เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
5G จะขับเคลื่อนชีวิตคุณให้เร็วขึ้นได้อย่างไร
อินเตอร์เนทโทรศัพท์ความเร็วสูง กับสุดยอดคลื่นความถี่ นำมาซึ่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงาน และความเป็นอยู่ของเราไปตลอดกาลรู้หรือไม่ ? ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการของระบบ 5G คือ 5G NEW RADIO ตามที่ 3GPP กลุ่มมาตรฐานอุตสาหกรรมโทรคมนาคมตั้งให้ โดยปกติ สัญลักษณ์แสดงระดับความแรงของสัญญาณ ณ มุมบนซ้าย หรือขวา บนจอโทรศัพท์ของเรา จะเป็น 4G แต่ถ้าคุณอยู่ในเมืองใหญ่ คุณอาจจะได้เห็นสัญลักษณ์อื่น เช่น 4G LTE ซึ่งหมายถึง คุณภาพอินเตอร์เนทที่เร็วกว่าเดิม ตรงกันข้ามหากคุณเดินทางไปยังพื้นที่ชนบท อาจพบเพียงสัญญาณระดับ 3G ที่จะทำให้การรับชมวีดีโอออนไลน์ไม่ลื่นไหล ทว่าในปีนี้ หากคุณอยู่ในที่ที่ใช่ และใช้โทรศัพท์รุ่นที่รองรับก็จะได้พบสัญญาณระดับ 5G ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล ตัวอักษร G ย่อมาจากคำว่า GENERATION ดังนั้น 5G จึงหมายถึง รุ่นที่ 5 ของระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ที่จะยกระดับการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง ASA TAMSONS หัวหน้าฝ่ายธุรกิจใหม่ของบริษัทอุปกรณ์สื่อสาร สัญชาติสวีเดน ERICSSON กล่าวว่า ระบบ 5G มีผลเช่นเดียวกับการคิดค้นกระแสไฟฟ้า, ธาตุซิลิคอน และเครื่องจักรไอน้ำ ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม สิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่าง 5G กับระบบสัญญาณรุ่นก่อน คือ การทำงานบนความถี่วิทยุที่สูงกว่า เพราะถึงแม้คลื่นวิทยุทุกคลื่นจะเดินทางด้วยความเร็วที่เท่ากัน แต่ด้วยความยาวของคลื่นความถี่จำเพาะที่ระบบ 5G ใช้ ทำให้การโอนถ่ายข้อมูลรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ความถี่สูงสุดที่ 4G ใช้ คือ 2.6 GHZ ส่วนหอส่งสัญญาณโทรศัพท์ทำหน้าที่ส่งสัญญาณ 5G ที่ความถี่ระหว่าง 3.5-6 GHZ ดังนั้นระบบ 5G สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ด้วยความเร็วสูงถึง 10 GHZ/วินาที ซึ่งมากกว่าระบบ 4G ถึง 10 เท่า ทำให้คุณสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์ความคมชัดสูงได้ในเวลาไม่กี่วินาที ความเร็วของ 5G จะทำให้เทคโนโลยี AR และ VR ถูกใช้ในโรงพยาบาลมากขึ้น นวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทเกี่ยวกับโทรคมนาคมกำลังทดลอง และหาทางใช้งานเครือข่ายล่าสุดนี้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่า อินเตอร์เนทความเร็วสูงของโทรศัพท์ ไม่ได้ส่งผลแค่การดาวน์โหลดเท่านั้น แต่ทำให้ประหยัดเวลาในปฏิบัติการด้านอื่นๆ ด้วย เช่น เวลาเข้าชมเวบไซท์ต่างๆ ด้วยระบบ 4G ความเร็วในการตอบสนองหลังกดปุ่มบนเวบเพจ จะอยู่ที่ 50 มิลลิวินาที แต่ถ้าใช้ระบบ 5G เวลาจะลดลงเหลือ 4 มิลลิวินาที ทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นหลายเท่า และในไม่กี่ปีข้างหน้า 5G จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากผู้ให้บริการอินเตอร์เนทวางแผนจะใช้ความถี่สูงถึง 