รายงาน(formula)
ซ้อมใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ใกล้แล้ว สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN ECONOMICS COMMUNITY) ในปีหน้า (31 ธันวาคม 2558) เพื่อให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน และฝีมือแรงงานในกลุ่มสมาชิก 10 ประเทศได้อย่างเสรี เพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้จะมีข้อตกลงบางส่วนที่ยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ แต่ในด้านของอุตสาหกรรมยานยนต์ เราเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้ว ฟอร์มูลา ขอรายงานภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ใน AEC การเตรียมความพร้อม รวมถึงทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของแต่ละประเทศ ในอาเซียนอาเซียนปรับตัวผลิตรถยนต์ ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียนมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก มียอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมี 5 ประเทศหลักเป็นฐานการผลิตรถยนต์ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อีกทั้งความต้องการรถยนต์ของกลุ่มประเทศในอาเซียนมีมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงในเรื่องคุณภาพของรถยนต์ หากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว การกีดกันของภาษีจะลดลงมาก หรืออาจไม่มีเลย ดังนั้นประเทศที่มีฐานการผลิตที่ดี ควบคู่กับเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะชิงความได้เปรียบในการแข่งขันอุตสาหกรรรมยานยนต์ของอาเซียนในทันที ยักษ์ใหญ่ยานยนต์ในอาเซียน ประเทศไทยถือเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค มีข้อได้เปรียบด้านฝีมือแรงงาน ทักษะความชำนาญ ความละเอียดรอบคอบ และมีเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มากกว่าประเทศอื่นในอาเซียน แต่ละประเทศที่ผลิตรถยนต์ในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของตน เพื่อแข่งกันช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด ดังนั้นประเทศไทยจึงควรเร่งส่งเสริมวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น จากสถิติ ปี 2556 ประเทศไทยมียอดผลิตรถยนต์สูงถึง 2,457,086 คัน ซึ่งสูงสุดในรอบ 52 ปี ครองสัดส่วนทางการตลาดถึง 55 % ของอาเซียน ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของโลก มียอดขายในประเทศ 1,330,670 คัน ที่เหลือส่งออกไปต่างประเทศ มียานยนต์ที่จัดเป็น PRODUCT CHAMPION ของไทย คือ รถกระบะขนาด 1 ตัน และอีโคคาร์ ขนส่งพร้อม จัดระเบียบรถต่างแดน กรมการขนส่งทางบกเตรียมจัดระเบียบการขับรถข้ามแดนระหว่างประเทศ โดยรถแต่ละคันต้องติดป้ายทะเบียน 2 ภาษา ที่เป็นภาษาของประเทศนั้นๆ และภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งในระยะแรกอนุญาตให้เฉพาะรถส่วนบุคคลผ่านแดนได้เท่านั้น ส่วนรถประเภทอื่นๆ ให้ขออนุญาตเป็นกรณีไป สำหรับใบขับขี่ต้องใช้แบบสมาร์ทคาร์ด ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกประเทศในอาเซียน ส่วนการประกาศใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น ท่อไอเสีย ไฟหน้ารถ แต่ละประเทศต้องมาตกลงร่วมกันใหม่อีกครั้งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดขั้นตอนการขออนุญาตใช้อุปกรณ์รถยนต์ต่างๆ เมื่อต้องเดินทางข้ามประเทศ โดยปัจจุบันมีการประกาศใช้มาตรฐานเดียวกันแล้วเบื้องต้น และพยายามผลักดันให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเหมือนในทวีปยุโรป เพราะหากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว ต้องช่วยกันผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อลดต้นทุน แต่สิ่งสำคัญ ประเทศไทยตอนนี้ ยังไม่มีมาตรฐานการทดสอบ และสนามทดสอบชิ้นส่วน เอกชนต้องส่งไปทดสอบเองในต่างประเทศ หากไทยต้องการแข่งขันกับประเทศใน AEC ควรปรับปรุงขั้นตอนต่างๆ ให้เร็วกว่านี้ มิฉะนั้นอาจเป็นรองประเทศอื่นในระยะยาวได้ และถ้าไปแข่งขันในเวทีโลกก็ยิ่งเป็นรองมากยิ่งขึ้น