สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
มาซะฮิโกะ อูเอะกิ
มิตซูบิชิ เป็นค่ายรถยนต์รายแรกๆ ที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย และได้รับความนิยมสูง "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ มาซะฮิโกะ อูเอะกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ในประเทศไทยฟอร์มูลา : มองภาพรวมอุสาหกรรมรถยนต์ปี 2557 อย่างไร ? อูเอะกิ : มองย้อนกลับไปเมื่อเดือนช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาจัดการบริหารประเทศ ทำให้เกิดความมั่นคงทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ตรงจุดนี้ผมมองว่า เศรษฐกิจก็จะมีความมั่นคงขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากการอนุมัติจ่ายเงินจำนำข้าว รวมถึงงบประมาณแผ่นดินที่ค้างจ่าย ก็มีการเบิกจ่ายไป ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้มีการดำเนินการออกมาอย่างเห็นได้ชัด และจนถึงปัจจุบันได้มีการตั้งคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการขึ้นมาบริหารประเทศ จึงทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ดีขึ้น สำหรับตัวเลขของจีดีพี ที่ประกาศออกมาในช่วงไตรมาสแรก -0.5 % ไตรมาสที่ 2 +0.4% รวมถึงครึ่งปีแรกยัง -0.1% แต่จากประมาณการจากภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ออกมาในลักษณะคล้ายกันว่าตลอดทั้งปี 2557 จะอยู่ที่ระดับ +1.5-2.0 % ส่วนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมโดยรวมของปี 2557 ตามปีงบประมาณการเงินของบริษัท ฯ จะเริ่มตั้งแต่ เดือนเมษายน 2557- มีนาคม 2558 แต่อย่างไรก็ตาม มองว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมในปี 2557 จะอยู่ที่ 900,000-950,000 คัน ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวมาแล้วก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ ครึ่งปีแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน ไม่สูงมาก แต่ครึ่งปีหลังก็คงจะฟื้นขึ้นมา เนื่องจากความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ฟอร์มูลา : มิตซูบิชิ มีการปรับตัวและพัฒนาอย่างไร ? อูเอะกิ : หลังจากครึ่งปีแรก เศรษฐกิจของประเทศไทยตกลง มีผลกระทบต่อยอดขาย บริษัท ฯ มีการปรับแผนงบประมาณ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2557 แต่ไม่ว่าผลของการปรับแผนออกมาเป็นเช่นไร บริษัท ฯ ยังพยายามที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดของ มิตซูบิชิ ให้อยู่ที่ 9 % โดยมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 86,000 คัน ตลาดส่งออก ซึ่งตอนนี้ในอาเซียนด้วยกัน ตลาดค่อนข้างดี ส่วนตลาดอื่น ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกาเหนือ รวมไปถึงตะวันออกกลาง ค่อนข้างมีความต้องการสูง ทำให้มีการปรับประมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 8 % คิดเป็นยอดส่งออกปีนี้ ตามปีงบประมาณของเรา คือ 320,000 คัน ฟอร์มูลา : ปีนี้จะมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดหรือไม่ ? อูเอะกิ : ปีนี้มีแผนที่จะแนะนำรถยนต์พิคอัพรุ่นใหม่ ออกสู่ตลาด ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ โดยเป็นรุ่นที่ได้รับการออกแบบ และดีไซจ์น รวมถึงคุณภาพให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม และสมรรถนะของรถยนต์ก็จะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ตั้งเป้าว่ารถยนต์รุ่นนี้จะกระตุ้นยอดขายของบริษัท ฯ ให้เติบโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการปรับโฉมในรุ่นอื่นๆ เพื่อให้มีความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ฟอร์มูลา : ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการกี่แห่ง ? อูเอะกิ : ปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 217 แห่ง โดยมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 230 แห่ง ในเดือนมีนาคม 2558 เนื่องจากบริษัท ฯ ให้ความสำคัญเรื่องการยกระดับมาตรฐานความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเป็นหลัก โดยจะเน้นในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งของการบริการหลังการขาย ฟอร์มูลา : มิตซูบิชิ มีกำลังการผลิตเท่าไร ? อูเอะกิ : มีโรงงานประกอบรถยนต์อยู่ 3 แห่ง โรงงานที่ 1 ผลิตได้ 90,000 คัน โรงงานที่ 2 ผลิตได้ 220,000 คัน โรงงานที่ 3 ผลิตได้ 200,000 คัน รวมทั้ง 3 โรงงาน เต็มที่มีกำลังผลิตอยู่ที่ 510,000 คัน โรงงานที่ 1 และ 2 จะผลิตรถพิคอัพ และรถพีพีวี หรือ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ท ส่วนโรงงานที่ 3 จะผลิตอีโคคาร์ คือ มิตซูบิชิ มิราจ และแอททราจ สำหรับกำลังการผลิตในปัจจุบันสามารถรองรับตลาดได้ หากมองในระยะสั้น 2-3 ปี เพราะเมื่อมองจากยอดขายภายในประเทศกว่า 80,000 คัน และส่งออกอีกประมาณ 320,000 คัน รวมกันจะอยู่ที่ประมาณ 400,000 คัน ซึ่งยังไม่เต็มกำลังการผลิต แต่ถ้าในอนาคตตลาดในประเทศมีการฟื้นตัวขึ้น ตลาดต่างประเทศการส่งออกดีขึ้นอีก