โค้งอันตราย
แววมาดี
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2560 มานี่ บรรยากาศรอบตัว ค่อนข้างจะสดชื่น ดีไปหมด แม้ว่าการประกาศตัวเลขของปี 2559 ที่ผ่านมา จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก แต่จากการประเมินสภาพสภาวะเศรษฐกิจ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลก ดูท่าว่าไม่ค่อยจะดี แต่เศรษฐกิจเมืองไทยเราเอง ไม่ว่าจากตัวเลข หรือจากการแถลงข่าวของสำนักต่างๆ ดูว่าจะดีกันไปหมดและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อประกาศยอดการขายรถยนต์เดือนมกราคม เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ตัวเลขก็กลับมาอยู่ในแดนบวก พอมาถึงเดือนที่ 2 ของปี ด้วยตัวเลขการขายเพียงเดือนเดียว เติบโต 19.9 % ด้วยยอดขาย 68,435 คัน รวม 2 เดือนเติบโต 15.4 % ด้วยตัวเลข 125,689 คัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางบวกเสียทั้งหมด เมื่อคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. แถลงผลการประชุมประจำเดือนมีนาคม 2560 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัว ท่ามกลางปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตามทั้งรายละเอียดแนวนโยบายของสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์การเมืองในภูมิภาคยุโรป อย่างไรก็ตาม กว่าที่นโยบายของสหรัฐอเมริกา ทั้งในเรื่องการคลัง และการค้าระหว่างประเทศ จะมีความชัดเจนและเริ่มบังคับใช้คงต้องใช้เวลา ดังนั้นผลจากนโยบายต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และคู่ค้าของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะจีน จึงคาดว่าจะมีจำกัดในปี 2560 ขณะที่ทางการจีนก็ยังมีทรัพยากรที่จะสามารถประคองให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ต้องติดตามผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า เฟด อาจจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย FED FUNDS ในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ปรากฏว่า เฟด ยังคงยืนอัตราดอกเบี้ยคงเดิม ไม่มีการปรับแต่อย่างใด สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2560 นั้น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญจะยังคงมาจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การใช้จ่ายของภาครัฐ และการขยายตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยว ในขณะที่แม้ว่ารายได้เกษตรกรจะปรับตัวดีขึ้น แต่การบริโภคภาคเอกชนอาจได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น นอกจากประเด็นกำลังซื้อภายในประเทศแล้ว ภาคธุรกิจคงจะรอประเมินผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในยุโรป ซึ่งจะมีผลต่อกระแสการลงทุนโดยตรง และการปรับตัวของตลาดเงินตลาดทุนโลก โดยรวมแล้วที่ประชุม กกร. จึงยังคงกรอบประมาณการณ์ในปี 2560 คือ ในปี 2559 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เท่ากับ 3.2 % ขณะที่การส่งออก เติบโต 0.5 % โดยมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.2 % การคาดการณ์ในปี 2560 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ GDP เท่ากับ 3.5-4.0 % การส่งออกเติบโต 1.0-3.0 % โดยมีอัตราเงินเฟ้อเงินเฟ้อ 1.0-2.0 % ในเมื่อมีเรื่องข้องแวะไปกับ การแถลงนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมพ์ แล้ว เราลองมาดูโอกาสของสินค้าไทย ว่าจะสามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจโฉมใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ การแถลงนโยบายเศรษฐกิจต่อสภาคองเกรสครั้งแรก ยังคงฉายภาพกว้างของนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การลดภาษีเงินได้ให้แก่ชนชั้นกลาง โครงการ “NATIONAL REBUILDING” หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยเม็ดเงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใต้แผนงานหลัก “BUY AMERICAN AND HIRE AMERICAN” เพื่อกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ ซึ่งผลที่จะตามมายังต้องจับตาห้วงเวลาในการนำนโยบายต่างๆ มาใช้ต่อไป สำหรับในกรณีของไทย ที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับไทย ซึ่งไทยอยู่ในลำดับที่ 11 และมีมูลค่าขาดดุลการค้าราว 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับจีน ในระดับสูงถึง 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมกซิโก 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งสินค้าไทยก็มีลักษณะต่างจากจีนและเมกซิโก โดยหากการเก็บภาษีจำกัดเฉพาะสินค้าขั้นสุดท้าย สินค้าไทยจึงยังมีโอกาสได้อานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริโภคของสหรัฐอเมริกาในระยะต่อไป โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่สหรัฐอเมริกาไม่สามารถผลิตได้ และเป็นสินค้าที่สอดคล้องกับธุรกิจที่จะกลับขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ตามนโยบายกระตุ้นการลงทุนและการผลิตในประเทศ อาทิ คอมพิวเตอร์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น ในประเด็นนี้ แม้จะมีความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ยังไม่ได้ระบุรายละเอียดนั้น แต่สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยที่มีความโดดเด่น ที่สามารถดึงดูดการบริโภคของชาวอเมริกันได้อย่างเหนี่ยวแน่น และสหรัฐอเมริกา ผลิตได้ไม่เพียงพอมีโอกาสทำตลาดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น อาหารทะเลกระป๋อง/แปรรูป ผลไม้กระป๋อง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้ สินค้าไทยที่ทำตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ดีจำกัดอยู่เพียงกลุ่มอาหารเป็นหลัก ซึ่งสหรัฐอเมริกามีความต้องการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วนราว 5 % ของโครงสร้างการนำเข้าทั้งหมด ขณะความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของการนำเข้าทั้งหมด สะท้อนว่า หากธุรกิจไทยสามารถเข้าใจในพฤติกรรมการบริโภคของชาวอเมริกัน รวมถึงปรับตัวให้ผลิตสินค้าสอดคล้องกับความต้องการที่มี จะยิ่งสนับสนุนการส่งออกของไทยให้เติบโตได้อีกมาก อาทิ อาหารปรุงแต่ง อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์จากยาง อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เพื่อความสะดวกสบาย และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์อัจฉริยะ เป็นต้น ก็ได้แต่หวังว่า สภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะไม่แปรปรวนมากนัก อันจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทย แปรปรวนตามไปด้วย ก็ขอให้ประคับประคองกันต่อไป เพื่ออนาคตที่ดีกว่าแน่นอน
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/168082