รอบรู้เรื่องรถ
น้ำแข็งแห้ง ไม่ใช่สารพิษ แต่ใช้ผิดอาจถึงตาย
ยุคนี้เป็นยุคทองของการขนส่ง ทั้งระยะใกล้ และระยะไกล ควบคู่ไปกับความนิยมบริโภคอาหารอุณหภูมิต่ำ และอาหารจากผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเสื่อมสภาพง่ายมากเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิสูง ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จัก “น้ำแข็งแห้ง” หรือ DRY ICE กันเป็นอย่างดี แต่อาจจะเพียงผิวเผิน ว่ามันเป็นสารเย็นจัด โดนมืออาจจะเจ็บปวด หรือถึงขั้นเกิดแผลได้ถ้านานพอ ถูกกับอากาศแล้วกลายเป็นควันขาว ค่อยๆ ลดขนาดลงไป โดยไม่มีการละลาย เพราะไม่เปียกภาชนะที่ใส่แทนการอธิบายคุณสมบัติของน้ำแข็งแห้งให้ลำบากกันทั้งผู้เขียน และผู้อ่าน ผมขอเล่าให้เห็นภาพการผลิตน้ำแข็งแห้งเลยดีกว่า โรงงานจะนำแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (ซึ่งก็ต้องมีกรรมวิธีผลิตเหมือนกัน แต่อยู่นอกกรอบความสนใจในที่นี้ของเรา) มาจัดให้อยู่ภายใต้ความดันสูง ด้วยการลดปริมาตรของมันให้เล็กลง พร้อมไปกับการลดอุณหภูมิ คือ ทำให้เย็นนั่นแหละครับ จนถึงระดับความดัน และ “ความเย็น” พอเหมาะ แกสคาร์บอน ไดออกไซด์ ก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ต่อจากนี้ก็จะเริ่มขบวนการทำให้มันกลายเป็นน้ำแข็งแห้ง ด้วยการลดความดันลงกะทันหัน คือ ปล่อยมันออกจากภาชนะ สู่ความดันบรรยากาศแบบที่อยู่รอบตัวเรานี่แหละครับ ในอัตราไหลที่พอเหมาะ เข้าสู่ “แม่พิมพ์” รูปแบบต่างๆ ตามต้องการ เช่น แท่งสี่เหลี่ยมยาว ลูกบาศก์ หรือ “ลูกเต๋า” หรือจะเลือกรูปแบบรูระบาย ให้เป็นเกล็ดใหญ่หรือเล็กก็ได้ทั้งนั้น น้ำแข็งแห้งที่ได้นี้จะไม่คงสภาพถาวรนะครับ เพราะอุณหภูมิของมัน ต่ำกว่าอุณหภูมิอากาศรอบตัวมัน (และตัวเรา) อย่างมาก คือ ประมาณลบเกือบ 80 องศาเซลเซียส เมื่ออยู่ในสถานะของแข็งที่เย็นจัดแล้ว ภายใต้ความดันและอุณหภูมิของบรรยากาศรอบตัวเรา มันไม่สามารถคงตัวอยู่ได้ครับ “เนื้อ” ส่วนนอกจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งไปสู่สถานะแกสเลย ไม่กลายเป็นของเหลว ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อ “น้ำแข็งแห้ง” ต่างจากน้ำแข็งทั่วไปที่ละลายกลายเป็นน้ำ ถ้ายังจำศัพท์สมัยเรียนชั้นมัธยมกันได้ การเปลี่ยนสถานะเช่นนี้ มีชื่อในภาษาไทย ซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า การระเหิด (SUBLIMATION) ในภาคปฏิบัติเราไม่สามารถหยุดยั้งการระเหิดของน้ำแข็งแห้งได้เลยครับ ทำได้เพียงให้มันกลายสภาพเป็นแกสช้าลงนิดหน่อย ด้วยการหุ้มด้วยฉนวนกันความร้อน ถ้าใช้ภาษาชาวบ้านก็คือ ฉนวนกักเก็บ “ความเย็น” เช่น กล่องกระดาษ หรือกล่องโฟม ที่ผมใช้คำว่าภาคปฏิบัติ เพราะที่จริงแล้ว ถ้ามีภาชนะต้านความดันได้สูงพอ เราสามารถกักเก็บไม่ให้น้ำแข็งแห้งระเหิดรั่วไหลกลายเป็นไอไปหมดได้จริง โดยต้องให้มันอยู่ใต้ความดันสูงมาก ระดับ 60 บาร์ขึ้นไป ลองจินตนาการโดยเปรียบเทียบกับความดันของอากาศในล้อยางของรถเรานะครับ ซึ่งมีค่าเพียง 2 ถึง 3 บาร์ ถ้ามีภาชนะต้านความดันสูงที่ว่านี้ได้ ในอุณหภูมิบรรยากาศบ้านเรา แล้วบรรจุน้ำแข็งแห้งไว้ให้เต็ม มันจะไม่ระเหิดครับ แต่จะละลายจากสถานะของแข็ง เป็นของเหลว ภาชนะในตัวอย่างที่ว่านี้ จะต้องเป็นโลหะหนา เช่น ท่อเหล็กหนาเป็นนิ้ว ฝาปิดต้องต้านความดันสูงได้ด้วย ซึ่งพวกเราไม่มีใช้ในชีวิตประจำวันกันอยู่แน่นอน จึงสรุปได้ว่า น้ำแข็งแห้งจะระเหิดกลายเป็นแกสคาร์บอนไดออกไซด์เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในภาชนะแบบไหน หรือจะพยายามปิดผนึกอย่างไร ก็ไม่มีทางต้านมันไม่ให้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เลย มาถึงตรงนี้ผู้อ่านที่ชอบด้านวิทยาศาสตร์ คงมองเห็นอันตรายของการพยายามกักเก็บน้ำแข็งแห้งไม่ให้ระเหิดรั่วไหลได้ทันที ว่ายิ่งพยายามมาก ยิ่งภาชนะต้านความดันได้สูง ก็จะยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อภาชนะแตก หรือฉีกขาด เพราะความดันจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง มันจะกลายเป็นระเบิดขนาดย่อมๆ ได้เลยครับ และไม่ต้องกลัวว่าโจร หรือคนร้าย จะนำหลักการนี้ไปทำระเบิด เพราะความดัน 60 กว่าบาร์ นั้นเทียบไม่ได้กับดินระเบิดยุคใหม่ และอีกประการก็คือ การที่ไม่สามารถกำหนดเวลาให้มันระเบิดได้แม่นยำ ถึงกระนั้นถ้าเกิดขึ้นใกล้ตัว ก็ทำให้เราบาดเจ็บได้พอสมควร ปล่อยให้มันระเหิดตามธรรมชาติ โดยไม่ไปขัดขวางมัน จะปลอดภัยกว่าครับ ที่จริงแล้ว น้ำแข็งแห้งไม่สามารถทำอันตรายต่อเราได้โดยตรงนะครับ ถ้าไม่เอามือเปล่าไปจับมัน (เพราะเย็นจัด) “ทูตมรณะ” ที่เราต้องระวัง คือ แกสคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มาจากการกลายสถานะของน้ำแข็งแห้ง แล้วมันเกี่ยวข้องกับการใช้รถของพวกเราตรงไหน ถึงต้องเป็นเรื่องในหนังสือนี้ เกี่ยวอย่างยิ่งครับ เพราะชีวิตประจำวันของพวกเรา มักจะหลีกเลี่ยงการพกพาน้ำแข็งแห้งในห้องโดยสาร หรือที่เก็บสัมภาระนอกห้องโดยสารไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสภาพไอศครีมไม่ให้ละลาย หรือผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ไม่ให้บูด หรือรักษาความสดของอาหารทะเล ผมขอสลับฉากมาแนะนำผู้ร้ายตัวเอกของเรื่องก่อนนะครับ ว่าร้ายกาจต่อชีวิตเราได้เพียงใด ซึ่งก็คือ แกสคาร์บอนไดออกไซด์นี่แหละ ไม่จัดอยู่ในพวกแกสพิษโดยตรง เพราะมันมีอยู่แม้แต่ลมหายใจของพวกเรา และก็ออกมาจากปลายท่อไอเสียของรถทุกคัน ในปริมาณที่มาก อย่างน่าตกใจ ประเทศที่มีพลเรือนและผู้นำฉลาด เขาถึงช่วยกันรักษาต้นไม้ ป่าไม้ ไว้ให้ มากที่สุด เพื่อให้มันช่วยกำจัดแกสนี้ จะเรียกว่าโชคดี หรือโชคร้ายก็ได้ทั้งสองอย่างครับ ที่แกสนี้ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น เพราะถ้ามีกลิ่นก็คงรบกวนเราอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ถ้ามีสีหรือกลิ่น ถ้าตรงไหนมีความเข้มถึงขั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต เราก็จะหลีกเลี่ยงได้ทัน แกสนี้หนักกว่าอากาศ ปัญหาใหญ่ก็คือ ถ้าเราสูดอากาศที่มีแกส นี้อยู่ในสัดส่วนที่มาก หรือเข้ม ร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาการที่บ่งบอกว่าหายใจแกสคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปมากเกินควร คือ คลื่นไส้ เหงื่อออกทั้งๆ ที่อากาศรอบข้างไม่ร้อน ปวดหัว ใจสั่น อาจอาเจียนด้วย และถ้ามากหรือนานเกินไป ก็จะหมดสติ หรือถึงตายได้ ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำไว้ว่า ถ้าพบผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่มีโรคประจำตัวที่จะออกอาการดังกล่าว และสงสัยว่าน่าจะสูดหายใจแกสนี้เข้าไปในปริมาณมาก ให้ผู้เคราะห์ร้ายเหยียดแขนไปด้านหน้า โดยคว่ำมือ แล้วให้พยายามกระดกมือเชิดขึ้น ถ้าใช่จะไม่สามารถทำได้ครับ จะกระดกมือได้นิดเดียวก็ตกตามเดิมแล้วกระดกใหม่ เพราะสัญญาณจากสมองที่ขาดออกซิเจน จะส่งมายังกล้ามเนื้อได้เพียงจังหวะสั้นๆ แล้วขาดตอน ไม่ต่อเนื่อง


ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