รอบรู้เรื่องรถ
รถก็ต้องมี หน้ากาก กันฝุ่น
ถ้าคุณเป็นชาวเมืองหลวง หรือเมืองที่มีปัญหาฝุ่นเข้าขั้นวิกฤต อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ ถึงสถานการณ์ จะคลี่คลายไปมากแล้วขณะนี้ ผมไม่ได้แนะนำให้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ แต่มันจะกลับมาอีกแน่นอน ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาแบบหวังผลในระยะยาวเลย และที่ทำเป็นคึกคักเสมือนจริงจังนี่ เพียงเพราะว่ามีคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นเดิมพันอยู่ผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว ผมว่าคงไม่มีสุนัขที่ไหนมาห่วงใยสุขภาพของประชาชนหรอกครับ แถมถ้าได้เป็นรัฐมนตรี มันยังจะให้ลูกน้องที่ขับรถนำมัน มาคอยไล่ให้เปิดทางให้พวกมัน ทั้งๆ ที่มีรถติดอยู่เต็มพื้นที่จนไม่สามารถขยับไปทางไหนได้เลย ขอฝากพวกที่อยู่ในระดับหัวหน้า ช่วยอบรมเจ้าหน้าที่พวกนี้ให้ใช้สมองแบบมนุษย์ที่เจริญแล้วด้วย รถของพวกเราทุกคันที่ใช้กันอยู่ มี “หน้ากากกันฝุ่น” มาตั้งแต่ออกจากโรงงานเสมอครับ เพียงแค่ไม่ได้คาดไว้ที่หน้า แต่มาในรูปของไส้กรองอากาศ ซึ่งอยู่ในหม้อกรองอากาศอีกที (พวกที่มองเห็นได้ ไม่มีอะไรห่อหุ้มเลย เป็นพวกถูกดัดแปลงทีหลัง นิยมเรียกกันว่า ไส้กรองเปลือย) หน้าที่ของมันก็ตามชื่อเรียกโดยตรง คือ กรองเอาฝุ่นออกจากอากาศที่จะไหลเข้าสู่กระบอกสูบของเครื่องยนต์ เพราะฝุ่นละอองที่เข้าสู่เครื่องยนต์นั้น สร้างความเสียหายได้มากพอสมควร ในรูปของความสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน ที่โดนอย่างหนัก และส่งผลต่อสภาพ และอายุใช้งานของเครื่องยนต์ คือ แหวนลูกสูบ ตัวลูกสูบเอง และกระบอกสูบ ส่วนอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันลงมา เช่น วาล์ว บ่าวาล์ว ปลอกวาล์ว ก้านวาล์ว แม้แต่ชิ้นส่วนที่เราเห็นว่าไม่ได้สัมผัสอากาศที่ไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ ก็ยังเสียหายได้ เช่น แบริงเพลาข้อเหวี่ยง แบริงก้านสูบ และบุชสลักลูกสูบ เพราะฝุ่นส่วนหนึ่งที่เข้าสู่กระบอกสูบ ลอดปากแหวนลูกสูบลงไปสู่น้ำมันเครื่องในอ่างด้านล่าง อีกส่วนที่ติดผนังกระบอกสูบ และผิวข้างของลูกสูบซึ่งมีคราบน้ำมันฉาบอยู่ ก็ถูกน้ำมันเครื่องที่ถูกสลัดมาหล่อลื่น ชะและปนอยู่ในน้ำมันเครื่องที่หยดลงอ่างด้านล่าง ความสึกหรอของเครื่องยนต์จากฝุ่นละอองนี่แหละ เป็นสิ่งที่เจ้าของรถเกือบทุกคนไม่กลัวครับ ด้วยสาเหตุ 2 