“ชีวิตอิสระ” ยังคงเสาะแสวงหาเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ อยู่เสมอ ครั้งนี้ เรามีโอกาสร่วมเดินทางไปกับคาราวาน ฟอร์ด เรนเจอร์ เพื่อตามรอยต้นน้ำของพ่อ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผ่านภูมิประเทศที่แปลกตามากมาย จะสวยงาม และสนุกสนานตื่นเต้นแค่ไหน ไปชมกันเลย
คาราวาน ฟอร์ด เรนเจอร์ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยัง “โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” อ. หนองปรือ จ. กาญจนบุรี หนึ่งในหลายพันโครงการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำให้พสกนิกร
หลังได้ฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ และความเป็นมาของโครงการฯ แล้ว ทำให้ทราบถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ทรงดำรัสไว้ว่า “น้ำคือชีวิต” แม้ประเทศไทยจะตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ที่มีฝนตกชุก แต่หากขาดหลักการบริหารจัดการแหล่งน้ำที่ดีแล้ว อาจส่งผลให้เกิดภัยน้ำท่วม หรือน้ำแล้งจากการบุกรุกพื้นที่ป่าได้
ภายในโครงการฯ เราได้เห็นการดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น โครงการปลูกหญ้าแฝกที่ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน โครงการแก้มลิงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและช่วยกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม และยังได้ร่วมกันสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำอันเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ระบบนิเวศอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ผมเพิ่งรู้ว่า จาก อ. หนองปรือ เราสามารถใช้ทางหลวงหมายเลข 4011 เพื่อข้ามแพขนานยนต์ต่อไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ ทาง อ. ศรีสวัสดิ์ ได้โดยไม่ต้องวิ่งย้อนกลับไปตั้งต้นยังตัวเมืองกาญจนบุรี อย่างที่ผมคุ้นเคย และที่แปลกใจยิ่งกว่า คือ รู้ว่าจากตัว อ. ศรีสวัสดิ์ นี้เอง ยังมีเส้นทางลัดไปยัง อ. ทองผาภูมิ ด้วยระยะทางเพียง 80 กม. เศษเท่านั้น (ถ้าไปทาง อ. ไทรโยค ระยะทางประมาณ 200 กม.) เพียงแต่ต้องข้ามแพขนานยนต์
จาก อ. ศรีสวัสดิ์ คาราวานมุ่งตรงไปยังท่าแพลุงหมู ซึ่งมีทางเข้าอยู่ใกล้ศาลเจ้าพ่อเนินกองทอง คาราวาน ฟอร์ด เรนเจอร์ 15 คัน ต้องใช้แพขนานยนต์ 2 ลำ จึงจะบรรทุกรถได้ทั้งหมด เราใช้เวลาข้ามน้ำบนเขื่อนศรีนครินทร์ประมาณ 30 นาที ก็ถึงฝั่งน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นที่เรียบร้อย และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสนุกตื่นเต้นในครั้งนี้
เมื่อนำรถทั้งหมดลงจากแพเป็นที่เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าต่อบนเส้นทางลูกรังอีก 30 กม. บางช่วงถนนแย่มาก มีหลุมขนาดใหญ่ดักเราตลอดทาง แต่ก็ทำให้รู้ว่าช่วงล่างของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่นี้ถูกปรับเชทมาได้ดี อาการแหนบหลังที่มักดีดตัวเวลาลงหลุม ลดลงเยอะ ช่วงหินรอยบนถนนช่วงล่างสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี
หลังจากผ่านหลุมบ่อมากว่าชั่วโมง เราก็มาถึง “เนินสวรรค์” ซึ่งเป็นจุดสกัด และจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นภูเขา และป่าไม้ที่เขียวขจี ก้อนเมฆลอยต่ำระยอดเขาดูสวยงาม
สมัยก่อนใครมาถึงเนินสวรรค์ได้ถือว่าเก่ง เพราะเป็นจุดปราบเซียน เนื่องจากเป็นเนินที่ต้องไต่เขาชัน และยาว กว่าจะมาถึงก็มืดค่ำทุกที จึงกลายเป็นจุดพักผ่อนของเส้นทางนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางไฮไลท์ในครั้งนี้ คือ การได้ขับรถเข้าไปในอุโมงค์เหมืองแร่เก่าที่มีฉายาว่า “อุโมงค์สามมิติ” หรืออุโมงค์ ดร. ผล กลีบบัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหมืองสองท่อ มีความยาวกว่า 2 กม. ภายในมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้นเป็นตัวนำทาง
เส้นทางภายในถ้ำขรุขระ มีธารน้ำไหลผ่านถนนตลอดปีจากการขุดผ่านตาน้ำ ระหว่างทางเราจะเห็นน้ำตกไหลออกมาจากปล่องเพดานถ้ำ รวมถึงน้ำที่ผุดออกมาจากผนังถ้ำจนเริ่มก่อตัวเป็นหินงอกหินย้อยตามธรรมชาติ
หลังจากผ่านอุโมงค์นี้แล้ว เรามีโอกาสได้ลอดอุโมงค์สั้นๆ อีก 2 แห่ง และที่จำได้ไม่ลืม คือ การได้ขับไปยัง “เขาเอเวอเรสต์แห่งทองผาภูมิ” ที่มีความชันและคับแคบแบบพอดีคัน ผู้ขับต้องใช้ความสามารถในการกะระยะ ซึ่งเสียวไม่ใช่เล่น แต่สมรรถนะของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ก็ช่วยได้มาก เครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ให้กำลังปีนไต่อย่างเหลือเฟือ โดยเฉพาะระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (HILL DESCENT CONTROL) และโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4L) ทำให้ผ่านเส้นทางนี้อย่างไม่ยากเย็น
จากอุโมงค์สามมิติ ไปยังถนนใหญ่ (หมายเลข 323) เป็นถนนลาดยางตลอดเส้น ภารกิจสุดท้าย คือ การไปเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฮงเค็ลไทย ซึ่งเป็นโรงเรียนในโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีพระราชประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โดยพวกเราได้ร่วมกันปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดโอกาสการชะล้างและพังทลายของหน้าดิน ช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ อีกทั้งร่วมกับนักเรียนช่วยกันปลูกไม้ผลเพื่อใช้เป็นอาหารกลางวัน และถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ “ตามรอยต้นน้ำของพ่อ”