เรายังอยู่กันที่ จ. สตูล ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสวยงามทางธรรมชาติ “ชีวิตอิสระ” ฉบับนี้ จะพาไปสัมผัสความอลังการของถ้ำภูผาเพชรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย น้ำตกหินปูนวังสายทองที่หาดูยาก รวมถึงออกตามหาชนเผ่ามานิ หรือ เงาะป่าซาไก เพื่อชมวิถีชีวิตของพวกเขา นอกจากนี้จะพาไปรู้จักหมาน้ำที่ทะเลบัน และตะลุยแหล่ง ชอพพิงตลาดชายแดน
มาสตูลทั้งที สถานที่ต้องไปให้ได้ คือ “ถ้ำภูผาเพชร” ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เราเดินทางพร้อมรถคู่ใจ เอมจี เซดเอส เข้ามาใน อ. ละงู ตามทางหลวงหมายเลข 5008 ที่มีโค้งแคบและเนินเตี้ยๆ ตลอดเส้นทาง เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 114 แรงม้า แม้กำลังจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน ที่ประทับใจสุดๆ คือ ช่วงล่างที่นุ่มสบาย ขนาดเข้าโค้งแคบด้วยความเร็วสูง ยังรู้สึกมั่นใจ
เมื่อมาถึงจุดหมาย เราต้องจอดรถไว้ แล้วออกแรงเดินเท้าไต่บันไดอีกกว่า 300 ขั้น เพื่อขึ้นไปยังปากถ้ำ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่นำทางเราเข้าไป
ถ้ำแห่งนี้เดิมทีไม่มีใครรูจัก เพราะอยู่ในป่ารกทึบห่างไกลผู้คน แต่เมื่อหลวงตาแผลง ซึ่งเป็นพระธุดงค์ได้ผ่านมาและนิมิตเห็น จึงได้รู้ว่าภายในมีถ้ำขนาดใหญ่ ภาครัฐจึงเริ่มออกสำรวจ จนพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก สันนิษฐานว่าถ้ำแห่งนี้ เคยเป็นที่อยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 3,000 ปี โดยค้นพบกระดูกมนุษย์ยุคโบราณส่วนกระโหลกศีรษะ และเศษภาชนะดินเผาเคลือบลายเชือกทาบ
หลังสำรวจเสร็จสิ้น ก็เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยสร้างสะพานไม้เป็นทางเดิน ติดไฟส่องสว่างภายในถ้ำ และจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ไว้ถึง 20 ห้อง และห้องที่เป็นไฮไลท์สำคัญ อันเป็นที่มาของชื่อก็คือ “ห้องภูผาเพชร” ซึ่งประกอบด้วยหินงอกหินย้อยขนาดมหึมา ที่ส่องประกายโดดเด่นท่ามกลางห้องโถงใหญ่ ยามถูกแสงไฟสาดกระทบจะเปล่งประกายแวววาวงดงาม
ห้องที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ “ห้องแสงมรกต” นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ใครเห็นต้องร้อง “ว้าว” เพราะบนเพดานบริเวณนี้เป็นเหมือนช่องปล่อง ที่เปิดให้แสงจากดวงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ ยามที่แสงส่องลงมากระทบหินงอกหินย้อยตามผนังถ้ำ จะเกิดแสงสะท้อนเป็นสีเขียวมรกต โดยช่วงสวยที่สุดอยู่ในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน เวลาประมาณ 15.30-16.30 น. นอกจากนี้ยังมี “ห้องม่านเพชร” ที่คล้ายผ้าม่านแขวนเป็นหลืบซ้อนกัน “ห้องพญานาค” ที่มีหินงอกต่อตัวกันคล้ายพญานาค หรือ “ห้องปะการัง” ที่มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล
ภายในถ้ำยังมีหินงอกหินย้อยมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะถูกตั้งชื่อไว้แล้วตามรูปทรงที่เห็น หนึ่งในนั้น คือ ผนังถ้ำที่มีลวดลายทางธรรมชาติคล้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะทรงถ่ายรูป หลังไกด์นำทางเฉลยเสร็จ เราทุกคนต่างยกมือไหว้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้วยความคิดถึงและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
หลังตื่นตากับถ้ำสุดอลังการไปแล้ว เราเดินทางต่อไปยัง “น้ำตกวังสายทอง” ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 20 นาที น้ำตกแห่งนี้มีความพิเศษกว่าที่อื่น เพราะเป็นน้ำตกหินปูนแห่งเดียวที่เดินยังไงก็ไม่ลื่น เนื่องจากมีสารบางอย่างทำให้ตะไคร่น้ำไม่สามารถเกาะได้ จึงไม่ลื่น เหมือนน้ำตกอื่นๆ
ต้นน้ำของน้ำตกวังสายทองเกิดจากคลองวังน้อย และสายน้ำเกิดจากการทะลักของน้ำใต้ภูเขา ที่ไหลออกตามช่องเขาสู่แอ่งน้ำเป็นชั้นๆ ความงามของน้ำตกวังสายทองจึงอยู่ที่แอ่งน้ำแต่ละชั้น ที่ลดหลั่นลงมาจากชั้นบนสุดถึงชั้นต่ำสุดคล้ายดอกบัว จากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ มีการพอกพูนของสารแคลเซียมคาร์บอเนท เกิดเป็นริ้วสายของปูนน้ำจืดตามการไหลของกระแสน้ำตกแต่ละชั้น เกยกันไปมาเป็นขั้นบันได บริเวณน้ำตกมีต้นไม้น้อยใหญ่มากมายให้เราเกาะ ช่วยให้บรรยากาศร่มรื่น และเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานชื่นใจ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “ล่องแก่งวังสายทอง” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติตลอดสองข้างทาง ความน่าสนใจอยู่ที่แก่งต่างๆ ที่ต้องฝ่าไปให้ได้ ซึ่งตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับมือใหม่ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกระยะทางในการล่องแก่งได้ตามความสมัครใจ ตั้งแต่ 8-10 กม. สามารถติดต่อล่องแก่งล่วงหน้าได้ทุกรีสอร์ทในแถบนี้
เรารู้มาว่า บริเวณรอบๆ น้ำตกวังสายทอง เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองอย่าง “มานิ” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “เงาะป่าซาไก” และหากเราโชคดี อาจเจอพวกเขาออกมาพบปะผู้คนในท้องที่ เพื่อแลกอาหารกับของใช้ที่จำเป็น
แต่ผมไม่หวังพึ่งโชคชะตาแบบนั้นครับ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะเจอยากมาก ผมจึงออกสอบถามชาวบ้านละแวกนั้น เพื่อขอให้ช่วยนำเราเข้าไปถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของมานิ และในที่สุดเราก็ได้รับความช่วยเหลือจาก “ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท สตูล”
เช้าวันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางแต่เช้าตรู่ โดยมีคุณลุงเจ้าของรีสอร์ทนำพาเราไป คุณลุงขับรถกระบะไปตามถนนลูกรังเข้าไปในป่า เมื่อไปถึงปรากฏว่า ชนเผ่ามานิได้อพยพย้ายหนีเราไปเสียแล้ว คุณลุงเล่าว่าพวกมานิ ไม่ชอบอยู่ที่ใดเป็นเวลานาน หากมีคนนอกเข้าไปรบกวนบ่อยๆ ก็มักอพยพย้ายเข้าไปในป่าลึกเข้าไปอีก แต่คุณลุงยังไม่ล้มเลิกความพยายาม สอบถามคนท้องถิ่นจนรู้ว่า ชนเผ่ามานิไปตั้งถิ่นฐานอยู่หลังสวนชาวบ้านคนหนึ่ง พวกเราจึงรีบเดินเท้าเข้าไป จนเจอชนเผ่ามานิดังใจหวัง
จากการสอบถามและพูดคุยกับหัวหน้าเผ่ามานิที่พูดไทยได้ ชาวมานิที่นี่มีอยู่รวมกันประมาณ 20 คน มีลักษณะผมหยิกติดหนังศีรษะ ผิวดำคล้ำ รูปร่างสันทัด สูงประมาณ 140-150 ซม. ผู้หญิงมีขนาดร่างกายเล็กกว่าผู้ชาย แต่แข็งแรง ล่ำสัน ชอบเปลือยอก แต่เนื่องจากมีคนภายนอกมาบริจาคและสอนวิธีใส่เสื้อผ้าให้ ปัจจุบันจึงไม่เปลือยอกแล้ว
คุณลุงเล่าว่า ชาวมานิมีอุปนิสัยร่าเริง ชอบเสียงเพลง แต่กลัวคนแปลกหน้า แต่ถ้าคุ้นเคยแล้วจะยิ้มง่าย และพูดคุยอย่างเปิดเผย พวกมานิเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม ชอบพูดและทำตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ปัจจุบันมีชาวมานิหลายกลุ่มอยู่อาศัยในเขตป่าเทือกเขาบรรทัด และเทือกเขาสันกาลาคีรี ในภาคใต้ของประเทศไทย ที่ จ. สตูล พบชนเผ่ามานิ ในเขต อ. ทุ่งหว้า ละงู และมะนัง
อุทยานแห่งชาติทะเลบัน ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของ จ. สตูล ติดกับพื้นที่ของรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน ท่ามกลางหุบเขาที่ขนาบด้วยเทือกเขาจีน และเขาวังประ มีปลาน้ำจืด และหอยชุกชุม
สัตว์ที่อยู่คู่กับทะเลบัน คือ “หมาน้ำ” หรือ เขียดว้าก เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของทะเลบัน เขียดว้ากชอบอาศัยอยู่ตามป่าบากง ลำตัวสีเทาเข้ม มีแต้มจุดสีเทาเข้มถึงดำ หัวแบนเรียบ ตัวผู้มีถุงขยายเสียงมองเห็นได้จากภายนอก 1 คู่ จะส่งเสียงร้องคล้ายเสียงลูกสุนัขในยามค่ำคืนเป็นที่มาของชื่อ “หมาน้ำ” และในฤดูผสมพันธุ์จะร้อง “ว้ากๆๆ”
ถัดจากอุทยานแห่งชาติทะเลบันไปเพียง 2 กม. ก็ถึงตลาดการค้าชายแดน “ด่านวังประจัน” ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพวกขนมต่างๆ ที่นำเข้ามาจากมาเลเซีย ราคาไม่แพง ถ้านักท่องเที่ยวอยากข้ามไป “ด่านวังเกลียน” ฝั่งมาเลเซียก็ทำได้ แต่ต้องใช้พาสสปอร์ทเพื่อผ่านแดน ไม่สามารถใช้บัตรประชาชนข้ามแดนชั่วคราวเหมือนประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ได้
มาเที่ยวภาคใต้ ส่วนใหญ่เราจะสั่งแต่แกงใต้รสจัดจ้าน ครั้งนี้อยากรับประทานอาหารทั่วไปบ้าง จึงเลือกร้าน “ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท สตูล” เนื่องจากแอบได้ยินมาว่าแม่ครัวทำอาหารอร่อย ผมสั่ง ไข่เจียว น้ำพริก ผักต้ม ต้มหอยตลับ ผัดเผ็ดทะเล ต้มจืดสาหร่าย และกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา รสชาติดีทีเดียว แทบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลยครับ
ถ้าอยากเที่ยวถ้ำภูผาเพชรให้ได้อรรถรส แนะนำให้มาพักแถวน้ำตกวังสายทอง เพราะที่พักส่วนใหญ่อยู่ติดริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ และที่สำคัญมีรีสอร์ทให้เลือกหลากหลาย ผมเลือก “ริเวอร์วิว รีสอร์ท สตูล” เนื่องจากเป็นรีสอร์ทที่สวยงามตั้งแต่แรกเห็น ภายในเกือบทุกมุมถูกจัดใช้สำหรับถ่ายรูป แถมห้องพักยังมีให้เลือกหลายแบบ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ในราคาเริ่มต้นพร้อมอาหาร 3 มื้อ และค่าบริการล่องแก่ง เพียงคนละ 800 บาท/คืนเท่านั้น