รอบรู้เรื่องรถ
บิกไบค์ ปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ
ถึงไม่อยากเชื่อ หรืออยากให้เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นไปแล้วครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่เป็นคนช่างสังเกตพอสมควร จะต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผมทุกคน เมื่ออ่านข่าวประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน สื่ออีเลคทรอนิค หรือประเภทอื่นก็ตาม นั่นคือ มันมีแต่เรื่องเลวร้ายให้เราต้องรับรู้ อย่าเพิ่งแย้งในใจนะครับว่า ขึ้นชื่อว่าข่าว มันต้องเป็นเรื่องร้ายนั่นแหละ เรื่องปกติธรรมดาพื้นๆ มันจะต้องเป็นข่าวไปทำไมเหตุผลนี้ผมทราบดีอยู่แล้ว และยอมรับว่าเป็นปกติ แต่ก็ควรจะเป็นเรื่องร้าย “ตามปกติ” ที่หากจะกล่าวง่ายๆ ก็คือ ข่าวทั้งหลายในประเทศที่พัฒนาแล้ว มันก็เป็นเช่นนี้ เช่น ข่าวปล้น จี้ ลักขโมยทรัพย์สินอุบัติเหตุบนถนน การออกกฎหมายใหม่ ที่จะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย ความเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง การบริหารประเทศ และที่สำคัญ คือ มีข่าวดี หรือประโยชน์ปะปนอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งต่างจากข่าวในสื่อของประเทศเรา ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องร้ายแล้ว มันยังเป็นข่าวที่วิญญูชนรับรู้แล้ว เกิดความรู้สึกอึกอัด คับแค้นใจ หรือถึงขั้นการแค้น เพราะไม่สามารถช่วยเหลือ หรือแก้ไขอะไรได้ เช่น เจ้าของหมาดุร้าย ปล่อยปละละเลยให้หมาไปกัดเด็กจนตาย คำว่า หมา ไม่ใช่คำหยาบคายนะครับ เป็นคำที่บรรพชนชาวไทย ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว เช่นเดียวกับคำว่า วัว ควาย หมู ฯลฯ ไม่มีความหยาบคายใดๆ ทั้งสิ้นครับ ไม่ต้องมาดัดจริตบัญญัติศัพท์ทดแทนขึ้นมาใหม่ ให้มันยากต่อการใช้ ถ้าคำดั้งเดิมเหล่านี้เป็นคำหยายคาย จนต้องเปลี่ยนเป็น สุกร โค กระบือ คำว่า นก ก็ควรเป็นคำหยาบคายตามไปด้วย และสมควรให้เปลี่ยนเป็นปักษีแทน แล้วคงต้องบัญญัติคำที่ “สุภาพ” ขึ้นมาแทน แมว หนู แมลงสาบ เป็ด ไก่ ฯลฯ ให้ครบถ้วนไป ขอกลับมาเข้าเรื่องตามเดิมครับ ข่าวร้ายประเภท เด็กที่ไม่มีใบขับขี่เพราะอายุยังห่างเกณฑ์ที่สามารถทำได้ แต่มีรถประจำตัวที่พ่อแม่ซื้อให้ และชนคันอื่นด้วยความประมาทเพราะขาดวุฒิภาวะ จนมีคนตายเกือบสิบราย รถบรรทุกขนาดใหญ่ ชนท้ายรถเก๋ง เพราะคนขับมันเมายาบ้า จนทั้งผู้ขับและผู้โดยสารรถเก๋งเสียชีวิตหมด หรือข่าวการจับกุมแหล่งผลิตยารักษาโรคปลอม อาหารสำเร็จรูปปลอม ที่อยู่กลางเมืองที่ทำมาเป็นสิบปี เคยถูกจับกุมมาแล้วหลายครั้ง และไม่ใช่แค่เป็นสิ่งที่ไม่มีความสะอาดเพียงพอนะครับ แต่เป็นสารที่ประชาชนกินเข้าไปแล้วป่วย หรือไม่ก็อาจถึงตาย ยังมีอีกมากมายครับ ที่ผมบอกว่ามันไม่เหมือนข่าวร้ายตามปกติในสื่อต่างๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้วก็คือ สิ่งเลวร้ายเหล่านี้มีอยู่ในเมืองไทยได้เพียงเพราะความหย่อนยาน หรือความขี้ฉ้อคดโกง เห็นแก่สินบนของผู้รักษากฎหมายเท่านั้นเอง เพราะเหตุนี้วันใดที่ผมพบข่าวดีในสื่อ ผมก็จะรู้สึกดีใจเสมอว่ามีโชคดี