ประการ คือ ความเสียหายจากความสึกหรอเกินปกติ เป็นแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป ถึงจะพยายามสังเกตก็ยังไม่เห็นความแตกต่าง กับความรู้สึกที่ทึกทักกันเอาเองจากสามัญสำนึกว่า “เนื้อ” ของฝุ่นละอองพวกนี้น่าจะนิ่ม เพราะมันลอยได้ในอากาศ คงจะคล้ายๆ พวกเศษใยจากสิ่งทอต่างๆ หรือแบบเกสรจากพืช ที่จริงแล้วตรงกันข้ามนะครับ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับ “โหด” คือ แข็งโป๊ก ครูดโลหะในเครื่องยนต์ให้สึกกร่อนได้สบาย เพียงขอให้มันได้เข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างชิ้นส่วนที่เสียดสีกันอยู่ และที่ฝืนกับสามัญสำนึกของพวกเราอีกอย่างก็คือ โลหะทุกชนิด (รวมทั้งสารอื่นที่ไม่ใช่โลหะด้วย) ไม่ว่าจะมีความหนาแน่นเนื้อของมันในระดับไหนก็ตาม ถ้ามีขนาดเล็กเพียงพอ ล้วนลอยได้ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ตะกั่ว หรือทองคำก็ตาม ลองมาดูขนาดของมันกันก่อน และเพื่อให้ง่ายต่อการจินตนาการ ผมขอนำขนาดของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ฝุ่นละอองมาแสดงไว้ด้วย โดยมีหน่วยเป็นไมครอน หรือ 1 ใน 1,000,000 ส่วน ของ 1 เมตร ซึ่งก็คือ 1 ใน 1,000 ส่วน ของ 1 มิลลิเมตร นั่นเอง ถ้ายังสงสัยว่าพวกสารเนื้อ “หนัก” เหล่านี้มันลอยได้จริงหรือ เพราะยากที่จะจินตนาการ ผมขอให้ลองนึกถึงสิ่งที่เคยเห็นอยู่ประจำ หรือหาโอกาสไปดูใหม่ก็ได้ครับ ตามร้านขายหิน หรือโรงโม่หินที่ใช้ในการก่อสร้าง คอยดูตอนที่เขาเทหินลงมากองครับ จะเห็นทันทีว่ามีฝุ่นสารพัดขนาดฟุ้งขึ้นมา ฝุ่นที่มีค่อนข้างใหญ่จะฟุ้งขึ้นไม่สูงมากแล้วตกลงมา ส่วนที่ขนาดย่อมกว่า จะลอยขึ้นสูงได้ และส่วนที่เป็นฝุ่นเล็กจิ๋ว เห็นแล้วนึกถึงควันจากของที่ไหม้ จะลอยคลุกกับอากาศอย่างสบาย และอาจจะถูกลมพัดพาจางหายไป ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้หายไปไหน แค่มาทำหน้าที่ฝุ่นจิ๋ว 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่า และทำลายสุขภาพของพวกเราที่หายใจเอามันเข้าไปในปอดนั่นเอง ขั้นตอนการขนถ่ายหินที่ผมว่ามานี้ ไม่มีวัสดุ หรือสารอื่นมาเกี่ยวข้องนะครับ นอกจากหินก้อนเหล่านี้ และฝุ่นเนื้อหินล้วนๆ ที่เกิดจากการกระแทกกันจนเนื้อบางส่วนหลุดจากผิว กลายเป็นฝุ่น บางคนก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า แล้วมันลอยทำไม หรือทำไมต้องมีขนาดเล็กพอด้วย ถึงจะลอยได้ ต้องมารู้จักธรรมชาติของแกสกันก่อนครับ เพราะอากาศที่ “อุ้ม” ฝุ่นให้ลอยอยู่รอบตัวเรานี่ ก็คือ ส่วนผสมของแกสล้วนๆ ตามที่เราเรียนกันมา โมเลกุลของแกสอยู่ห่างกันมาก และกินเนื้อที่เป็นส่วนน้อย เนื้อที่ที่เหลือคือ ที่ว่าง หรือความว่างเปล่า โมเลกุลของแกสไม่อยู่นิ่งนะครับ ทุกโมเลกุลเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก เฉียดผ่านกันไปก็มี หรือไม่ก็ชนกันเอง แล้ว กระดอนเปลี่ยนทิศทาง ส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ผนังภาชนะที่บรรจุมัน (เช่น ถังแกส ยางล้อรถของเรา) ก็พุ่งชนผิวภาชนะที่ใช้บรรจุ แล้วกระดอนกลับ ถึงจะเป็นระยะทางที่สั้นมากๆ คือ แค่ประมาณ 4 นาโนเมตร หรือ 0.004 ไมครอน แต่ความเร็วที่มันเคลื่อนที่นี้สูงจนจินตนาการยากครับ คือ 500 เมตร/วินาที หรือ 1,800 กม./ชม. (ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพลังสร้างความดันในยางที่ล้อรถของพวกเราจากการพุ่งชนผนังด้านในของยาง) เพราะฉะนั้นฝุ่นที่ล่องลอยได้อย่างสบายในอากาศ ก็เพราะอาศัยพลังงาน และแรงกระแทกของโมเลกุลแกสต่างๆ ในอากาศนี่เอง อ่านมาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังจินตนาการว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ค่อยไหว ขอแบบที่เห็นด้วยตาจริงๆ ดีกว่า ไม่ยากครับ หาไฟฉายอย่างแรงมา 1 อัน รอจนกลางคืน หรือไม่ก็เข้าห้องปิดประตูหน้าต่างให้สนิททึบหมด ปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมด้วย เพราะเราต้องการให้อากาศนิ่งที่สุด แล้วเปิดไฟฉาย จะเห็นฝุ่นที่ไม่ได้อยู่นิ่งเลย มันถูกโมเลกุลของแกสในอากาศชนจากทุกทิศทาง นี่คือ การเฉลยปัญหาที่คนสงสัยกันมาก แต่ก็ไม่รู้จะหาคำตอบจากที่ไหน ว่าทำไมข้าวของต่างๆ ในห้องปิดตายสนิททั้งประตู และหน้าต่าง จึงมีฝุ่นใหม่มาเกาะได้อีก ทั้งๆ ที่ก่อนปิดห้องก็ดูดฝุ่น และใช้ผ้าชื้นเช็ดสิ่งของจนไม่เหลือฝุ่นให้เห็นเลย มันคือ ฝุ่นที่ยังลอยอยู่ในอากาศตอนปิดห้อง กับที่อาจเล็ดลอดเข้ามาตามช่องแคบบางแห่ง แล้วถูกโมเลกุลของแกสชนอย่างแรง พวกเม็ดฝุ่นที่อยู่ใกล้ผิวสิ่งของในห้อง ก็จะโดนแรงกระแทก แล้วพุ่งชนผิวทุกสิ่งในห้อง ส่วนหนึ่งอาจแฉลบกระดอนต่อไป แต่ส่วนที่พุ่งชนในแนวเกือบตั้งฉาก จะติดอยู่ และก็อาจจะถูกฝุ่น “เม็ดอื่น” ชนให้หลุดลอยไปใหม่ก็ได้ เป็นเช่นนี้วนเวียนไปเป็นเวลาแรมเดือน หรือปี พอเปิดห้องเข้ามาตรวจดู เราก็จะพบฝุ่นหนาเกาะอยู่ที่ทุกสิ่ง ลูกจ้างในบ้านอาจจะซวยครับ เพราะถูกหาว่าแอบเข้ามาแล้วลืมปิดห้อง