ชีวิตอิสระ(4wheels)
ควบ ฟอเรสเตอร์ ไปสโลว์ไลฟ์ ที่แม่แจ่ม
"แม่แจ่ม" คือ ชื่อเรียกอำเภอเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังดอยอินทนนท์ ในจังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางขุนเขาเหล่านั้น มีวัฒนธรรมที่งดงาม จากหลายเชื้อชาติซ่อนตัวอยู่ รวมถึงผู้คนที่ยิ้มแย้ม และวิถีชีวิตเรียบง่ายไร้การปรุงแต่ง "4 WHEELS" ขอพาแฟนๆ ชีวิตอิสระ ไปค้นหาความงดงามเหล่านั้น
ตะลุยแม่แจ่ม ไปกับ ฟอเรสเตอร์
เราเลือกรถที่มีระบบขับเคลื่อนที่สมดุลอย่าง ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ เป็นพาหนะ เพื่อให้แน่ใจว่าการเดินทางจะราบรื่นตลอดทริพ เนื่องจากรถคันนี้ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (AWD) แบบสมมาตร (เพลาขับมีระยะเท่ากันทั้ง 4 ล้อ) แถมยังใช้เครื่องยนต์สูบนอนขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้าอีกด้วย จึงทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ เมื่อเข้าโค้งความเร็วสูง รถจะมีอาการ "โคลงตัว" น้อยอย่างไม่น่าเชื่อ เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 32 ผ่าน จ. นครสวรรค์ กำแพงเพชร และตาก เมื่อถึง อ. เถิน เลี้ยวซ้ายไปทาง อ. ลี้ เพื่อลัดตัดสู่ทางขึ้นดอยอินทนนท์ ที่ อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ เมื่อผ่านขึ้นดอยผ่านจุดตรวจที่ 2 เลี้ยวซ้ายไป อ. แม่แจ่ม อีก 21 กม. ทางช่วงนี้เป็นทางแคบที่ลาดชันและคดเคี้ยว ต้องใช้ความระมัดระวังสูง แต่ ฟอเรสเตอร์ ผ่านไปได้อย่างง่ายดายเรื่องเล่าโบราณ กว่าจะเป็น "แม่แจ่ม"
เดิมที อ. แม่แจ่ม หรือ "เมืองแจ๋ม" ที่เราคุ้นหูนั้น แต่เดิมชื่อว่า "เมืองแจม" มีเรื่องเล่าครั้งโบราณกาลว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระมหากัจจายนะ ได้จาริกผ่านมาทางยอดดอยอ่างกา (ดอยอินทนนท์) เช้าวันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ มีย่าลัวะเฒ่า (หญิงชราชาวลัวะ) คนหนึ่งนำปลาปิ้งเพียงครึ่งตัวมาใส่บาตรถวาย พระองค์ทอดพระเนตรด้วยความเมตตาและความสงสัย จึงตรัสถามว่า "แล้วปลาอีกครึ่งตัวละอยู่ไหน" ย่าลัวะตอบว่า "เก็บไว้ให้หลาน" พระองค์จึงทรงรำพึงว่า "บ้านนี้เมืองนี้มันแจมแต๊นอ" (เมืองนี้ช่างอดอยากจริงหนอ) ซึ่งต่อมาดินแดนนี้จึงได้ชื่อว่า "เมืองแจม" คำว่า "แจม" เป็นภาษาลัวะ แปลว่า มีน้อย ไม่พอเพียง หรือขาดแคลน ต่อมาเมื่อกลุ่มคนไท-ยวน (ไต) มาอยู่ จึงเรียกชื่อตามสำเนียงไท-ยวนว่า "เมืองแจ๋ม" และเพี้ยนเป็น เมืองแจ่ม หรือ "แม่แจ่ม" ที่หมายถึง เมืองแห่งความแจ่มใส จนถึงปัจจุบันนาข้าวขั้นบันได เอกลักษณ์ของแม่แจ่ม
อาชีพของคนแม่แจ่ม ส่วนใหญ่มักทำการเกษตร ปลูกข้าว ทำไร่ ทำนา และด้วยสภาพพื้นที่เป็นที่ราบสูงเสียส่วนมาก จึงต้องทำการปลูกข้าวแบบขั้นบันได จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนต่างถิ่นจดจำได้ดี นาขั้นบันไดบริเวณใกล้ๆ ตัว อ. แม่แจ่ม มี 2 จุด คือ บ้านแม่ปาน และบ้านกองกาน แต่ละจุดจะมีความสวยงามต่างกันไป นอกจากนี้ยังมี นาขั้นบันไดป่าปงเปียงอีกที่หนึ่ง แต่น่าเสียดายช่วงที่เราไปเขาไม่อนุญาตให้เข้า เนื่องจากทางถูกตัดขาด จากฝนตกหนักจุดชมวิวบ้านบนนา เห็นทั้งเมือง แบบพาโนรามา
จุดชมวิวนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 5 กม. โดยข้ามสะพานปูนที่ตลาดแม่แจ่ม แล้วเลี้ยวขวา จะเห็นทางขึ้นบ้านบนนาทางซ้ายมือ แต่ใครที่ไปจะต้องสังเกตจุดทางลงให้ดี เพราะไม่มีป้ายบอกจุดชมวิว ต้องชะโงกดูเอาเอง ถ้าตรงไหนพอมีทางลงเดินได้ ก็ลุยโลดครับวัดพุทธเอ้น โบสถ์น้ำโบราณ ที่ควรค่าอนุรักษ์
วัดพุทธเอ้น ตั้งอยู่ ต. ช่างเคิ่ง ชื่อเดิม คือ "วัดศรีสุทธาวาสเอิ้นมงกุฎ" มีตำนานเล่าว่า ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดเวไนยสัตว์ผ่านมา และทรงหยุดพักผ่อนที่ดอนสกานต์ (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดในปัจจุบัน) ได้ทรงตรัสเรียกหาพระอานนท์ ให้หาน้ำมาเสวย เมื่อเสวยเสร็จทรงบ้วนพระโอษฐ์ลง ณ บริเวณบ่อน้ำในปัจจุบัน ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นบ่อน้ำที่มีลักษณะน้ำบ้วนออกจากใต้พื้นดิน ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าบ้านเมืองจะแห้งแล้งเพียงใดก็ตาม ชาวเมืองแม่แจ่มจึงนิยมนำน้ำที่ไหลออกนี้ ไปดื่มกินกันเรื่อยมา ปัจจุบันก็ยังเห็นผู้คนนำถังน้ำแบบต่างๆ มารองใส่จนเป็นกิจวัตรประจำวันของคนเมืองนี้ไปเสียแล้ว นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปกร ตั้งแต่ปี 2524 คือ "โบสถ์น้ำ" เป็นโบสถ์ที่สร้างในสระสี่เหลี่ยมมีเสาปักอยู่ในน้ำ ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงดูงดงาม ด้านหลังมีวิหารเก่าแก่ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ ปัจจุบันเหลือเพียงภาพเดียว ที่บริเวณเหนือประตูด้านหลังวัดกองกาน มีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง
วัดกองกาน อยู่ห่างจากวัดพุทธเอ้น 2 กม. เป็นวัดสำคัญของชาวเมืองแม่แจ่ม เนื่องจากมี พระเจ้าตนหลวง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของคนแม่แจ่ม โดยประดิษฐานอยู่ในลักษณะนั่ง ถูกล้อมรอบด้วยตัววิหารไม้ หลังคามุงแป้นเกล็ดแบบโบราณ พระเจ้าตนหลวง องค์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนาอย่างชัดเจน และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในแม่แจ่มอีกด้วย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวแม่แจ่มจะมาสรงน้ำองค์พระเป็นประจำทุกปี และช่วงปีใหม่ มีพิธีสวดมนต์ข้ามปีอีกด้วยผ้าทอซิ่นตีนจก ทอกลับหัว สไตล์แม่แจ่ม
อาชีพหลักของคนแม่แจ่ม นอกจากทำนาปลูกข้าวแล้ว ยังมีหัตถกรรมที่สร้างชื่อให้กับ อ. แม่แจ่ม เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ "ผ้าทอตีนจก" หรือ "ซิ่นตีนจก" ด้วยเทคนิคการจกของที่นี่ เป็นการจกจากทางด้านหลังของลาย โดยคว่ำลายด้านหน้า ลงกับกี่ทอผ้า ผู้ทอสามารถผูกเงื่อนผ่านตรงหลังลายได้สะดวก และแน่นหนากว่า ทําให้เนื้อลายมีความละเอียด และประณีต ที่ ต. ท่าผา จะมีหมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจกมากกว่า 150 หลังคาเรือน ซึ่งแต่ละหลังจะมีเครื่องทออยู่ใต้ถุนบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชม และดูวิธีการทอได้เลย ถ้าชอบก็สามารถถามซื้อได้เลย ถือเป็นการช่วยสนับสนุนให้ผ้าตีนจกอยู่คู่กับแม่แจ่มไปนานๆชมการทำปิ่นปักผม ฝีมือลูกหลาน พ่ออุ้ยกอนแก้ว
