ประสาใจ
พิมเสนกับเกลือ
วงวรรณกรรมของฝรั่งเศส ถือว่านิทานข้างหมอนจากปลายปากกาของ ชอง เดอ ลา โฟนเต เทียบชั้นวรรณคดีแห่งชาติ เรื่องเล่าของเขาได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มๆ ระหว่างปี 1668-1694 แต่ละเรื่องมีอารมณ์ขัน เป็นความคิดแบบเหนือชั้น และเหน็บแนมสังคมหนังสือของ ลา โฟนเต แต่เดิมเป็นหนังสือเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ ครั้นกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นหนังสือนอกเวลาเรียนของเด็กเล็ก เรื่องเล่าต่อไปนี้ เป็น 1 ใน 100 เรื่องของ เดอ ลา โฟนเต... กิรดังได้ยินมา ตทากาเล...กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (ประมาณ 350 ปี) ดุค เดอ เรอนาร์ด มีภรรยาเป็นสาวมีสกุล และงดงามเหลือเชื่อ ระยะแรกแห่งชีวิตสมรส เรอนาร์ด ก็หลงรักหัวปักหัวปำ ไม่มองสตรีอื่นเสมอคู่สมรส แต่นานเข้าท่านดุค ก็เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป เบื่อน้ำพริกถ้วยเก่า ตระเวนหาน้ำพริกถ้วยใหม่ที่คิดว่าจะได้พบพาน ในบรรดาเหล่าทหารรับใช้ของเขา นับว่ามีคนเดียว คือ ชอง ในวัยเดียวกัน รูปร่างกำยำล่ำสัน รับใช้ท่านดุค มาแต่เล็ก เมื่อท่านดุค สมรสแล้ว และอีกไม่นาน ชอง ก็มีเมียซึ่งเป็นผู้หญิงในเมือง สายตาของท่านดุค ที่มองหาน้ำพริกถ้วยใหม่ มาหยุดลงตรงที่เมียสาวของ ชอง ชอง มองท่านดุค ใสเหมือนกระจกเงา เรียกว่าอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะอยู่กันมาตั้งแต่เด็ก แต่สถานภาพเท่านั้นบังคับให้ ชอง เสียอารมณ์-เสียแรงรักใคร่เจ้านาย เพราะความรักเมีย บ่ายวันหนึ่ง ท่านดุค มอบช่อดอกไม้ให้แก่เมียของ ชอง แล้วถือโอกาสจับมือนางนานเกินปกติ แต่นางมิได้แสดงออกซึ่งความไม่สบอารมณ์ กลับประสานดวงตาโตคู่นั้นของท่านดุค แบบไม่สะทกสะท้าน ดังนี้ ท่านดุค ก็ได้อารมณ์ ออกปากขอเสียบดอกไม้ลงไปที่หว่างอกของนาง โดยนางก็มิได้ประท้วงแต่ประการใด ภาพนี้สะเทือนอารมณ์ ชอง มาก นับแต่เพลานั้น ชอง ก็คิดว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องหยุดการกระทำของท่านดุค มิให้การเสียบเลยเถิดไปไกลกว่าหว่างอกอิ่มของเมีย ดังนั้น วันต่อมา ชอง จึงขอติดตามท่านดุค ระหว่างขี่ม้าเข้าป่าเพื่อกีฬาล่าสัตว์ ระหว่างนั้นเอง ชอง ได้โอกาสเจรจากับท่านดุค “ใต้เท้าขอรับ” ชอง ฉวยโอกาสขณะอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง “เราทั้งสองต่างก็มีหญิงของตัวเองเป็นสมบัติ ท่านก็มีออเจ้าซึ่งโสภากว่าของกระผมร้อยเท่าพันทวี กระผมขอร้องท่านมิบังควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ” พูดแล้วก็มองหน้าท่านดุค ครั้นเห็นท่านไม่เสียอารมณ์ ชอง ก็พูดต่อ “ชายใดก็ตาม หากได้สตรีเช่นออเจ้าของท่าน ย่อมทะนุถนอมรักใคร่เป็นอย่างดีเหมือนนางเป็นราชินีพระองค์หนึ่ง การลดตัวเองต่ำลงไปเกลือกกลั้วภรรยาคนรับใช้ ย่อมเสียศักดิ์ศรีหาควรไม่” ท่านดุค ฟังแต่ไม่ตอบ จนการล่าสัตว์เสร็จสิ้น ขบวนกลับสำนักมีแต่ความเงียบเชียบ ชอง เริ่มกังวลว่า ตนเอาไม้ไปแหย่เสือเข้าแล้วกระมัง เย็นวันนั้นเอง ชอง ได้รับของขวัญจากท่านดุค เป็นอาหารจานพิเศษ ตับห่านรสแซ่บ สำหรับชนชั้นผู้ดีมีสกุล ทหารรับใช้ที่นำของมาบอก ชอง ว่า ท่านดุค สั่งให้กินอาหารจานนี้เป็นประจำทุกมื้อ จนกว่าท่านจะสั่งหยุด และเงื่อนไขสำคัญ คือ ชอง ต้องเปล่งสัจจะวาจาก่อนลงมือกิน ชอง ลิงโลด เพราะเป็นอาหารจานโปรด และความกังวลที่ตนมีก็หายไปราวกับถูกปลิดทิ้ง กล่าวคำสัตย์แล้วก็สวาปามด้วยความอยาก เมียมอง ชอง ด้วยความแปลกใจ เขาบอกนางว่า นี่เป็นของขวัญจากท่านดุค แถมยังกำชับด้วยว่า ให้กินเมนูนี้ทุกวัน ชอง กินได้ 3 วัน ตกวันที่ 4 ความอร่อยเลิศรสชักหดหาย ถึงวันที่ 5 ได้กลิ่นก็จะอ้วกท่าเดียว ไม่ช้า ชอง ก็กินอาหารจานโปรดของเขาไม่ลง มองตับห่านในจานกลับเห็นเป็นขนมปังโฮลวีท ไม่ใช่โฮลวีททั่วไป แม้ค้างคืนแล้ว แต่ก็ยังน่ากินกว่าตับห่าน ดังนี้ การรับประทานของ ชอง จึงกลายเป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนา ชอง มองเพื่อนทหารด้วยกัน ส่งสายตาวิงวอนขอกินอย่างอื่น แต่ไม่มีทหารคนใดกล้ายื่นให้ เพราะทุกคนรู้คำสัตย์ที่ ชอง เปล่งวาจาไว้ ความอดกลั้นของมนุษย์มีขอบเขตจำกัด ไม่ช้า ชอง ก็ต้องเปิดอกกับทหารผู้นำอาหารมาส่งเขาถึงบ้านทุกวันว่า กินตับห่านไม่ลงแล้ว ขอขนมปังค้างคืนมาให้กินหน่อยได้ไหม ขนมปังจะมีสีดำคล้ำยังไงก็จะกิน ทหารปฏิเสธคำขอของเขา แล้วถามว่า “ไยเจ้าจะเลือกกินอาหารอื่น ในเมื่อมีอาหารวิเศษในจานนี้อยู่แล้ว มันเทียบกันได้หรือ ขนมปังค้างคืนกับตับห่าน ?” “ข้ากินตับห่านจนเบื่อแล้ว แม้กลิ่นของมันก็ชวนสะอิดสะเอียน” เสียง ชอง สะอื้นจนน่าแปลกใจ “ข้ากินส้มตำก็ได้ อะไรก็ได้ ที่มันไม่ใช่อาหารวิเศษ เช่น ตับห่านในจานนี้ มาแลกอาหารกันเถอะเพื่อน เพื่อนกินตับห่านของข้า