รู้ลึกเรื่องรถ
“ฟอร์มูลา อี” เจเนอเรชัน 2
“รถไฟฟ้า น่าเบื่อ” ผู้เขียนเชื่อว่าคงมีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากประสบการณ์ ที่ได้สัมผัสรถไฟฟ้า ซึ่งยังไม่ใช่ตัวแทนของอนาคตที่แท้จริง พูดง่ายๆ ก็คือ ได้พบแต่นวัตกรรมครึ่งๆ กลางๆ นั่นเองสำหรับผู้เขียน การค่อยๆ คืบคลานเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า นั้นเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง แม้เราจะยังคุ้นเคยกับการขับขี่ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมถึงเข้าใจความแตกต่างของดีเซลกับเบนซิน ออคเทนสูงกับออคเทนต่ำ ตลอดไปจนถึงการทำงานของระบบวาล์วแปรผัน มากกว่าการจะให้นิยามถึงหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง (KWH) หรือความแตกต่าง และจุดดี จุดด้อยของลิเธียม-ไอออนกับโซลิดสเตท แบทเตอรี ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และชวนสับสน แต่ในโลกที่ขณะนี้หมุนเร็วขึ้นทุกวัน มันคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลหากเราจะไม่จับตามอง และทำตัวเองให้ทันสมัย ความสัมพันธ์ของสาธารณชนกับรถไฟฟ้า เรียกได้ว่า ยังคงค่อนข้างเป็นไปแบบเนิบๆ ไม่รวดเร็วเร้าใจ เหมือนที่คาดคิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ การแข่งรถยนต์พลังไฟฟ้า ในชื่อของ “ฟอร์มูลา อี” (FORMULA E) หรือชื่อเต็ม “เอบีบี เอฟไอเอ ฟอร์มูลา อี แชมเพียนชิพ” (ABB FIA FORMULA E CHAMPIONSHIP) ที่มาถึงวันนี้ก็เข้าควบปีที่ 5 แล้วของการแข่งขัน ถือเป็นมิติใหม่ของโลกรถยนต์ ที่หลายคนตั้งเป้าให้เป็น 1 ในตัวเร่งการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า แต่น่าเสียดายว่าคนส่วนใหญ่ของโลกยังไม่คุ้นเคยกับรายการนี้ อาจจะด้วยเม็ดเงินที่ใช้ในการผลักดัน และสื่อสารออกไป ไม่มากเท่ากับการแข่งขันที่มีอายุยาวนานอย่าง ฟอร์มูลา วัน และส่วนหนึ่งก็เพราะมัน “น่าเบื่อ” นั่นเอง ประเด็นความน่าเบื่อนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก “รูปทรง” ที่นอกจากในตอนแรกจะถูกควบคุมให้ใช้รถที่เหมือนกันหมดในลักษณะ “วันเมคเรศ” ภายใต้รูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับรถแข่งสูตรหนึ่ง ที่แม้จะมีสมรรถนะสูง โดยได้รับการออกแบบแชสซีส์โดย “ดัลลารา” (DALLARA) ผู้ชำนาญการเรื่องแชสซีส์ของรถสูตรหนึ่ง แต่มัน “ด้อยสมรรถภาพ” กว่าในทุกด้าน โดยเฉพาะในยุคของรถแข่งในเจเนอเรชันที่ 1 ที่มีกำลังเพียง 180 กิโลวัตต์ (ราว 243 แรงม้า) ซึ่งนอกจากจะแรงน้อยแล้ว เสียงคำรามกึกก้อง แบบที่เหล่าสาวกหลงใหลก็ไม่มีให้สัมผัส แถมยังดูอนาถาเพราะความจุแบทเตอรีไม่พอเพียงให้วิ่งครบช่วงเวลาแข่ง 45 นาที เสียด้วยซ้ำ และแทนที่จะเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเหมือนรถแข่งสูตรหนึ่ง แต่ในการแข่ง ขัน ฟอร์มูลา อี นักแข่งจำเป็นต้อง “เปลี่ยนรถ” แทน ดังนั้น เพื่อให้การแข่งขัน ฟอร์มูลา อี อยู่รอดต่อไปได้ ผู้จัดการแข่งขันจึงต้องสร้างความแตกต่างให้มากที่สุด โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา (2018) ซึ่งการแข่งขันฤดูกาลที่ 5 ได้เริ่มขึ้น โดยใช้รถแข่ง ฟอร์มูลา อี “เจเนอเรชันที่ 2” ที่ได้รับการแก้ไข ปรับปรุง จนเชื่อว่าจะสามารถดึงความสนใจจากสาธารณชนให้หันมามอง รถแข่งพลังงานไฟฟ้าได้อีกครั้ง ด้วยงานออกแบบใหม่หมด ผลิตโดยบริษัท “สปาร์ค” (SPARK) แต่ละคันมีราคาโดยรวมราว 817,300 ยูโร หรือประมาณ 32 ล้านบาท (แพงกว่ารถแข่งที่ใช้ในฤดูกาลที่ 4 ประมาณ 13 ล้านบาท)




ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2562
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