้ที่ 1 เทราบิทส์/วินาที (TERABITS PER SECOND) ซึ่งเร็วกว่า 4G ปัจจุบัน 1,000 เท่า !?! ส่งผลให้เราต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่เร็วกว่าที่ใช้กันทุกวันนี้มาก และเชื่อกันว่าเทคโนโลยี 6G จะมาในยุค “หลัง สมาร์ทโฟน” (POST SMARTPHONE ERA) หรือยุคที่สมาร์ทโฟนไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตอีกแล้ว แต่ 6G จะใช้ในการขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์ที่จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่าง จีน และเกาหลีใต้ ต่างได้เริ่มคิดค้นเทคโนโลยี 6G กันแล้ว คาดการณ์กันว่า เทคโนโลยีดังกล่าวจะยังไม่ได้มาแทนที่ 4G ในเร็วๆ นี้ แต่เราน่าจะเริ่มได้ใช้ 5G กันในทศวรรษนี้ และจะผลักดันความสามารถของมันไปสุดทางได้ในปี 2035 ส่วน 6G นั้นน่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายทศวรรษนี้ หรือราวปี 2030 ความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลจำนวนมหาศาลด้วยความเร็วสูงของเทคโนโลยี 5G ที่เราจะได้สัมผัสกันในอีกไม่นานนี้ จะช่วยให้ความคิดเรื่องสารพัดสิ่งล้วนเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เนทเป็นไปได้เร็วขึ้น อาทิ ระบบ VEHICLE-TO-INFRASTRUCTURE หรือยานพาหนะสื่อสารกับสภาพแวดล้อม อาทิ รถยนต์สามารถที่จะเก็บข้อมูลสภาพถนน แล้วส่งไปยังรถยนต์คันอื่นๆ หรือหน่วยงานที่ดูแลสภาพถนนให้ทราบว่า ถนนบริเวณนั้นมีน้ำเจิ่งนอง มีหลุมบ่อ หรือมีน้ำแข็งจับผิวถนนได้ เรียกว่า เหนือชั้นขึ้นไปกว่าที่เราสามารถคาดการณ์การจราจรผ่านทางแอพพลิเคชัน กูเกิลแมพ ที่เก็บข้อมูลดิจิทอลระดับมหาชน จากสมาร์ทโฟน ของแต่ละคนที่อยู่บนรถยนต์ ออกมาสร้างเป็นระบบนำทางที่สามารถคาดเดาเวลา และระบุถึงระดับความหนาแน่นการจราจรได้แม่นยำกว่าปัจจุบัน ตัวอย่างของความพยายามในการนำเอาศักยภาพของระบบ 5G มาใช้ก็คือ บริษัทยางชั้นนำของอิตาลีอย่าง “ปิเรลลี” (PIRELLI) ที่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีสื่อสาร และบริษัทรถยนต์ หลายบริษัทในการพัฒนายางที่พวกเขาให้ชื่อว่า “ไซเบอร์ไทร์” (CYBER TIRE) ซึ่งกำลังทดสอบกันที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ยางไซเบอร์ นี้จะติดตั้งเซนเซอร์ไว้ เพื่อตรวจจับคุณภาพผิวถนน ส่งข้อมูลไปยังเครือข่าย ซึ่งจะส่งต่อไปยังรถยนต์ที่วิ่งตามมาให้ทราบว่า เส้นทางข้างหน้ามีสภาพถนนเป็นเช่นไร นอกจากนั้น เซนเซอร์ยังสามารถสื่อสารกับผู้ขับขี่ให้ทราบถึงสถานภาพของยางด้วยว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่านับระยะทางกันอย่างเดียว เพราะความสึกหรอของยางนั้นแปรผันกับรูปแบบถนน รูปแบบการขับขี่ และการรับน้ำหนักของตัวรถที่แตกต่างกัน แนวคิดเดียวกันนี้ ได้รับการพัฒนาในเยอรมนีด้วยเช่นกัน ในแผนกวิจัยของ ไดมเลร์ (DAIMLER) มีการพัฒนาให้รถยนต์นั่งของ เมร์เซเดส-เบนซ์ สามารถสื่อสารกับเครือข่ายได้ว่า ขณะนั้นผิวถนนมีน้ำแข็งจับ มีหิมะ ไปจนถึงถนนเกิดหลุมบ่อ เพื่อที่ทางการจะได้ส่งหน่วยซ่อมแซมผิวถนนมาจัดการได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ (หน่วยงานบ้านเราคงจะไม่เปิดให้บริการเรื่องนี้ เพราะมันคงจะเตือนไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน) อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยทีมนักวิจัยของ ไดมเลร์ ร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วนสัญชาติเยอรมนีอย่าง “โบช” (BOSCH) คือ การพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนไร้คนขับ โดยมีการทดลองกันในเมือง ซานโฮเซ แคลิฟอร์เนีย โดยติดตั้งเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนไร้คนขับไว้ในรถแทกซีที่เรียกผ่านทางสมาร์ทโฟน และกำหนดให้รับ/ส่งผู้โดยสารในสถานที่ตายตัว การวิ่งยังอยู่ภายใต้เกณฑ์ระดับ 4 ของ SAE นั่นคือ ยังต้องมีคนคอยดูแลระบบอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย