การมีรถขับกับเขาสักคัน ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือกรรมกันแน่ เพราะนอกจากจะต้องหาเงินผ่อน ซ่อมบำรุง และเติมน้ำมันแล้ว ยังต้องคอยระแวดระวังบรรดานักโจรกรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ขโมยรถไปทั้งคัน ก็จะเล็งเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าที่เจ้าของทิ้งไว้ล่อหูล่อตาแทนล่าสุด พวกโจรอินเตอร์อัพเลเวลขึ้นไปอีก โดยเปลี่ยนเป้าหมายจากโนทบุค แทบเลท มือถือ หรือกระเป๋าสตางค์ เป็นถุงลมนิรภัย ! จากสถิติตลอดปีที่ผ่านมา มีคดีโจรกรรมถุงลมนิรภัย (ถอดจากรถยนต์) เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาถึง 50,000 ราย คำถามคือ ขโมยไปทำไม ? ข่าวแจ้งว่า ถุงลมมือสองเหล่านี้จะถูกขายให้แก่บรรดาเจ้าของอู่ซ่อม รวมถึงขายตรงผ่านตลาดออนไลน์ ในราคาใบละ 20,000-30,000 บาท ลูกค้าของอู่ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกันภัยที่ส่งรถประสบอุบัติเหตุจนถุงลมระเบิดไปซ่อม ซึ่งก็แน่นอนว่า บริษัทเหล่านี้คงจะไม่แจ้งลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาว่า ถุงลมที่เปลี่ยนให้เป็น "ของโจร" แท้ๆ ส่วนลูกค้าที่ชอพผ่านระบบออนไลน์ อาจจะรู้ หรือไม่รู้ที่มาของสินค้า แต่ต้องนับถือในความใจถึงกล้าซื้อของราคาแพง ที่ไม่สามารถทดลองใช้ได้ และน่าจะไม่มีการรับประกันใดๆ จากผู้ขายทั้งสิ้น ปริศนาที่ยังเหลืออยู่ในคดีโจรกรรมถุงลมนิรภัย คือ เหตุใดเป้าหมายหลักของเหล่านักถอดถุงลมเวลานี้ จึงเป็นรถ ฮอนดา รุ่นแอคคอร์ด และซีวิค ? พอหวยออกที่ ฮอนดา ก็มีคนพยายามโยงทันทีว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับกรณีถุงลมมรณะทาคาตะ ซึ่งทำให้ ฮอนดา ต้องเรียกคืนรถที่ติดตั้งถุงลมยี่ห้อนี้หลายล้านคัน แต่ก็ยังหาจุดเชื่อมโยง 2 กรณีเข้ากันไม่ได้ เพราะรถทั้ง 2 รุ่นที่ถุงลมหายบ่อยๆ ก็ไม่ใช่รุ่นเดียวกับที่ใช้ถุงลมทาคาตะ หรือถึงใช่ ฮอนดา ก็เรียกคืนรถที่ใช้ทาคาตะไปเปลี่ยนถุงลมให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว จะควักกระเป๋าตัวเองซื้อของโจรทำไม โชคดีที่ทเรนด์ใหม่ของการโจรกรรมรถยนต์นี้ยังไม่แพร่หลายมาถึงเมืองไทย แต่ก็ควรระวังกันไว้ แม้หลายคนที่ได้ข่าวจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถุงลม" หายไม่เป็นไร... "ถุงยาง" หายสิ อันตรายกว่าเยอะ !