6 GHZ และจะมีการใช้ช่วงความถี่ระหว่าง 30-300 GHZ ที่รู้จักกันในชื่อ MILLIMETRE BAND มีความยาวคลื่นเพียง 1-10 มิลลิเมตร หรือเรียกว่า MILLIMETRE WAVE (หรือคลื่นสั้น) ที่ใช้สำหรับดาราศาสตร์วิทยุ และปืนวัดความเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้ความถี่สูงก็มีข้อเสีย เนื่องจากช่วงความยาวคลื่นไม่สามารถเดินทางในระยะไกลได้ และง่ายต่อการถูกรบกวน โดยคลื่นสั้นต้องใช้สายส่งสัญญาณเชื่อมกับอุปกรณ์ส่งข้อมูล และอาจถูกรบกวนด้วยสภาพอากาศ เราจึงต้องสร้างเสาอากาศในเมืองเพิ่ม เพื่อให้การส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังดีที่คลื่นความถี่สูงระดับนี้ สามารถส่งผ่านเสาอากาศขนาดเล็กได้ ดังนั้น แทนที่จะสร้างเสาโทรศัพท์ขนาดใหญ่ เราก็แค่เพิ่มตัวส่งสัญญาณในเสาไฟฟ้า หรือสัญญาณไฟจราจรแทน ปัจจุบัน เครือข่ายโทรศัพท์ไม่ได้มีเพื่อการโทรติดต่อกันเท่านั้น เพราะโลกเรามีอุปกรณ์ที่ใช้เครือข่ายการส่งต่อข้อมูลหลายประเภท เช่น แทบเลท ที่เชื่อมต่อกับกลุ่มให้บริการด้าน IT ทำงานบนสมาร์ทวอทช์ มีแผนข้อมูลของตัวเอง และอุปกรณ์ไฮเทคในบ้าน เช่น กล้องนิรภัยความคมชัดสูง สิ่งเหล่านี้กำลังถูกพัฒนาให้เติบโตมากขึ้น เห็นได้ชัดจากยอดการเชื่อมต่ออินเตอร์เนทของอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้นจาก 8.4 พันล้านเครื่อง เมื่อ 2 ปีก่อน เป็น 2 หมื่นล้านเครื่อง หรือมากกว่าเดิม 3 เท่า ภายในปี 2020 โชคดีที่ระบบ 5G สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพราะช่วงความยาวคลื่นที่สั้นขึ้น ทำให้พื้นที่ในการรับข้อมูลมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ระบบ 4G สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ราว 100,000 อุปกรณ์/ตารางกิโลเมตร เครือข่ายในอนาคตจะสามารถรองรับได้กว่า 1 ล้านอุปกรณ์ ไม่ใช่แค่ความจุเท่านั้น ระบบ INTERNET OF THINGS (IOT) ในไฮเพอร์ดไรฟ ก็จะดีขึ้นด้วย ของใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน สิ่งอำนวยความสะดวกรายทางจากที่บ้านสู่ที่ทำงาน และในทุกๆ มุมถนน จะถูกติดตั้งเซนเซอร์เพื่อจัดเก็บข้อมูล และนำมาวิเคราะห์ในกลุ่มบริการด้าน IT ทำให้เทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ดีขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจะนำพาให้เกิดผลิตภัณฑ์ธุรกิจ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ตั้งแต่รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไปจนถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า 5G จะสามารถสร้างรายได้ต่อปีมากถึง 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2035 ซึ่งเทียบเท่ากับขนาดเศรษฐกิจของจีนทั้งประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมบริษัท และประเทศต่างๆ ถึงพยายามแข่งขันในการใช้ระบบ 5G กันอย่างเข้มข้น ขั้นตอนแรก คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ โดย NOKIA, ERICSSON และ HUAWEI ถือเป็น 3 