เพราะรถจะต้องสามารถตัดสินใจลดความเร็ว และจอดได้เอง แม้ผู้ควบคุมระบบเผลอหลับก็ยังปลอดภัยอยู่ นอกจากนี้ ไดมเลร์ และโบช ยังประสบความสำเร็จในการทดลองระบบไร้คนขับที่ให้รถยนต์วิ่งไปหาช่องจอดในลานจอดรถได้เอง (FULLY AUTOMATED VALET) โดยพวกเขาได้ทดลองในลานจอดของ “พิพิธภัณฑ์ เมร์เซเดส-เบนซ์” ในเมืองชตุทท์การ์ท เพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของรถที่สามารถลงรถในจุดที่ต้องการแล้วปล่อยให้รถไปหาที่จอด ด้วยตัวเอง แถมยังช่วยเพิ่มพื้นที่จอดรถในลานจอดเดิมอีกด้วย เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเผื่อพื้นที่สำหรับ “การเปิดประตู” ทำให้พวกเขาเพิ่มปริมาณรถยนต์ในลานจอดรถเดิมได้มากขึ้นถึง 20 % (แน่นอนว่า ถ้าจะให้ประหยัดพื้นที่มากที่สุด ต้องใช้ระบบลิฟท์จอดรถอัจฉริยะแบบที่ใช้ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำบางแห่ง) ทีมงานของ ไดมเลร์ และโบช ตั้งใจจะไปให้ถึงระดับ 5 ของ SAE นั่นคือ ไม่ต้องมีพวงมาลัยอีกเลย แต่จุดนั้นจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับ 6G ที่ประมวลผลด้วยชิพซึ่งสามารถคำนวณได้ด้วยความเร็วระดับ เทราบิท หรือเร็วกว่าปัจจุบันนี้นับพันเท่า อย่างไรก็ตาม พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีรองรับการวิ่งแบบไร้คนขับในระดับ 4 ของ SAE ได้ในปี 2024 เพราะนั่นคือ ปีที่เทคโนโลยีสื่อสารระดับ 5G จะได้เริ่มใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาการต่อไป หลังจากรถเหล่านั้นวิ่งเข้าไปจอดในลานได้ด้วยตัวเองแล้ว ก็จะเป็น เรื่องการ “ชาร์จไฟอัตโนมัติ” สำหรับรถพลังไฟฟ้า ซึ่งมีหลากหลายมิติ และรูปทรง รวมถึงมาตรฐานหัวปลั๊กของแต่ละยี่ห้อก็ยังแตกต่างกัน อาทิ ค่าย บีเอมดับเบิลยู ตำแหน่งชาร์จอยู่ด้านข้างของรถ ในขณะที่ค่าย เมร์เซเดส-เบนซ์ ตำแหน่งชาร์จอยู่ท้ายรถ ส่วนอีกหลายๆ ยี่ห้อ ออกแบบให้ตำแหน่งชาร์จอยู่ที่จมูกของรถ ดังนั้นการชาร์จไฟในปัจจุบันยังต้องมีการแบ่งรูปทรงของหลุมจอดสำหรับรถไฟฟ้า ซึ่งกินพื้นที่ไม่น้อย ค่าย โฟล์คสวาเกน ได้ริเริ่มแนวคิดแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้หุ่นยนต์ที่พร้อมจะสื่อสารกับรถที่ต้องการชาร์จไฟ โดยหุ่นยนต์ซึ่งมี แบทเตอรีขนาด 25 กิโลวัตต์ชั่วโมง ภายในตัวจะวิ่งเข้าไปหา และใช้แขนกลเชื่อมต่อหัวปลั๊กเข้ากับรถที่จอดรออยู่ด้วยตัวเอง ผ่านการสั่งงานทางแอพพลิเคชันที่ทำงานบนพื้นฐานของการสื่อสารระหว่างรถยนต์กับสภาพแวดล้อม แม้ว่าหน้าตาของมันอาจจะดูแล้วเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ “สตาร์วอร์ส์” และยังเป็นแค่ขั้นแนวคิด แต่ก็ถือว่าเป็นการริเริ่มที่น่าสนใจ และอาจจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตำแหน่งชาร์จไฟด้วยก็เป็นไปได้ โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนคิดว่า ตำแหน่งที่ดีน่าจะเป็นหัวหรือไม่ก็ท้ายรถ แต่การที่หลายบริษัทเลือกจุดชาร์จด้านข้าง ก็น่าจะมีเหตุผลเช่นกัน จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาถึง จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของลักษณะรถยนต์ในทศวรรษนี้เลยก็ว่าได้ และในทศวรรษต่อไป คือ ยุคของเทคโนโลยี 6G เราจะได้เห็นรถยนต์ที่วิ่งได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในนั้น ทศวรรษหน้าจะยังมีวิ่งอยู่บนถนน แต่ไม่น่าจะมีการผลิตออกมาเพิ่มอีกแล้ว รถยนต์แบบที่เราเคยรู้จักคงเหลือไว้เป็นเพียงความทรงจำในอดีตเท่านั้น หลายคนอาจรู้สึกไม่พอใจ แต่การเปลี่ยน แปลง คือ เรื่องปกติ ที่สำคัญ คือ คนที่เข้าใจเทคโนโลยียานยนต์แบบดั้งเดิมจะค่อยๆ สูญหายไป จนถึงวันที่น้อยคนนักจะเซอร์วิศรถอย่างที่เราๆ ท่านๆ ใช้ในทุกวันนี้เป็น ซึ่งไม่ต่างไปจากการที่จะหาร้านรับล้างฟีล์มถ่ายรูปนั่นเอง
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/317276