โลกติดล้อ
โอลด์สโมบิล
อดีตของคนเรานั้น มักจะมีเรื่องราวต่างๆ หลากหลายผ่านเข้ามาในชีวิต รวมถึงรถที่ใช้ในครอบครัวแต่ละช่วงชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ช่วงที่ผู้เขียนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยมีรถ จีพ ของพ่อ และรถ โอลด์สโมบิล ของอา จำได้ว่าผู้เขียนออกจะเห่อรถอเมริกันของอาที่เป็นนักเรียนนอก มากกว่ารถของพ่อ จะเห็นได้จากการที่ได้เลียบๆ เคียงขอรถของอาไปขับ แต่ไม่ขอรถของพ่อไปขับ
รถ โอลด์สโมบิล ของอา เคยสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้เขียนอย่างมาก เมื่อได้นั่งชูคอ เพราะเป็นรถคันใหญ่ ที่ดูโก้ดี ปัจจุบันนี้แม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่เมื่อเหลียวมองไปทางไหนๆ ก็ไม่เห็นรถ โอลด์สโมบิล และคุณอาก็ล่วงลับไปแล้ว พร้อมกันกับที่รถ โอล์ดสโมบิล ก็เลิกผลิตไปตั้งแต่ปี 2547 นี้เอง
รถ โอล์ดสโมบิล คือ รถยี่ห้อที่ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกา รองจากรถ สติวด์เบเคอร์ ซึ่งเป็นยี่ห้อแรก คนที่เป็นผู้ให้กำเนิดรถ โอลด์สโมบิล ก็คือ แรนซัม อี โอลด์ส ซึ่งตั้งโรงงานแห่งแรกของเขาในปี 2440 ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะเกิด ชื่อของรถก็มีที่มาจากชื่อของผู้ให้กำเนิด คือ โอลด์ส มาบวกกับคำว่า โมบิล นับจากตอนนั้นถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 114 ปีแล้ว ในปี 2444 เป็นปีแรกที่ส่งรถ โอลด์สโมบิล ออกจำหน่าย สามารถผลิตได้ 425 คัน และเป็นรถอเมริกันที่ขายดี ต่อมามีปัญหาทางด้านการเงิน ก็เลยขายให้ เจเนอรัล มอเตอร์ส หรือ จีเอม ในปี 2451
มีเรื่องเล่าว่าในระหว่างที่ดวงกำลังรุ่ง ตอนปี 2444 นั้น โอลด์สโมบิล ก็เตรียมสายพานการผลิตอย่างพร้อมมูล เพื่อผลิตรถอีกหลายรุ่น โดยประวัติศาสตร์จะต้องบันทึกว่า เป็นรถยนต์อเมริกันเจ้าแรกที่เริ่มผลิตเป็นจำนวนมาก โดยใช้สายพานการผลิต (MASS PRODUCTION ON AN ASSEMBLY LINE) เรื่องนี้คนที่รู้ประวัติรถ โอลด์สโมบิล ดี ก็จะบอกว่าที่ ฟอร์ด มาตู่ว่าเป็นเจ้าแรกที่ผลิตรถยนต์เป็นจำนวนมาก โดยสายพานการผลิตนั้นไม่จริง โอลด์สโมบิล ต่างหากที่เป็นเจ้าแรก
พระเจ้าเล่นตลก ในขณะที่สายพานการผลิตพร้อม ในปี 2444 ก็เกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เมื่อพนักงานคนหนึ่งเลินเล่อ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปหมดทั้งโรงงาน และที่ร้ายที่สุด คือ ต้นแบบรถยนต์ทั้งหมด ถูกไฟไหม้เป็นจุล ยกเว้นรถต้นแบบคันเดียว คือ แบบที่มีหน้าปัดเป็นแนวโค้ง ที่คนงาน 2 คน ช่วยกันเข็นหนีไฟออกมาได้ทัน
เป็นอันว่าเจ้า โอลด์สโมบิล หน้าปัดโค้งนี้เอง จึงเป็นรถคันแรกที่ได้ผลิตบนสายพานการผลิต ตั้งแต่ปี 2444-2447 ในโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่
ส่วนเจ้า โอลด์สโมบิล รุ่น ลิมิเทด ซึ่งผลิตออกมาในปี 2453 ใส่ยางล้อรถสีขาวจากโรงงาน เบาะนั่งบุหนังแพะ พละกำลัง 60 แรงม้า เครื่องยนต์ 6 สูบ เป็นรถ 5 ที่นั่ง มีนาฬิกา กระจกรถเต็มบาน และเครื่องวัดความเร็วให้เป็นออพชัน ซึ่งกลายเป็นรถยอดนิยมในสังคมเมืองมะกัน ราคาของมันในขณะนั้น คือ 4,600 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งนับว่าแพงกว่าบ้านขนาด 3 ห้องนอนเสียอีก และมันฮิทมากจนถึงขนาด มีการเอาไปแต่งเป็นเนื้อเพลง เช่น เพลงทอพฮิทในขณะนั้น IN MY MERRY OLDSMOBILE ในปีที่มันวางตลาด
หลังจากที่เข้าไปอยู่ในอ้อมอกของ เจเนอรัล มอเตอร์ส เจ้า โอลด์สโมบิล ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายเพลา พัฒนาจากเกียร์มือ เป็นเกียร์อัตโนมัติ หลังจากปี 2484 โอลด์สโมบิล ก็ใช้เลข 2 ตัว เป็นเลขรุ่น โดยเลขตัวหน้าเป็นความกว้างของตัวรถ และเลขตัวหลังเป็นจำนวนลูกสูบ เช่น 66 และ 98