บริษัทผู้นำด้านอุปกรณ์ให้บริการเครือข่าย อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกามีคำสั่งห้ามไม่ให้บริษัท HUAWEI เข้ามาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยกล่าวหาว่าอุปกรณ์ของบริษัท HUAWEI มีส่วนช่วยสนับสนุนการสอดแนมของประเทศจีน ซึ่งแม้ทาง HUAWEI จะปฏิเสธอย่างหนักแน่น ประเทศออสเตรเลียก็ยังปฏิบัติตามประเทศผู้นำอย่างสหรัฐอเมริกา ขณะที่ประเทศเยอรมนีก็ปรับประมวลกฎหมายด้านมาตรการความปลอดภัยของระบบโทรคมนาคมให้มีความรัดกุมมากขึ้น แต่ประเทศอังกฤษยังยืนยันจะร่วมงานกับบริษัท HUAWEI ต่อไป เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบ 5G ทั่วประเทศ โดยทำงานร่วมกับบริษัทผู้นำด้านโทรคมนาคมหลายบริษัท เพื่อเปลี่ยนไปใช้งานเครือข่ายใหม่พร้อมกันในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ประเทศ 2 ยักษ์ใหญ่ สหรัฐอเมริกา และจีน มุ่งหวังจะทำสิ่งเดียวกันนี้ให้สำเร็จภายในปี 2020 และกว่า 25 เมืองในประเทศอังกฤษก็จะเปิดใช้ 5G ภายในสิ้นปี 2019 โดยจะมี 6 เมืองได้ใช้ก่อนในเดือนพฤษภาคม ส่วนผู้นำในทวีปยุโรป สวิทเซอร์แลนด์ ก็ประกาศจะใช้งาน 5G ในบริเวณ 227 พื้นที่ เช่นเดียวกัน โทรศัพท์รุ่นต่อไปในอนาคตจะต้องรองรับ 5G ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น SAMSUNG, HUAWEI, ONE PLUS, LG, XIAOMI และ OPPO จึงพร้อมสำหรับการใช้งานสมาร์ทโฟน 5G แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายแรกของระบบ 5G จะเป็นกลุ่มธุรกิจต่างๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ระบบนี้จะเป็นผลดีแก่เราทุกคน ความเร็วที่สูงขึ้น เวลาหน่วงที่ลดลง จะทำให้กลุ่มธุรกิจ สามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้รวดเร็ว และให้บริการได้ดีขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ระบบ 5G จะเข้ามาในชีวิตเราในเร็ววันอย่างแน่นอน ศูนย์กลางข้อมูลขนาดเล็ก แทนที่จะส่งข้อมูลไปมาระหว่างเซอร์เวอร์ที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ผู้ให้บริการอินเตอร์เนท สามารถสร้างศูนย์กลางข้อมูลที่เสาส่งสัญญาณ 5G ได้ เพื่อเพิ่มความเร็วในขั้นตอนการส่งข้อมูล เสาอากาศในอาคาร ความถี่คลื่นสั้น ไม่สามารถเดินทางผ่านคอนกรีทได้ จึงติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณไว้ในอาคาร ยกระดับเสาส่งสัญญาณ ในเบื้องต้น เสาส่งสัญญาณ 4G ถูกยกระดับใช้ความถี่สูง (โดยไม่มีความถี่คลื่นสั้น) และเพิ่มความกว้างคลื่นความถี่ กลุ่มเซลล์ขนาดเล็ก 5G สามารถกระจายสัญญาณได้ในระยะทางสั้น ดังนั้นจึงต้องติดตั้งเสาวิทยุขนาดเล็กในเสาไฟฟ้า และสัญญาณไฟจราจรตามถนน รู้หรือไม่ ? เครือข่ายที่รวดเร็วมากๆ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เนทเข้ากับยานพาหนะได้ แม้ขณะวิ่งที่ความเร็วสูงถึง 800 กม./ชม. "แทนที่จะสร้างเสาโทรศัพท์ที่มีขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นสายส่งสัญญาณในเสาไฟฟ้า และไฟจราจร" การจราจรติดขัดจะเป็นเพียงเรื่องราวในอดีต เพราะเครือข่าย 5G จะจัดการถนนได้ดีขึ้น 5G