เพราะในต่างประเทศมีประกาศมาตรฐานชิ้นส่วนรถยนต์เป็นที่ยอมรับแล้วมากกว่า 30 ชนิด ประเทศไทยมีเพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น รถยนต์นำเข้ามาก ธุรกิจเช่าซื้อรุ่ง เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รถยนต์นำเข้าจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ การลงทุนขนส่งลอจิสติคส์ รวมถึงธุรกิจรถเช่า ส่งผลดีกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก จึงต้องเร่งวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์กันใหม่ เพราะรูปแบบการเช่าซื้อจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้ผู้ประกอบการบริษัทเช่าซื้อรถยนต์ สามารถไปลงทุนตั้งสาขาในต่างประเทศได้ แต่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการไปลงทุนธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ในต่างประเทศ มีเพียงแต่ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เท่านั้น สำหรับกฎหมายการเช่าซื้อ ไทยมีความเข้มแข็งอยู่พอสมควรแล้ว ทางบริษัทเช่าซื้อรถยนต์สามารถยึดรถยนต์ได้ หากลูกค้าไม่ผ่อนค่างวดตามกำหนด แต่ประเทศ สปป.ลาว และกัมพูชา ยังไม่มีกฎหมายมารองรับ ถ้าหากลงทุนจำเป็นต้องศึกษากฎระเบียบให้ชัดเจน และหาพันธมิตรในประเทศนั้นมาร่วมลงทุนด้วยเพื่อขยายสาขา อีโคโนมี ออฟ สเกล ผลิตมาก ต้นทุนลด สิ่งสำคัญเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไทยจะอยู่บนอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศเดียวไม่ได้ เพราะในอาเซียนมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 4.5 ล้านคัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) จึงแนะนำหลัก "อีโคโนมี ออฟ สเกล" ผลิตมากช่วยลดต้นทุนมาก ในอุตสาหกรรมยานยนต์ จำเป็นต้องร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ล่าสุดปี 2553 มีการประกาศลดภาษีรถยนต์เหลือ 0 % ไปแล้วใน 6 ประเทศ ซึ่งในปี 2558 จะเริ่มบังคับใช้ลดภาษีรถยนต์ทั้งหมด 10 ประเทศในอาเซียน เร่งพัฒนา ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ สำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กำลังเจอปัญหามากมาย เกี่ยวกับยอดส่งออกไปอินโดนีเซีย ที่ลดลงเหลือ 6 % (จากเดิมเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เติบโต 20 %) แต่ยังคงมีการเติบโตอยู่ เนื่องจากทางอินโดนีเซียเริ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เองแล้ว คงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร เพราะไทยยังคงส่งออกไปประเทศอื่นได้อยู่ โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากญี่ปุ่น เข้ามาผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทย ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการบางส่วนต้องหายไปจากอุตสาหกรรม และในอนาคตต้องพยายามให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้กลับมาเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง ทิศทาง 4 ฐานการผลิตในอาเซียน อินโดนีเซีย ที่ผ่านมาอินโดนีเซีย มีตลาดรถยนต์ที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในอาเซียน จึงต้องเพิ่มกำลังการผลิตจากปี 2549 เป็น 2 เท่าตัว ส่งผลให้นักลงทุนในยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ต่างพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีข้อกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งประเทศอินโดนีเซียมีข้อได้เปรียบในเรื่องของแรงงานที่มีเพียงพอต่อการผลิต มีอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ นอกจากนี้ยังมองไปยังกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ จึงประกาศโครงการ "LOW COST GREEN CAR" ผลิตรถยนต์สเปคใกล้เคียงกับอีโคคาร์ในประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซียมีสถิติการผลิตรถยนต์ในปี 2556 ประมาณ 1,208,211 คัน มียอดขายในประเทศ 1,229,901 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ และรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ กรีนคาร์ อุตสาหกรรมยานยนต์ของอินโดนีเซีย ในปี 2015 วางแผนเร่งผลิตรถเก๋ง รถบรรทุก รถไฮบริด และรถหรู ให้มากที่สุด ปัจจุบันปริมาณการผลิตรถยนต์ของอินโดนีเซียคิดเป็น 27 % ในภูมิภาคอาเซียน มาเลเซีย อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศมาเลเซีย มีฐานการผลิตมาเป็นเวลานาน แต่มีการกีดกันการนำเข้ารถยนต์จากต่างชาติ เพื่อรักษาสภาพทางอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศเอาไว้ จนทำให้อุตสาหกรรมในประเทศเกิดการอิ่มตัว ปริมาณการผลิตรถยนต์จึงคงที่ ปัญหาดังกล่าวทำให้ภาคบริหารต้องกำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ โดยประกาศแผนสนับสนุนรถยนต์ อีอีวี รถพลังงานไฮโดรเจน หรือไฟฟ้า และเปิดกว้างให้นักลงทุนผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ประเทศมาเลเซีย มีความสามารถในการผลิตรถยนต์ในปี 2556 จำนวน 601,407 คัน และมียอดขายในประเทศ จำนวน 655,793 คัน มีรถยนต์ส่วนบุคคล เป็น PRODUCT CHAMPION ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนมาเลเซียซึ่งชอบใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่ารถประเภทอื่น ปริมาณการผลิตรถยนต์ของมาเลเซีย คิดเป็น 14 % ของอาเซียน ฟิลิปปินส์ นับได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากปัญหาการเมืองภายใน และการคมนาคมขนส่งทางถนนยังไม่มีความสะดวกเท่าที่ควร การเติบโตของอุตสาหกรรมยังคงมีความต่อเนื่องแบบไม่ก้าวกระโดด รวมถึงความต้องการใช้รถยนต์ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไร การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์จึงน้อยมาก เสียเปรียบการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทางภาครัฐจึงกำหนดนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมส่งเสริมทางด้านชิ้นส่วนยานยนต์ และสนับสนุนยานยนต์เพื่อการส่งออก ด้วยลักษณะภูมิประเทศของฟิลิปปินส์ ที่เป็นเกาะขนาดเล็กโดยรอบ พื้นที่ขนาดใหญ่มีไม่มากนัก จึงเป็นเรื่องที่ยากต่อการตั้งโรงงานผลิต และยังเป็นประเทศที่มีการกีดกันทางการค้าสูง นักลงทุนต่างชาติจึงต้องคิดทบทวนในการลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศฟิลิปปินส์ มีความสามารถผลิตรถยนต์ในปี 2556 จำนวน 79,169 คัน ยอดขายในประเทศ 181,338 คัน การนำเข้ารถยนต์เป็นเท่าตัวของจำนวนการผลิต เพราะฟิลิปปินส์มีนโยบายสนับสนุนนำเข้ารถยนต์ใช้แล้ว ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์มือหนึ่งมีความซบเซา ไม่เติบโต จนทำให้โรงงานผลิตรถยนต์อย่าง ฟอร์ด ต้องตัดสินใจย้ายโรงงานมาในประเทศไทย ปริมาณการผลิตรถยนต์มีสัดส่วนเพียง 2 % ของอาเซียนเท่านั้น เวียดนาม น่าจับตามองสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศนี้ เพราะรัฐบาลเวียดนามสนับสนุนอย่างจริงจัง ด้วยนโยบายสนับสนุนลดภาษีนำเข้า ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์มากขึ้น อีกทั้งยังมีแหล่งทรัพยากรภายในประเทศอยู่มาก จึงมีโอกาสให้ผู้ประกอบการรถยนต์ย้ายฐานการผลิต หรือขยายตัวอุตสาหกรรมยานยนต์มาประเทศเวียดนามได้ เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะนำมาแก้ไขให้ดีขึ้นในอนาคต ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในเวียดนามคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ประเทศเวียดนาม มีความสามารถผลิตรถยนต์ในปี 2556 จำนวน 93,630 คัน ยอดขายในประเทศ จำนวน 98,649 คัน มีรถจักรยานยนต์เป็น PRODUCT CHAMPION ปริมาณการผลิตรถยนต์ของเวียดนามมีสัดส่วน 2 % ของอาเซียน ไทยเดินหน้าผลิตอีโคคาร์ เฟส 2 คณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติส่งเสริมโครงการผลิตอีโคคาร์ เฟส 2 แล้ว 5 ราย ได้แก่ ฟอร์ด เชฟโรเลต์ นิสสัน มาซดา และมิตซูบิชิ รวมเงินลงทุน 52,776 ล้านบาท กำลังผลิตรวม 852,000 คัน และยังอยู่ในขั้นพิจารณาอีก 5 ราย คือ ฮอนดา ซูซูกิ โตโยตา เอมจี และโฟล์คสวาเกน
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/15913