หรือได้รับของขวัญเล็กน้อยสักอย่าง สำหรับครั้งนี้มันคือข่าวสำหรับการเพิ่มมาตรการห้ามรถ “บิกไบค์” ที่ดัดแปลงหม้อพักไอเสียเข้าสู่อุทยานฯ เขาใหญ่ ตามหัวข้อข่าวในวงเล็บนี้ (เขาใหญ่แบน “รถท่อสูตรทุกชนิด” ห้ามเข้าอุทยานฯ หลังบิกไบค์หัวหมอใช้ฝอยขัดหม้ออุดลดเสียง) ท่อสูตรในที่นี้ ถ้าเรียกให้เป็นทางการขึ้นไปอีก ก็คือท่อไอเสียทั้งชุด หรือหม้อพักไอเสีย ชนิดที่ถูกผลิตมาเพื่อให้แลกแทนที่กับท่อไอเสียเดิมทั้งชุด หรือเฉพาะหม้อพัก (AFTER MARKET PARTS) ถ้ามองอย่างผิวเผิน เราอาจจะรู้สึกว่า เป็นกฎระเบียบที่ไม่ให้ได้ความยุติธรรม หรือความถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างทั่วถึงเท่าใดนัก แต่เมื่อคำนึงถึงเงื่อนไขอื่นๆ อย่างละเอียดแล้ว ผมเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ดีแล้ว เพราะประเทศเราไม่มีกฎระเบียบและไม่ผ่านเกี่ยวกับส่วนประกอบของยานยนต์ที่ดี และรัดกุมเพียงพอ เครื่องมือวัด เครื่องมือตรวจสอบก็ขาดแคลน จึงเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ ก็คงเข้าใจในข้อจำกัดเหล่านี้เป็นอย่างดี ก่อนจะประกาศกฎระเบียบนี้ออกมา ซึ่งหากผมเข้าใจไม่ผิดก็คือ 1. หากมีหลักฐานทางกายภาพ ซึ่งก็คือการมองด้วยตาเปล่า ผสานกับประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ (ซึ่งก็ครอบคลุมถึง “บิกไบค์” ด้วย) ว่าเป็นรถที่ใช้ระบบท่อไอเสียเดิมจากโรงงานผู้ผลิต และผ่านการวัดระดับความดังของเสียงที่ออกมาจากปลายท่อไอเสียว่ามีค่าไม่สูงกว่าค่าที่ออกกฎระเบียบกำหนดไว้ จึงจะอนุญาตให้เข้าเขตอุทยานฯ ได้ 2. หากมีหลักฐานทางกายภาพ ว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบไอเสีย โดยเฉพาะหม้อพักไอเสีย ที่ไม่ใช่ของดั้งเดิม ซึ่งติดตั้งมาโดยโรงงานผลิตรถนี้ ไม่ต้องตรวจวัดระดับความดังที่ปลายท่อให้เสียเวลา อันเนื่องมาจากที่เจ้าหน้าที่ถูกเจ้าของรถเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเอา “ฝอยขัดหม้อ” หรือวัสดุใดก็ตามมาติดตั้งไว้ชั่วคราวเพื่อลดระดับเสียงขณะตรวจวัด และเมื่อผ่านเกณฑ์การวัดจนเมื่อได้รับอนุญาตเข้าไปขับขี่ในอุทยานฯ ก็จะนำชิ้นส่วนนี้ออก เพื่อให้เครื่องยนต์แผดเสียงสนองตัณหาของตน โดยไม่เคยรู้สึกเห็นใจสัตว์ป่าที่ย่อมจะตื่นตกใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับเสียงปรุงแต่งจากเครื่องยนต์ ที่นอกจากไม่คล้ายคลึงกับเสียงใดทั้งสิ้นในธรรมชาติแล้ว ยังมีระดับความดังที่สูงมากจนทำร้าย หรือทำลายอวัยวะส่วนที่ใช้รับเสียงอีกด้วย สรุปแล้วก็คือ ถ้าเป็นท่อไอเสียที่ถูกดัดแปลง ห้ามเข้าเขตอุทยานฯ ทุกกรณี ไม่ว่าจะมีระดับความดังของเสียงที่ปล่อยออกมาจากปลายท่อ ต่ำกว่ากฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพียงใดก็ตาม ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ 3. แต่พวก “หัวหมอ” คงจะไม่เลิกหาวิธีตบตาครับ ผมขอแนะนำให้ตรวจสอบหม้อพักที่ภายนอกอาจดูเหมือน “ของแท้” แต่ถอดหรือดัดแปลงไส้ในให้เสียงดังกว่าเดิม ผมขอแนะนำให้ใช้ไฟฉายส่องดูภายในด้วย ถ้าพบอะไรก็ตามถูกอุดไว้เพื่อลดระดับเสียง ในลักษณะชั่วคราว และสามารถถอดออกได้โดยง่าย