ไม่ได้แค่ให้ความสะดวกแก่คนในเมือง แต่ยังเป็นประโยชน์กับผู้คน และธุรกิจในชนบทอีกด้วย 5G จะทำให้ทุกคนสามารถทำงาน และเชื่อมต่อกันได้อย่างง่ายดาย จัดการกับผู้ใช้งานด้วยข้อมูลคลื่นแสง คุณต้องใช้เสาอากาศขนาดเล็กเพื่อตรวจจับคลื่นความถี่สูง ดังนั้น เราจึงสามารถสร้างเสาอากาศขนาดเล็ก ที่เรียกว่า MULTIPLE INPUT และ MULTIPLE OUTPUT (MIMO) และอัดลงไปในอุปกรณ์ขนาดมือถือ หรือเสาวิทยุขนาดเล็ก เพื่อให้มันทำงานร่วมกันอย่างเป็นลำดับ และสร้างลำแสงจำเพาะสำหรับข้อมูลได้ ซึ่งการจัดเรียงแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริง และถูกใช้กับระบบ LTE แต่เราสามารถบรรจุเสาอากาศที่รองรับความถี่ต่ำระดับนั้นได้เพียง 2 หรือ 4 ชิ้น/1 เสาวิทยุ หรือ 1 เครื่องเท่านั้น ในทางกลับกัน ผลประเมินบอกว่า เราสามารถสร้างเสาอากาศความถี่คลื่นสั้น 256 เสา บนเสาโทรศัพท์ได้ และขนาดที่ลดลงนี่แหละที่สร้างความแตกต่าง เพราะ MIMO จำนวนนี้ จะมีกำลังมากพอที่จะยิงคลื่นแสงไปถึงเป้าหมาย หรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น โดยมีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งสัญญาณผ่านความถี่ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้แก้จุดอ่อนที่สำคัญของ 5G ได้ในระยะยาว เสาอากาศแบบ MIMO ของ 5G บนจอแสดงผลในเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อต้นปี 2019 5G อยู่ส่วนไหนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ? สเปคทรัมแม่เหล็กไฟฟ้า หมายถึง ช่วงความยาวคลื่นทุกชนิด รวมถึงแสงที่เราสามารถมองเห็นได้ และอีกหลายประเภทที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น ไมโครเวฟ และรังสีเอกซ์, คลื่นวิทยุอยู่ในหมวดรังสีชนิดไม่มีอิออนที่ความถี่ต่ำ และมีความยาวคลื่นสูงที่สุด, รังสีที่เป็นอันตรายอย่างรังสีแกมมา อยู่ในหมวดรังสีชนิดก่ออิออนที่ความถี่สูง สามารถทำลายดีเอนเอ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ในขณะที่ 5G ใช้ความถี่สูงมากกว่า 4G รวมถึงความถี่คลื่นสั้นยังคงอยู่ระหว่าง 3 KHZ-300 GHZ รังสีชนิดไม่ก่ออิออน วิทยุ โทรศัพท์ ไมโครเวฟ รังสีชนิดก่ออิออน แสงที่มองเห็น แสงอาทิตย์ รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา 5G ในทุกๆ วัน แม้จะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่เครือข่ายจะสามารถให้บริการในระดับความเร็วสูงสุดได้ แต่หากคุณอยู่ถูกที่ 5G จะเป็นประโยชน์กับคุณทันที พลังงานมากกว่า ซอฟท์แวร์อัจฉริยะจะทำให้บริษัทโทรคมนาคมสามารถควบคุมเครือข่ายได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงมั่นใจได้ว่ามีแบนด์วิดธ์เพียงพอ และระบบก็จะใช้พลังงานน้อยลง ธุรกิจดีขึ้น เนื่องจากการมีเครือข่ายที่เร็ว และเชื่อถือได้มากขึ้น ธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ก็ตั้งความหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากระบบ 5G ผลสำรวจโดย PSB ในปี 2017 สรุป 89 % ของธุรกิจคาดหวังว่า จะสามารถให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ห้องเรียนอัจฉริยะ บทเรียนแบบ AUGMENTED REALITY และ VIRTUAL REALITY จะพร้อมใช้ในโรงเรียนที่สามารถใช้ 5G ได้ และผู้สอนสามารถส่งบทเรียนจากระยะไกลได้อย่างรวดเร็ว รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เครือข่ายสามารถส่งข้อมูลที่รถยนต์ต้องการด้วยความเร็วสูง จากเซนเซอร์บนถนนในเมือง เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น คนเดินออกไปบนถนน เชื่อถือได้มากขึ้น สัญญาณจะถ่ายโอนกันระหว่างเสาโทรศัพท์ในเวลาน้อยกว่า 1 มิลลิวินาที โดยไม่ล่ม การเชื่อมต่อในกลุ่มฝูงชนดีขึ้น เนื่องจากรองรับอุปกรณ์ได้ถึง 1 ล้านเครื่อง/ตารางกิโลเมตร ความสามารถในการรองรับของ 5G จึงดีกว่า แม้คุณจะอยู่ในสถานที่แออัด ในช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดก็ตาม ดาวน์โหลดรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมถึง 10 เท่า 5G ดาวน์โหลดได้เร็ว ทำให้รับชมวีดีโอสตรีมิงได้ไม่มีสะดุดทุกเวลา ไม่เสียเวลา เวลาแฝงมากที่สุดเพียง 4 มิลลิวินาที ทำให้คุณไม่รู้สึกถึงการรอคอยในการเชื่อมต่ออินเตอร์เนท รู้หรือไม่ ? ด้วยความเร็วสูงสุด 5GB/วินาที คุณสามารถรับชมภาพยนตร์ 4K ได้ 50 เรื่องพร้อมกัน ผ่าน NETFLIX ด้วยอินเตอร์เนท 5G โฆษณาได้ทุกที่ เหล่าผู้ซื้อขายสามารถฉายวีดีโอความคมชัดสูงบนพื้นผิวใดก็ได้ ที่ไหนก็ได้ หากผู้ส่ง และผู้รับใช้ระบบ 5G ทำให้การโฆษณาง่ายและถูก แม้แต่บรรจุภัณฑ์ของร้านขายของชำ ก็อาจมีจอภาพแบบโต้ตอบกันได้ ผลผลิตจากฟาร์มมากขึ้น ดโรนระบบ 5G และเซนเซอร์ที่ใช้ร่วมกันจะสามารถติดตามรายละเอียดของสัตว์แต่ละตัว, ความสมบูรณ์ของพืช, คุณภาพของดิน และความสะอาดของน้ำ (ในกรณีเลี้ยงปลา) ทำให้ระบบฟาร์มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถาม-ตอบ 5G เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ? ดร. เดวิด รอเบิร์ท กริมส์ นักวิจัยด้านมะเร็ง และนักฟิสิคส์ ตอบคำถามเรื่องความกังวลเกี่ยวกับ 5G ถาม : เมื่อหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหประชาชาติ (IARC) ได้จัดประเภทคลื่นความถี่วิทยุ (RFR) ซึ่งรวมถึงสัญญาณมือถือว่าเป็น "สาเหตุหนึ่งของมะเร็ง" เราควรจะกังวลหรือไม่ ? ตอบ : สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมากนัก เพราะการจำแนกประเภทของ IARC นั้นทดลองกับกลุ่มคนจำเพาะที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอยู่แล้ว และคลื่นความถี่วิทยุจัดอยู่ในประเภท 2B ซึ่งหมายถึง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า การใช้โทรศัพท์เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง นอกจากนั้น ระบบของ IARC ยังเต็มไปด้วยความซับซ้อน จึงทำให้เกิดความสับสนต่อผู้รับข้อมูลได้ ถาม : มีหลักฐานบ่งชี้ว่า โทรศัพท์มือถือเชื่อมโยงกับเนื้องอกหรือไม่ ? ตอบ : ความจริง คือ ไม่มี ประการแรก จากมุมมองของชีวฟิสิคส์ คลื่นความถี่วิทยุของรังสีที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือเป็นรังสีชนิดไม่ก่ออิออน ดังนั้น เราจึงคาดว่า มันจะไม่สามารถก่อเกิดความเสียหายต่อ DNA ที่นำไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง ประการที่ 2 แม้ว่าอัตราการใช้โทรศัพท์จะเพิ่มขึ้น จากการไม่ใช้เลยจนถึงร้อยละ 100 ในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ แต่ไม่มีหลักฐานการเป็นเนื้องอกในสมองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าหากมันมีผลกระทบจริงเราจะต้องเห็น เนื่องจากเราถือโทรศัพท์ไว้ที่หูเป็นเวลานาน ตัวอย่างหนึ่ง จากหลายๆ ตัวอย่าง ที่ INTERPHONE STUDY สำรวจร่วมกัน 13 ประเทศ พบว่า ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสมองที่สัมพันธ์กับการใช้โทรศัพท์ และไม่มีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่าโทรศัพท์เชื่อมโยงกับการเกิดเนื้องอก ถาม : 5G ต้องใช้เครื่องส่งสัญญาณหลายร้อยตัวตั้งอยู่ใกล้กับระดับพื้นดิน หมายความว่า พวกมันจะปล่อยรังสีมากขึ้นหรือไม่ ? ตอบ : ไม่เลย 5G ต้องการเครื่องส่งสัญญาณจำนวนมากขึ้น เพราะมันอ่อนกำลังลงได้ง่ายจากสภาพแวดล้อม และไม่สามารถเดินทางไกลได้ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จึงต้องมีการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเพิ่มปริมาณของรังสี ถาม : ทำไมคุณจึงคิดว่า ความเสี่ยงด้านสุขภาพของ 5G กระตุ้นให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด ? ตอบ : ความกังวลที่มีต่อ 5G นั้นไม่ใช่สิ่งใหม่ เราเคยเผชิญกับความตื่นตระหนกที่คล้ายกันมาแล้วในอดีตเกี่ยวกับทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ การฉีดวัคซีน น้ำฟลูออไรด์ ไปจนถึงเรื่องโทรศัพท์ สิ่งที่ยากต่อการแก้ไข คือ ข้อมูลผิดๆ สามารถแพร่กระจาย และถูกส่งต่อได้รวดเร็วกว่าในอดีต ลาก่อนบรอดแบนด์ ด้วยเครือข่าย 5G อินเตอร์เนทมือถือ มีความเร็วมากกว่าอินเตอร์เนทบรอดแบนด์ ดังนั้น ถึงเวลาตัดสายเชื่อมต่อบรอดแบนด์ทิ้ง ลดค่าใช้จ่ายลงอีก 1 รายการ แถม 5G ยังติดตั้งได้ง่ายกว่า ไม่ต้องเจาะถนน หรือเจาะรู้ที่กำแพงบ้าน เพื่อทำการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ เพียงแค่เสียบอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย 5G สำหรับใช้ในบ้าน เข้ากับผนัง ก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เนทความเร็วสูง 100 MB/วินาที อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตบรอดแบนด์ยังคิดว่า อนาคตของอินเตอร์เนทไฟเบอร์ไม่น่าจะจบเพียงเท่านี้ พวกเขากำลังพัฒนาเครือข่าย NETWORK OF NETWORK ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ที่จะช่วยสับเปลี่ยนการใช้งานระหว่าง 4G, 5G และ WI-FI ได้อัตโนมัติ ขึ้นอยู่ว่าตอนนั้น สิ่งไหนให้สัญญาณเร็วกว่า ทำให้การใช้งานอินเตอร์เนทของคุณไม่มีวันถูกรบกวน 5G จะแทนที่อินเตอร์เนทในบ้านของคุณได้ในที่สุด อนาคตของ 5G 5G จะเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ และชุมชนอย่างไร แก้ปัญหารถติด ที่เราพูดถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมาหลายปี มันอาจจะถูกใช้จริงบนถนนพร้อมๆ กับ 5G ในอนาคต