คงจะต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องกำลังการผลิตว่าจะมีการปรับอย่างไรต่อไป ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าเพราะอะไร มิตซูบิชิ จึงประสบความสำเร็จในประเทศไทย ? อูเอะกิ : สิ่งที่ทำให้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประสบความสำเร็จคงเป็นเรื่องของการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการรับรู้ในเรื่องบแรนด์ที่มีมากพอสมควร รวมถึงการมีเครือข่ายหรือดีเลอร์ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งเรื่องของชื่อเสียงของบแรนด์ที่มีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่แค่นี้ก็ยังไม่เพียงพอ บริษัท ฯ ยังคงที่จะพยายามสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้ามากขึ้นไปอีก เพื่อให้ มิตซูบิชิ ประสบความสำเร็จในประเทศไทยต่อไปในอนาคต สำหรับคำว่า ความพึงพอใจของลูกค้า บริษัท ฯ ไม่ได้พูดถึงหรือไม่ได้หมายถึงเฉพาะลูกค้าเก่าเพียงอย่างเดียว แต่มองไปถึงการสร้างฐานลูกค้าใหม่ เพราะว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้ลูกค้าเก่า และใหม่มีความพึงพอใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ซื้อรถใหม่ และลูกค้าที่มาใช้บริการหลังการขาย ที่ผ่านมา บริษัท ฯ ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรม เน้นเรื่องการให้ช่างเทคนิคมีความชำนาญ เชี่ยวชาญในหน้าที่และงานที่รับผิดชอบเป็นระยะเวลา 2 เดือน เพื่อเพิ่มทักษะความสามารถ ในส่วนการดูแลลูกค้าเน้นเรื่อง ซีอาร์เอม โดยเชิญลูกค้าเข้าเยี่ยมชมการผลิตที่แหลมฉบัง เพือ่ให้เป็นถึงกระบวนการผลิตของโรงงานที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างบริษัท ฯ และลูกค้า ฟอร์มูลา : กลยุทธ์ที่จะใช้ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบแรนด์ คืออะไร ? อูเอะกิ : เรื่องของสินค้า ซึ่งกรณีนี้ประเทศไทยมีสินค้า 2 ตัว ที่เป็นตัวหลัก อันเนื่องมากจากการส่งเสริมของรัฐบาลมาตั้งแต่ในอดีต คือรถพิคอัพ และอีโคคาร์ ดังนั้นจึงพยายามทำให้สินค้าทั้ง 2 มีความน่าสนใจ แนะนำรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการขายก็มีการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดขายและสัดส่วนการตลาดสามารถเพิ่มขึ้นได้ สำหรับในภาพรวม อยากจะเน้นการทำกลยุทธ์ที่เรียกว่า บแรนด์อิเมจ ให้ดีขึ้น จะต้องทำให้สินค้าเด่นทั้งเรื่องดีไซจ์น คุณภาพ สมรรถนะ ราคา ที่ดีกว่าบริษัทอื่นๆ ซึ่งถ้าทำตรงนี้ได้ ก็จะทำให้มีบแรนด์อิเมจดีขึ้น การสร้างบแรนด์อิเมจ ไม่ได้เป็นแค่นโยบายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นนโบายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์เพอเรชัน ที่ต้องการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าให้ดีขึ้น คือลูกค้าต้องมาก่อน เวลาจะสร้างสินค้าขึ้นมาใหม่ ก็ต้องคิดก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร ในส่วนของการขายก็เช่นกัน ทางด้านการผลิต ก็ต้องผลิตให้ได้คุณภาพในระดับโลก เพราะว่าโรงงานในประเทศไทย มีกำลังการผลิตอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น ฉะนั้นในเรื่องของคุณภาพ ก็ต้องเป็นระดับสากล ถ้าทำได้ก็ทำให้ลูกค้าในประเทศไทยได้รับสินค้าคุณภาพระดับสากล ส่วนของดีเลอร์ การที่จะเป็นผู้ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า จะต้องมีการตั้งเป้าหมาย และต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องดูว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไร ถือว่าเป็นการทำตามวงจร PDCA CYCLE ฟอร์มูลา : ความรู้สึกที่มารับตำแหน่งในประเทศไทย เป็นอย่างไรบ้าง ? อูเอะกิ : ก่อนที่จะมาประจำอยู่ที่ประเทศไทย ประจำอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเวลา 3 ปีกว่า ก็เริ่มมีความคุ้นเคยกับชีวิตความเป็นอยู่ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นของกลุ่มประเทศอาเซียน พอมาอยู่ในประเทศไทยก็มองว่าอยู่ในกรอบประเทศอาเซียนด้วยกัน ยังมีความคุ้นเคยเหมือนเดิมอยู่ ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายในการทำงานไว้อย่างไรบ้าง ? อูเอะกิ : เป้าหมายของผมก็คือ จะต้องมียอดขายต่อปีไม่น้อยกว่า 100,000 คัน ต่อเนื่อง และต้องมีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 10 % ฟอร์มูลา : หลักการบริหารงานของคุณคืออะไร ? อูเอะกิ : ผมมาประจำในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นประเทศที่ 6 ไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็ตาม ผมจะไม่ใช้วิธีบริหารจัดการแบบฟังคำสั่งจากประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่เพียงอย่างเดียว แต่วิธีการที่ผมทำคือ จะพยายามฟังความคิดเห็นจากพนักงาน มิตซูบิชิ ประเทศนั้นๆ แล้วก็นำมาเป็นข้อมูลเพื่อตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ถ้าเป็นข้อมูลที่ดี จะมีการสั่งให้ดำเนินการ ถ้ายังไม่เหมาะสม ก็นำไปใช้ในการปรับแก้ไข เพื่อพัฒนาองศ์กรต่อไป
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ/สุดาภรณ์ ไกรแก้ว
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16165