และขอให้ข้ากินอาหารของเจ้า” ทหารไม่เข้าใจ ชอง ก็พร่ำพรรณนาต่อ “นี่ถ้าข้าตายไปได้ขึ้นสวรรค์ และถ้าบนสวรรค์มีตับห่าน ข้าก็จะบอกเทวดาว่า ข้ากินไม่ลง เทวดาจะเอาข้าไปนรกชั้นไหนก็ยอม” บทสนทนาดังกล่าวทั้งหมดนี้ ท่านดุค ได้ยินสิ้น เพราะขี่ม้าตามทหารมาด้วยในวันนั้น เมื่อได้ยินสารพัดความแล้วท่านดุค ก็ขยับม้ามาหา สั่งทหารกลับไป แล้วเจรจากับ ชอง ตามลำพังว่า “ไงเพื่อน ? ทำไมอาหารจานวิเศษของนาย จึงกลายเป็นของต่ำช้า ผู้คนทั่วไปต่างต้องการลิ้มรสตับห่าน ไม่มีใครดอกที่จะปฏิเสธอาหารทิพย์ แล้วเป็นฉันใด เจ้าจึงขอร้องเพื่อนให้เอาขนมปังค้างคืนมาแลกตับห่าน” ชอง มองท่านดุค เริ่มเข้าใจภาษาของบทสนทนา “เจ้ายินดีลดระดับอาหารทิพย์ เพื่อแลกขนมปังค้างคืน ลดตัวเองต่ำลงดังนี้ ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีดอกหรือ ?” ชอง ฟังท่านดุค เจรจา เหมือนได้ยินข้อความที่เขาพูดกับท่านดุค สองต่อสองในวันนั้น ท่านดุค พยายามสงบอารมณ์ เพื่ออธิบายความต่อ “เจ้าเปลี่ยนใจเร็วเกินกว่าที่คาด ดังนี้แล้ว การที่ข้าขอเอาพิมเสนแลกกับเกลือ มันเป็นเรื่องผิดปกติตรงไหน ?” ชอง ตาละห้อย มองเห็นแต่ขนมปังสีดำ “เจ้าตำหนิข้า เพราะข้าเปลี่ยนใจไม่กินน้ำพริกถ้วยเก่า และข้าก็มาได้เห็นกับตาว่าเจ้าขอเปลี่ยนใจไม่กินน้ำพริกถ้วยเก่า ขอกินถ้วยใหม่ ถึงมันจะค้างคืนก็จะกิน” ชอง ไม่รู้จะพูดคำใดกับเจ้านาย “เพื่อนรัก” ท่านดุค พูดต่อ “ข้าเห็นใจเจ้านะ เพราะฉะนั้น ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้ากินขนมปังค้างคืนได้” สายตา ชอง ลิงโลด ท่านดุค กระแอมแล้วพูดต่ออีกว่า “แต่เจ้าต้องอนุญาตให้ข้ากินขนมปังค้างคืนด้วย เหมือนกันนะ โอเคไหม ?” ไม่ต้องบอก ท่านผู้อ่านก็ต้องรู้ว่า ชอง พยักหน้ารับ เรื่องนี้ ลองมาคิดกันเล่นๆ น่ะ บทเรียนของ ชอง เป็นความยุติธรรมเพียงพอหรือไม่ ? ถ้าว่าง ก็คิดดู และเชื่อว่าคงคิดไม่นาน เพราะท่านผู้อ่านโดยเฉพาะผู้ชายก็ต้องคิดเหมือน ชอง คิด ชอง คิดแล้วมีรอยยิ้ม เพราะรับได้ซึ่งความยุติธรรมของผู้ชาย 2 คน... ในเมื่อเจ้านายลดตัวลงมาหาความสุขใหม่ข้างล่าง ก็แล้วทำไมเล่า ทหารรับใช้จะไม่ใช้โอกาสเหลือบมองของสูงกว่า เพื่อความสุขใหม่เช่นเจ้านาย...!?!
เรื่องโดย : ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2562
คอลัมน์ Online : ประสาใจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/256864