วัสดุที่ใช้ทำไส้กรองอากาศมีหลายอย่างด้วยกัน คือ กระดาษ ฟองน้ำ เชือกจากฝ้าย นำมาทอเป็นแผ่นแล้วชุบน้ำมันให้ชุ่มเพื่อดักฝุ่นให้เกาะติด หรือแบบโบราณที่ใส่น้ำมันเครื่องในอ่าง แล้วให้อากาศพุ่งใส่ผิวน้ำมันเพื่อให้ฝุ่นปะทะผิวน้ำมันแล้วจมลง แบบลวดถัก (ส่วนมากเอาไว้ต้มมนุษย์ เพราะผลิตง่าย แต่กรองฝุ่นไม่อยู่) ในที่นี้ผมขอเน้นเฉพาะแบบที่เนื้อเป็นกระดาษเท่านั้น ซึ่งอยู่ในรถเกือบทุกรุ่นจากโรงงาน เพราะผลิตง่าย ต้นทุนต่ำ กรองฝุ่นได้ละเอียดพอ อายุใช้งานค่อนข้างยาว และเปลี่ยนง่ายอีกด้วย ของดั้งเดิมเป็นกระดาษแท้ๆ แบบเนื้อค่อนข้างพรุน เพื่อให้อากาศไหลผ่านได้เพียงพอ แต่ยุคนี้อาจผสมใยสังเคราะห์ และสารช่วยให้ยึดเกาะเข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความพรุนของเนื้อกระดาษถูกเลือกให้สามารถกักฝุ่นขนาด 5-6 ไมครอนได้เกือบทั้งหมด ที่ผมต้องเพิ่มคำว่า “เกือบ” เข้าไปด้วย เพราะในขั้นตอนการผลิตแผ่นกรองประเภทนี้ อาจมีเนื้อของแผ่นกรองบางตำแหน่ง ที่มีช่องใหญ่เกิน 10 (แค่ยกตัวอย่างนะครับ) ไมครอนปะปนอยู่ด้วย ซึ่งหมายความว่าฝุ่นขนาดใหญ่ไม่เกินกว่า 10 ไมครอน ส่วนหนึ่งสามารถผ่านไปได้บางโอกาส ที่บังเอิญพุ่งมาตรงช่องที่ว่านี้พอดี และในทางตรงกันข้าม บางตำแหน่งของกระดาษกรองก็อาจมีเนื้อแน่นระดับที่ฝุ่นขนาดเพียง 2-3 ไมครอน ก็ยังไม่สามารถลอดผ่านไปได้
- ระยะทางที่ใช้งาน ต่อการเปลี่ยนไส้กรองอากาศแต่ละครั้ง มีตั้งแต่ทุก 20,000 กม. ไปจนถึง ทุก 100,000 กม. ขึ้นอยู่กับการใช้งาน สิ่งแวดล้อม และการออกแบบของผู้ผลิต
- ข้อสำคัญ คือ ใช้แต่อะไหล่แท้เท่านั้นครับ อย่าไปให้ความสำคัญกับราคาที่ถูกกว่า ยิ่งถูกผิดปกติ ยิ่งต้องกลัวไว้ก่อน มีเงินซื้อรถได้ทั้งคัน อย่าไปเสียดายแค่ราคาไส้กรองอากาศ ที่ใช้กันได้นานจนคุ้ม
ผงแป้งผัดหน้า | 0.1-30 |
เหล็ก | 4-20 |
ตะกั่ว | 0.1-0.7 |
เชื้อรา | 3-12 |
ควันจากน้ำามันเครื่องไหม้ | 0.3-1 |
เม็ดเลือดแดง | 5-10 |
ควันจากสารธรรมชาติที่ไหม้ เช่น ไม้ | 0.01-0.1 |
ควันจากสารสังเคราะห์ที่ไหม้ | 1-50 |
ใยแมงมุม | 2-3 |
ฝุ่นจากสิ่งทอ | 6-20 |
ควันบุหรี่ | 0.01-4 |
เชื้อไวรัส | 0.005-0.3 |
เกสรดอกไม้ | 10-1,000 |
แป้งป่นสำาหรับทำาอาหาร | 1-100 |
ฝุ่นดิน | 0.5-4 |
ฝุ่นปูนซีเมนท์ | 3-100 |
โมเลกุลของออกซิเจน | 0.0005 |
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2562
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/269597