ใน อ. แม่แจ่ม ที่ ต. ท่าผา มีช่างทำปิ่นปักผมทองเหลืองโบราณ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ และมีชื่อเสียงมากคนหนึ่งที่รู้จักกันดีในชื่อ "พ่ออุ้ยกอนแก้ว" ผมตั้งใจจะมาเยี่ยมท่าน เมื่อไปถึงจึงได้รู้ว่า ท่านเสียไปตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่ยังโชคดี ที่ลูกหลานของท่านได้สืบสานต่อจากพ่ออุ้ยกอนแก้ว ทำให้แม่แจ่ม ยังคงสามารถหาปิ่นปักผมได้ ซึ่งจากการที่ผมได้ใช้มือสัมผัส และได้เห็นกับตา ฝีมือของบรรดาหลานๆ นับว่าสูสีกับพ่ออุ้ยเหมือนกัน ใครผ่านมาแม่แจ่ม อย่าลืมไปเยี่ยมชม และอุดหนุนปิ่นปักผมกันนะครับ มีทั้งที่ทำด้วยทองเหลือง และเงิน ซึ่งมีหลายขนาดให้เลือก ราคาเริ่มที่ 100 บาทเท่านั้นเองวัดป่าแดด ภาพจิตรกรรมเก่าแก่ที่สุด
เมื่อออกจาก ต. ท่าผา ก็ต้องผ่าน วัดป่าแดด ซึ่งเป็นวัดที่มีวิหารเก่าแก่ สร้างขึ้นพร้อมการสร้างวัด ตั้งแต่ปี 2400 สิ่งที่น่าสนใจ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหาร ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยช่างแต้ม ชาวไทยใหญ่ ภาพเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องพุทธประวัติและเรื่องราวชาดก ด้านหลังวัดเป็นทุ่งนาผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตา สวยงามยิ่งนักแผนที่
ที่กิน
ใน อ. แม่แจ่ม ร้านอาหารส่วนมาก จะเป็นร้านเล็กๆ ริมทางแบบพื้นบ้าน แต่มีอยู่ร้านหนึ่งเมื่อมองไปต้องสะดุดตากับความโดดเด่นของซุ้มที่นั่ง ที่สำคัญคนเยอะเป็นพิเศษด้วย นั่นคือ ร้าน "เฮือนม่านมุก" ผมสั่งเมนูแนะนำอย่าง "ปลาช่อนน้ำตก" ที่ใช้ปลาช่อนนา ขนาดพอเหมาะ โดยแล่เอาเนื้อไปทอด แล้วนำมายำแบบน้ำตก รสชาติดีทีเดียว ต่อด้วย "แป้งนมย่าง" โดยนำเนื้อหมูเฉพาะส่วนที่เป็นราวนม มาย่างไฟอ่อนๆ แล้วจิ้มด้วยน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ รสชาติหวานกลมกล่อมดี เมนูต่อไป คือ "ปลาหมึกผัดไข่เค็ม" รู้ทั้งรู้ว่าไกลทะเล แต่อยากลอง ซึ่งรสชาติก็โอเคใช้ได้ และสุดท้ายต้องซดน้ำให้ลื่นคอด้วยเมนู "ต้มแซบไก่บ้าน" ที่ใช้เครื่องต้มแซบแบบครบๆ ซดร้อนๆ ลื่นคอยิ่งนักที่นอน
ก่อนถึงตัวเมืองแม่แจ่ม 1 กม. ผมสะดุดตากับที่พักข้างทางที่ชื่อ "บ้านวิวงาม" เพราะตั้งอยู่บริเวณทางลงเขา ผมเลี้ยวรถเข้าไปทันที เพราะดูทรงแล้วท่าทางวิวจะงามเหมือนชื่อ บ้านพักที่นี่มีด้วยกัน 5 หลัง เป็นบ้านสไตล์เหนือ หันหน้าไปที่วิวทุ่งนา ใน ต. ท่าผา มี 2 เตียงใหญ่ สามารถพักได้ถึง 4 คน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีครบถ้วน เจ้าของเป็นผู้ดูแลเอง ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี ในราคาเริ่มต้นที่ 700 บาทเท่านั้นขอขอบคุณ
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อพาหนะสำหรับการเดินทางครั้งนี้เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/138796