ในปี 2480 เป็นปีที่ประวัติศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาต้องจารึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้หลายเรื่อง อาทิ บอลลูนยักษ์จากไฮเดนเบิร์ก ของเยอรมนี บินลัดฟ้ามาลงนิวยอร์ค แต่เกิดเหตุเพลิงไหม้วอดวายเสียก่อน อเมเลีย เอียร์ฮาร์ท (AMELIA EARHART) ยอดนักบินหญิงชื่อดังของสหรัฐอเมริกาสูญหายไปโดยไร้ร่องรอย ดาราดัง ยีน ฮาร์โลว์ (JEAN HARLOW) เสียชีวิตในวัย 26 ปี เปิดสะพานโกลเดนเกทในซานฟรานซิสโก และ โอล์ดสโมบิล เริ่มนำเกียร์กึ่งอัตโนมัติที่ปลอดภัยมาใช้เป็นครั้งแรกในรถรุ่น แอล 37 และในปีนั้น โอลด์สโมบิล ได้ผลิตรถยนต์ออกมาถึง 212,767 คัน
ในปีที่ผู้เขียนเกิด คือ 2492 โอลด์สโมบิล ก็ได้กลายเป็นผู้นำ ด้วยการผลิตเครื่องยนต์ที่เรียกว่า จรวด (ROCKET) ที่ใช้ โอเวอร์เฮดวาล์ว วี 8 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังกว่ารุ่นเก่ามาก เป็นเครื่องยนต์ที่ โอลด์สโมบิล ใช้มาจนถึงยุค มิด ซิกซ์ที
ในปีที่ผู้เขียนเรียนจบมหาวิทยาลัย และหลังจากนั้นอีก 10 ปี ซึ่งเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของ โอลด์สโมบิล ในปี 2528 โอลด์สโมบิล มียอดขายถึง 1,066,122 คัน เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่ถูกใจตลาด และคำวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมของนักวิจารณ์ รวมทั้งเครื่องยนต์ วี 8 ที่ทรงพลัง รุ่น คัทลาสส์ กลายเป็นรุ่นขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และ โอลด์สโมบิล ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบแรนด์อันดับ 3 ต่อจาก เชฟโรเลต์ และ ฟอร์ด พอขายดีเข้า ก็เกิดเหตุเรื่องเครื่องยนต์ แฟนๆ ที่จงรักภักดีของ โอลด์สโมบิล ฝักใฝ่ในเครื่องยนต์ ROCKET วี 8 ต่อมาเมื่อรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ของ จีเอม ผลิตเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกัน เช่น เครื่องยนต์ 350 ของ เชฟโรเลต์ และมีการนำเครื่องยนต์นี้ไปใส่ใน โอลด์สโมบิล ด้วย เมื่อผู้บริโภคไปพบเข้า ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นฝันร้ายของ จีเอม อย่างคาดไม่ถึง
ต่อมา จีเอม ต้องแก้ปัญหานี้ ด้วยการติดป้ายโฆษณาและบโรชัวร์ของรถ โอลด์สโมบิล ว่า “รถ โอลด์สโมบิล ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ผลิตจากส่วนธุรกิจต่างๆ ของ จีเอม” และรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ที่ผลิตภายใต้โรงงาน จีเอม ก็ติดป้ายทำนองนี้เช่นกัน แม้จนถึงทุกวันนี้เครื่องยนต์ จีเอม ก็ได้รับการบอกกล่าวว่า เป็นเครื่องยนต์ของบริษัท ไม่ใช่ของส่วนธุรกิจหนึ่งธุรกิจใด
การแข่งขันในระหว่างบแรนด์ต่างๆ ภายใต้หลังคาเดียวกันของ จีเอม อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ จีเอม ตัดสินใจทุ่มเทความสนใจไปที่บางบแรนด์ และทั้งๆ ที่ โอลด์สโมบิล รุ่นปี '60, '70, '80 และ '90 ก็ยังเป็นรุ่นที่ขายดี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก จีเอม ก็ตัดสินใจหยุดการผลิต โอลด์สโมบิล ไปเมื่อปี 2547 ซะงั้น
ในปีที่หยุดการผลิต บแรนด์ของ โอลด์สโมบิล รถโมเดลต่างๆ ที่ผลิตเป็นรุ่นสุดท้าย คือ อเลโร, ออโรรา, บราวาดา, ซีลูเอทท์ และ อินทริก ซึ่ง 500 คันสุดท้าย ได้รับตราพิเศษจาก โอลด์สโมบิล ที่เขียนว่า "FINAL 500" สีลูกเชอร์รีเข้ม และเฉพาะ ออโรรา กับ อินทริก มีเอกสาร "FINAL 500" มอบให้ด้วย
วันสุดท้ายของการผลิต คือ เมษายน 2547 และรถคันสุดท้ายที่ออกจากสายการผลิต คือ โอลด์สโมบิล อเลโร จีแอลเอส เก๋ง 4 ประตู ซึ่งมีลายเซ็นของพนักงานในสายการผลิตทุกคน ขณะนี้ตั้งแสดงอยู่ที่ RE OLDS TRANSPORTATION MUSEUM ในแลนซิง มิชิแกน
เดี๋ยวนี้เมื่อรถ โอลด์สโมบิล กลายเป็นอดีตไปซะแล้ว ถ้าจะหาเรื่องราวได้ก็จากชมรมรถโบราณทั้งหลายเท่านั้น หรือจะหาดูได้ก็จากนักสะสม คุณอาของผู้เขียน ไม่ได้มีโรงรถที่สามารถเก็บรถได้หลายคัน ก็เลยไม่ได้เก็บมันไว้ชื่นชม ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/172732