ยานพาหนะอัตโนมัติจะกลายเป็นบรรทัดฐาน ด้วยการจัดระบบจราจรโดยใช้ระบบ 5G ทำให้ปัญหาการจราจรติดขัดเป็นเรื่องราวในอดีต ป้อนข้อมูลให้ปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำงานตามวิธีคิดแบบมีหลักการ โดยการใส่ข้อมูลต่างๆ เป็นชุด และใส่ผลลัพธ์ที่คาดหวังเข้าไป ให้มันเรียนรู้ ยิ่งคุณป้อนข้อมูลมากเท่าไร มันก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น 5G จะสร้างข้อมูลขนาดใหญ่ และเป็นไปได้ว่า AI จะสามารถจัดการเครือข่ายที่ซับซ้อนของ 5G ได้อย่างไม่น่าเชื่อ สร้างดโรนส่งของ เมื่อ 5G ทำให้รถยนต์ระบบอัตโนมัติขับเคลื่อนตัวเองบนถนนได้ เทคโนโลยีนี้ก็ทำได้กับดโรนเช่นกัน ด้วยการให้ข้อมูล และขยายภาพจากข้างบนลงมา เพื่อจัดส่งของ สิ่งนี้จะทำให้เกิดทางด่วนบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดโรนจัดส่งของ และอาจมีแทกซีไร้คนขับรวมอยู่ด้วย วิวัฒนาการของเครือข่ายโทรศัพท์ 1940 OG เป็นวิทยุโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ใช้งานคล้ายวิทยุสื่อสาร 2 ทาง และมีขนาดใหญ่ 1979 เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่น ระบบ 1G ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โทรศัพท์แบบเคลื่อนที่ได้ โดยตัวโทรศัพท์มีขนาดใหญ่ และแบทเตอรีมีพลังจำกัด รวมถึงสัญญาณไม่ดี ความเร็วสูงสุด 2.4 KB/วินาที 1990 ระบบ 2G เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนจากระบบแอนาลอกเป็นดิจิทอล มีการพัฒนาด้านคุณภาพการสื่อสาร และสามารถส่งข้อความได้ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 64 KB/วินาที 1992 ข้อความแรกที่ถูกส่งในประเทศอังกฤษ คือ “MERRY CHRISTMAS” โดย NEIL PAPWORTH นักพัฒนาซอฟท์แวร์ ส่งถึง RICHARD JARVIS เจ้านายของเขาในบริษัท VODAFONE 1998 บริษัท RADIOLINJA ในประเทศฟินแลนด์ เปิดตัวเนื้อหาที่ดาวน์โหลดได้สำหรับโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก นั่นคือ เสียงที่สร้างขึ้นจากโทรศัพท์ เป็นที่นิยม และใช้งานทั่วโลก 2001 โทรศัพท์มือถือใช้การเชื่อมต่อทางอินเตอร์เนท 3G แต่ไม่รวดเร็วมาก สามารถเปิดเวบไซท์ส่งอี-เมล ฟังเพลง และคุยกันแบบเห็นหน้า ความเร็วสูงสุดที่ 2 MB/วินาที 2007 เปิดตัว IPHONE รุ่นแรก แม้จะถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถใช้ 3G ได้ แต่หน้าจอระบบสัมผัสก็แสดงถึงความสามารถที่เหมาะสมกับคำว่า สมาร์ทโฟน 2009 4G ที่มีความเร็วมากกว่าเดิม 10 เท่า เปิดตัวในนอร์เวย์เป็นครั้งแรก รับชมวีดีโอ HD เล่นเกม และใช้เทคโนโลยี CLOUD COMPUTING ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 MB/วินาที 2018 ในเดือนธันวาคม องค์การ 3GPP ที่บริหารมาตรฐานการใช้โทรศัพท์มือถือ เห็นด้วยกับสเปคทรัม 5G โดยนำมาใช้ และเปิดไฟเขียวให้อุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคม 2019 เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกที่ใช้งาน 5G ทั่วประเทศในเดือนเมษายน และทั่วโลกก็ไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1+GB/วินาที