ให้ถือกฎเกณฑ์เดียวกับ “ท่อสูตร” ครับ ไม่ต้องวัดระดับเสียงให้เสียเวลา กฎหมายทั้งหลายเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับด้านใด มีช่องโหว่เสมอ มีทั้งช่องโหว่ในมุมมองของประชาชน และช่องโหว่ในมุมมองของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ผมขอชมเชยอย่างจริงใจและขอมอบกำลังใจให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เขาใหญ่ หรือที่อื่นใดก็ตาม ขอให้ทุกท่านปกป้องสัตว์ป่าเหล่านี้ให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุข ไม่ถูกมนุษย์เห็นแก่ตัวเหล่านี้ เอาเปรียบหรือรังแก หากพวกท่านจำเป็นต้องใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือมีอคติต่อผู้ใด แม้จะเข้าข่ายเลือกปฏิบัติอยู่บ้าง เพื่อปกป้องสัตว์ป่าล้ำค่าเหล่านี้ อย่าหวั่นไหวครับ โปรดทำเลย ประชาชนที่มีใจเป็นธรรมทั้งประเทศจะอยู่ข้างพวกท่านเสมอ มีประเด็นที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง แต่มักถูกคนส่วนใหญ่มองข้ามไป ซึ่งก็คือ อุทยานแห่งชาติทั้งหลาย ไม่ใช่ที่ขี่จักรยานยนต์ หรือแม้แต่ “บิกไบค์” เพื่อความสนุกสนาน โดยมีสัตว์ป่าทั้งหลายเป็นผู้รับเคราะห์ครับ มีที่ทางอื่นๆ อีกทั่วประเทศครับที่ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติ หรือชอบเขาสูง เหว โค้ง ที่ท้าทายระดับไหน หาได้ในประเทศไทยอยู่แล้วครับ ทางภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก มีเส้นทางให้เลือกมากมาย จากความเห็นส่วนตัวของผม ในกรณีของการขี่จักรยานยนต์เข้าสู่อุทยานฯ เขาใหญ่ ผมว่าควบคุมด้านระเบียบเสียงอย่างเดียวยังพอครับ ถ้าความดังของเสียงเพิ่มขึ้นไป พร้อมกับจำนวนของต้นกำเนิดเสียงด้วย เช่น ถ้าปล่อยให้เข้าไปขี่กันเป็นฝูงใหญ่ โดยที่แต่ละคันมีระดับความดังของท่อไอเสีย ไม่เกินค่าที่กำหนด ความดังก็จะสูงขึ้นในระดับที่ทำให้สัตว์ป่าถูกรบกวนได้ ผมขอแนะนำให้จำกัดรถจักรยานยนต์ที่จะผ่าน “ประตู” เข้าสู่อุทยานฯ ต่อหน่วยเวลาด้วย เช่น ให้เข้าได้ 15 คัน/1 ชั่วโมง (ยังไม่ใช่ค่าที่เหมาะสมนะครับเป็นเพียงตัวอย่างตัวเลขที่เหมาะสมจริง เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ย่อมเลือกได้เหมาะสมกว่า) ไม่ต้องไปสนใจคำต่อว่า หรือข้ออ้างครับ เช่น “ป่านนี้พวกที่เข้าไปก่อนพวกเราคงออกมาแล้ว” ให้ถือว่าส่วนใหญ่ยังไม่กลับออกมา ถ้าอยากมาท่องเที่ยวในอุทยานฯ แห่งนี้ และมีความเห็นใจสัตว์ป่าแล้วล่ะก็ นัดกันมาด้วยยานพาหนะประเภทอื่นได้เสมอ ความเห็นที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ มิได้เป็นของผู้ที่ต่อต้านการขี่ “บิกไบค์” นะครับ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบรถประเภทนี้อย่างมาก อย่างน้อยต้องมีอยู่ 1 คันเสมอ บางจังหวะอาจมากกว่านี้ และขณะนี้ก็มีใช้อยู่ 1 คันครับ เพราะบางโอกาส บางสถานการณ์ ที่สิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยด้วย ความรู้สึกที่ได้จากการขี่ “บิกไบค์” นั้น ไม่สามารถหาได้จากรถประเภทใดทั้งสิ้นครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2562
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/257986