รู้ลึกเรื่องรถ
ถอดรหัสยางรถยนต์
ท่านผู้อ่านเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ข้อมูลมากมายที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางนั้นมันหมายถึงอะไรกันบ้าง ? ถ้าท่านอยู่ในวงการนี้มานาน เนื้อหาในตอนนี้ อาจจะไม่ตื่นเต้นนัก แต่หัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านที่เพิ่งจะเริ่มสนใจ เพื่อใช้ในการถอดรหัสที่ผู้ผลิตยางได้แจ้งไว้บนแก้มยาง ซึ่งมีความสำคัญสำหรับการเลือกใช้ยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถของท่าน ทั้งเพื่อให้ได้สมรรถนะตรงตามที่ต้องการ รวมถึงความปลอดภัยในการใช้งาน ภายใต้งบประมาณที่ตรงใจแน่นอนว่า ข้อมูลรายละเอียดอันดับแรกที่เราจะได้เห็นก็คือ ชื่อของผู้ผลิต และชื่อรุ่นของยาง ที่เราสามารถค้นหาได้จากหลายแหล่งว่า ยางยี่ห้อ และรุ่นนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดเป็นหลัก ยางบางรุ่นออกแบบมาเพื่อความนุ่มนวล หรือเพื่อความเงียบ บางรุ่นก็อาจจะเน้นการประหยัดพลังงาน และบางรุ่นก็เน้นสมรรถนะการยึดเกาะ เรื่องการตั้งชื่อนี้ นักการตลาดของยางแต่ละยี่ห้อนั้น จะพยายามคิดค้นชื่อที่สื่อไปถึงบุคลิกของสินค้า อาทิ ไพลอท สปอร์ท (PILOT SPORT) ยางสไตล์สปอร์ทของ มิเชอแลง คำว่า ไพลอท ซึ่งหมายถึง ผู้ขับ และสปอร์ท หรือการกีฬา ทำให้เราสามารถเดาได้ว่า ยางนั้นน่าจะเน้น การ “ซิ่ง” หรืออย่าง อีโคเพีย (ECOPIA) ที่เป็นยางต้านทานการหมุนต่ำ เน้นเรื่องการประหยัดเชื้อเพลิงของ บริดจ์สโตน ก็เป็นการสนธิคำว่า อีโคโนมี หรือความประหยัด กับคำว่า ยูโทเพีย หรือดินแดนอุดมคติ เข้าด้วยกัน ซึ่งแค่ชื่อก็พอจะเห็นแล้วว่า บุคลิกของยาง 2 รุ่นนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้อมูลอันดับต่อไปที่เราควรให้ความใส่ใจ คือ ตัวเลขระบุขนาดของยาง ซึ่งยางสำหรับรถทั่วไปกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีวิธีการระบุขนาดแตกต่างกัน จะขอเริ่มที่ยางสำหรับรถทั่วไปก่อน ยางสำหรับรถทั่วไปนั้น จะมีการผสมผสานตัวเลขหลายแบบ หลายหน่วย เข้าด้วยกันดังตัวอย่างในภาพ คือ 235/45 R17 97W ชุดตัวเลขแรก “235” จะระบุความกว้างของหน้ายาง หน่วยเป็นมิลลิเมตร (มม.) โดยทั่วไปจะมีการขยาย/ลด ขนาดขั้นละ 10 มิลลิเมตร อาทิ 185, 195, 205, 215, 225, 235 ไล่ไปเรื่อยๆ ตัวเลขชุดที่ 2 “45” คือ สัดส่วน ความสูงของแก้มยาง หน่วยเป็น “ร้อยละ” (%) ในที่นี้ คือ ความสูงของแก้มยางเป็น ร้อยละ 45 ของหน้ายาง ที่กว้าง 235 มม. คือ แก้มยางสูง 105.75 มม. โดยสัดส่วนการขยาย/ลด จะปรับขั้นละ 5 อาทิ 40, 45, 50, 55, 60 ชุดที่ 3 คือ ตัวอักษร ส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวอักษร R ตัวเดียว หมายถึง โครงสร้างยางแบบเรเดียล ซึ่งเป็นรูปแบบของการวางโครงสร้างผ้าใบแบบหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานในยุคปัจจุบัน ส่วนยางบางรุ่นนั้น เราอาจจะเห็นอักษรว่า VR หรือ ZR หมายถึง ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ เมื่อบรรทุก “เต็มที่” ตามพิกัดที่ยางรับได้ โดยปกติจะมีใช้กันหลักๆ 2 ตัวเท่านั้น คือ VR ระบุว่า เมื่อบรรทุกเต็มพิกัด ไม่ควรวิ่งเร็วเกิน 210 กม./ชม. ZR ระบุว่า เมื่อบรรทุกเต็มพิกัด ไม่ควรวิ่งเร็วเกิน 240 กม./ชม. ชุดที่ 4 คือ ตัวเลข “17” คือ ขนาดของ เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ มีหน่วยเป็น “นิ้ว” ชุดที่ 5 เป็น ตัวเลขผสมกับตัวอักษร ตัวเลขชุดแรก คือ “97” หมายถึง ความสามารถในการรับน้ำหนัก หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “LOAD INDEX” ความสามารถในการรับน้ำหนักต่อยาง 1 เส้น ดังตารางอ้างอิง ส่วนตัวอักษรที่ตามมา “W” คือ ความสามารถในการรับความเร็ว ปัจจุบันนิยมใช้กัน ตั้งแต่อักษร Q ตามด้วย R, S, T, H, V, W และ Y (ไม่มี U กับ X) โดยขีดจำกัดที่สามารถรองรับความเร็วได้นั้น เป็นไปตามตารางที่อ้างอิง ในที่นี้ “97W” หมายความว่า ยางชุดนี้สามารถรับน้ำหนักต่อเส้นได้ 730 กก. เมื่อรวมกัน 4 เส้น จะสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 2,920 กก. และทำความเร็วได้ไม่เกิน 270 กม./ชม. ตัวเลขทั้งหมด มีความสำคัญสำหรับการใช้เป็นขนาดมาตรฐานของล้อ และยางที่ติดรถมา เพื่อใช้ในการอ้างอิงเมื่อเราต้องการที่จะปรับแต่งขนาดของล้อ และยางให้เปลี่ยนไป แต่ยังคงไว้ซึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง และเส้นรอบวงที่ใกล้เคียงของเดิม เพื่อให้อัตราทดของเกียร์ และการแสดงผลความเร็วไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง จึงขอมอบเป็นสูตรคำนวณง่ายๆ ดังนี้ มาถึงจุดนี้หลายท่านอาจจะตกใจ คำว่า “เส้นรอบวง” โดยคิดไปถึงสูตรคำนวณหาเส้นรอบวง แต่ไม่ต้องคิดมาก เพราะใจความสำคัญนั้นอยู่ที่มิติของเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นหลัก หากขนาดของล้อ และยางใหม่ใกล้เคียงกับล้อ และยางชุดเก่า ก็ถือว่าไม่ได้ร้ายแรงอะไร ท่านจะหยิบเอาสูตร 2IIR ออกมาใช้ก็ต่อเมื่อต้องการจะทราบว่า การวัดระยะทางจะเพี้ยนไปมากน้อยเพียงใดเท่านั้น แต่คงไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น โดยเฉพาะหากเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ได้เปลี่ยนแปลงเกิน 1 % สูตรคำนวณเพื่อหาความสูงของล้อยาง คือ ความสูงของแก้มยาง ในที่นี้ คือ 235x0.45 (แก้มยางซีรีส์ 45 หรือ 45 % ซึ่งก็คือ 0.45) = 105.75 มม. ตามที่ได้คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ แล้วนำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อที่มีหน่วยเป็นนิ้ว มาเปลี่ยนให้เป็น มม. ด้วยการคูณ 25.4 ในที่นี้ คือ 17x25.4 = 431.8 มม. จากนั้นนำความสูงของแก้มยางมาคูณ 2 แล้วบวกเข้ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของยางขนาด 235/45 R17 คือ (105.75x2)+431.8 = 643.3 มม. ใช้สูตรเดียวกันนี้ เพื่อคำนวณหาเส้นผ่าศูนย์กลางของชุดล้อ และยาง ที่เราต้องการนำมาแทนที่ล้อ และยางชุดเก่า อาทิ เราต้องการใส่ล้อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น เพื่อความสวยงาม เช่น เปลี่ยนจากล้อขนาด 17 นิ้ว ไปเป็น 19 นิ้ว ขนาดยางที่เหมาะสมก็คือ 235/35 R19 ซึ่งหากใช้สูตรคำนวณเดียวกันนี้ จะได้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 647.1 มิลลิเมตร ซึ่งแตกต่างจากเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อยางชุดเดิม ไม่เกิน 1 % ถือว่าใช้ทดแทนกันได้ไม่มีปัญหา ส่วนยางของรถบรรทุก หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีวิธีการระบุขนาดที่ “ง่าย” กว่ามาก เพราะแทนที่จะระบุเป็นขนาด สัดส่วนของแก้มยาง ที่สัมพันธ์กับความกว้างของหน้ายาง พวกเขาเลือกที่จะระบุถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง, ความกว้างหน้ายาง และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ ตามตัวอย่าง 35x12.50 R17 LT แปลว่า ยางนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 นิ้ว กว้าง 12.50 นิ้ว และใช้กับกระทะล้อ 17 นิ้ว ส่วน LT นั้นมาจากคำว่า LIGHT TRUCK หรือรถบรรทุกขนาดเล็ก (คำว่า “เล็ก” หมายถึงเมื่อเทียบกับรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป) นอกจากนี้ บนแก้มยาง ยังมีการระบุข้อมูลตัวเลข และตัวอักษรต่างๆ อีกมากมาย แต่สิ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่คนที่จะซื้อยางใหม่ในบ้านเรา (ในช่วง 10 กว่าปี) คือ การดู “ปียาง” เพื่อเลือกยางที่ใหม่สดที่สุด เท่าที่หาได้ (ราวกับว่ายางรถยนต์เป็นผลไม้ตามฤดูกาล) ยางที่ผลิตขึ้นทุกเส้น จะมีด้านหนึ่งถูกตีตราเป็นตัวเลข 4 ตัว เพื่อบอกว่ายางเส้นนั้นผลิตขึ้นในสัปดาห์ที่เท่าไรของปีใด อาทิ ในภาพ คือ “1K5 0317” แสดงว่าผลิตขึ้นในสัปดาห์ที่ 03 ของ ปี 2017 นั่นเอง มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่เราจะอยากได้ ยางที่ผลิตขึ้นใหม่สด ไม่ใช่ยางที่ติดค้างอยู่ในร้านนานหลายปี แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเช่นกัน หากว่ายางนั้นเป็นยางใหม่ที่ยังมิได้ผ่านการวิ่งเลย แต่มีอายุในหีบห่อมาแล้วปี หรือ 2 ปีเช่นกัน เพราะยางรถยนต์จะเริ่มเสื่อมสภาพแข็งกระด้างก็ต่อเมื่อผ่านการใช้งาน หากเก็บไว้ในที่แห้ง ไม่แช่น้ำ หีบห่ออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็ไม่ส่งผลอะไรกับโครงสร้างโลหะด้านในของยางแต่อย่างใด ยางที่ผ่านการใช้งานแล้ว หรือที่เรียกว่า “ยางเปอร์เซนต์” ต่างหากที่น่าเป็นห่วงเรื่องการนำมาใช้ซ้ำมากกว่า กลับมาเรื่องข้อมูลที่ระบุบนยางอีกครั้ง ยางบางแบบได้รับการออกแบบให้มีทิศทางการหมุนด้านเดียว หรือที่เรียกว่า “ROTATION” ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็น “ลูกศร” ระบุทิศทางการหมุนไว้ชัดเจน ซึ่งยางประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีลายดอกยางเป็นเหมือนลูกศร ที่ได้รับการออกแบบมาให้รีดน้ำได้รวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานในฤดูฝน แต่การออกแบบดอกยางเช่นนี้ มักจะมีข้อเสียที่ตามมาก็คือ เสียงอากาศที่ถูกอัดออกมาจากดอกยางค่อนข้างดัง กับอีกประเภทหนึ่งที่มีการกำหนดว่า ด้านใดเป็นด้านนอก หรือด้านใน ส่วนใหญ่จะมีสัญลักษณ์ระบุว่าด้านใด คือ “ด้านนอก” (OUTSIDE) เป็นหลัก ยางที่มีการระบุทิศทางการหมุน และแบบที่มีการระบุด้านในด้านนอก อาจจะยุ่งยากในการสลับยางตามระยะทางที่กำหนดเพื่อเฉลี่ยความสึกหรอของดอกยางให้เท่ากันทั้ง 4 ล้อ อาทิ ยางที่มีการระบุทิศทางการหมุนไม่สามารถสลับซ้ายไปขวาได้ นอกจากจะต้องมีการถอดยางออกมาจากล้อ ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหาย ดังนั้นทางที่ดี จึงควรพิจารณาให้ดีว่า เรายอมรับข้อด้อยเรื่อง เสียง และการดูแลรักษาตลอดช่วงอายุของยางได้หรือไม่ ? ก่อนจะเลือกยางเพียงเพราะดอกสวยถูกใจ รูปแบบของข้อมูล อีกแบบหนึ่งก็คือ เรื่องความทนทานในการสึกหรอ คือ อายุการใช้งาน ที่เรียกกันว่า “TREADWEAR” ซึ่งมีหน่วยเป็นตัวเลขขึ้น/ลง ทีละ 20 หน่วย ยางที่เป็นเกณฑ์อ้างอิงนั้น เรียกว่า TREADWEAR 100 ยางยิ่งสึกหรอเร็วเท่าใด ก็ยิ่งแสดงว่าเนื้อยางนิ่มเท่านั้น ยางเพื่อการขับขี่สไตล์สปอร์ทจะมีเนื้อยางสึกหรอเร็วกว่ายางที่ใช้เพื่อการบรรทุก ดังนั้น ยางที่มี TREADWEAR 400 ก็จะมีอายุการใช้งานทนทานกว่า TREADWEAR 100 ถึง 4 เท่า แต่ในทางกลับกัน สมรรถนะด้านการเกาะถนนก็จะด้อยลงเป็นเงาตามตัว ดังนั้น หากต้องการการขับขี่ที่สนุกสนาน เกาะถนนหนึบ ก็ต้องพิจารณายางที่มี TREADWEAR ต่ำๆ คนที่ชอบการขับขี่สไตล์สปอร์ท แต่ต้องการใช้งานยางได้หลายปี และปีหนึ่งไม่ได้วิ่งมากมาย ก็มักจะเลือกยางที่มี TREADWEAR ไม่เกิน 300 เป็นต้น ขณะที่พวกรถแข่งก็มักจะลงไปคบหากับ TREADWEAR 100 หรือต่ำกว่าไปเลย ส่วนคนที่ต้องการยางทนๆ ก็เลือก TREADWEAR 600 รับรองวิ่งใช้งานกันจนลืม ต่อมา คำว่า TRACTION คือ ดัชนีชี้วัดความสามารถในการเบรคบน “พื้นเปียก” เป็นหลัก (ไม่ใช่การเกาะถนน หรือเบรคบนพื้นแห้ง แต่อย่างใด) ในปัจจุบัน ยางแทบทุกรุ่นที่มีจำหน่าย จะต้องได้เกรด A เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (ต่ำกว่า A ถือว่า ไม่เหมาะกับยุคปัจจุบันนี้อีกแล้ว) ส่วนยางสมรรถนะสูงส่วนใหญ่ได้รับการจัดเกรดเป็น AA ซึ่งดีกว่ามาตรฐาน โดยเกณฑ์ที่ใช้แบ่งเกรด คือ ค่า G-FORCE ที่เกิดจากการเบรค วัดบนถนนราดยางมะตอย และถนนคอนกรีท หากสามารถสร้างแรง G ได้มากเท่าไร ก็แปลว่า สามารถชะลอความเร็วได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ แม้จะได้ AA เหมือนกัน ก็ใช่ว่าจะเบรคได้ดีเท่ากัน และการเบรคบนถนนแห้ง ก็ใช่ว่า เกรด AA ของยางบางยี่ห้อ จะดีกว่า A ของบางยี่ห้อ สุดท้าย คือ ยางที่แม้จะไม่มีลม (ง่ายๆ คือยางแตก) ก็ยังสามารถพาตัวเองออกจากสถานการณ์คับขันไปได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อสามัญว่า “รันฟแลท” (RUN FLAT) แต่ผู้ผลิตต่างก็ตั้งชื่อยาง หรือรหัสประเภทนี้ของตัวเองแตกต่างกันไป เราจึงขอรวบรวมมาเพื่อให้รู้ว่าเป็นยางประเภทรันฟแลทเหมือนกัน RFT รหัสของ บริดจ์สโตน, ไฟร์สโตน และปิเรลลี SSR, CSR รหัส คอนทิเนนทัล DSST รหัส ดันลอพ EMT, ROF รหัส กูดเยียร์ ZP รหัส มิเชอแลง RUN FLAT รหัส โยโกฮามา ข้อมูลทั้งหมดนี้ แม้อาจไม่ครบถ้วน แต่ก็ครอบคลุมเพียงพอกับการเลือกยางให้ตรงกับรสนิยม และการใช้งานของคนรักรถ
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2562
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/281853