รู้หรือไม่ ? ญี่ปุ่นกล่าวว่า โอลิมปิค 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น จะเป็นโอลิมปิค 5G ครั้งแรก และจะใช้เครือข่ายถ่ายทอดการแข่งขันในแบบ VR ทำให้ AR เกิดขึ้นจริง ลองจินตนาการถึงโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนฟิลเตอร์ใน SNAPCHAT ที่ทุกอย่างถูกทับซ้อนด้วยโฮโลแกรมเคลื่อนไหวได้ ด้วยความจุที่เพิ่มขึ้น และเวลาแฝงที่น้อยกว่า 5G ทำให้ AR และ VR เหมือนจริงมากขึ้น แว่นอัจฉริยะจะเป็นอุปกรณ์สำหรับการเล่นเกมในรุ่นต่อไป และยังเป็นอุปกรณ์บันเทิงขนาดพกพาอีกด้วย สร้างเมืองอัจฉริยะ เช่นเดียวกับที่บ้านกำลังพัฒนาสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้น ด้วยระบบลอคที่เชื่อมต่ออินเตอร์เนท ตัวปรับอุณหภูมิ หลอดไฟ และอื่นๆ ในส่วนของเมืองก็เช่นเดียวกัน เซนเซอร์ที่เชื่อมต่อผ่านระบบ 5G จะวัดทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้พลังงานของเมืองไปจนถึงการจราจร สภาพอากาศ ช่วยให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงข้อมูล เพื่อความปลอดภัย และการบริหารที่ดีกว่า ควบคุมผ่าตัดด้วยรีโมท เดือนมีนาคม 2019 ศัลยแพทย์สมองในประเทศจีน ผ่าตัดผู้ป่วยที่อยู่ห่างออกไป 3,000 กิโลเมตร โดยสั่งการให้แขนของหุ่นยนต์ทำงาน การเชื่อมต่ออย่างรวดเร็วของ 5G ทำให้อุปกรณ์ตอบสนองคำสั่งในการผ่าตัดแบบตลอดเวลาได้ ปฏิบัติการครั้งนี้เรียกว่า TELESURGERY ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำ และช่วยเหลือ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด แน่นอนว่า วิธีการนี้จะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต 5 เรื่องจริงเกี่ยวกับความคาดหวังที่มีต่อโทรศัพท์ 5G 1. มีเสาอากาศทุกแห่ง เนื่องจากความถี่คลื่นสั้นถูกรบกวนง่าย ดังนั้น โทรศัพท์จะต้องออกแบบให้มือไม่ปิดบังตัวรับสัญญาณ ด้วยการซ่อนเสาอากาศไว้ทั่วทุกมุม 2. แบทเตอรีใช้งานได้นาน ปัจจุบันการสับเปลี่ยนระบบระหว่าง 5G และ 4G ทำให้กระแสในแบทเตอรีของคุณลดลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีการพัฒนามากขึ้น และโทรศัพท์ติดตั้งโมเดม 5G ที่มีประสิทธิภาพ คุณจะได้ใช้โทรศัพท์ที่มีพลังงานมากกว่าเดิมแน่นอน 3. ราคาสูงขึ้น ในช่วงแรก สมาร์ทโฟนความเร็วสูงจะมีราคาแพงขึ้น แต่ก็จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เหมือนตอนเปิดตัว 4G 4. ตอนนี้ใช้ได้เฉพาะระบบ ANDROID SAMSUNG XIAOMI และ ONE PLUS วางจำหน่ายโทรศัพท์เวอร์ชัน 5G แล้ว และผู้เชี่ยวชาญไม่ได้คาดหวังว่า APPLE จะเปิดตัวโทรศัพท์ 5G จนกว่าจะถึงปี 2020 5. กล้องความคมชัด 8K ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน NUBIA วางจำหน่ายโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายภาพ 48 ล้านพิกเซล และบันทึกวีดีโอ 8K เนื่องจากมีแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น นับเป็นกระแสที่น่าติดตามมาก
เรื่องโดย : HOW IT WORKS
ภาพโดย : HOW IT WORKS
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/309688