พิเศษ(4wheels)
7 กลเม็ดสู้ฝน "สุข" ได้ในรถคุณ
เมื่อเข้าสู่หน้าฝน รถยนต์ต้องได้รับการดูแลตรวจสอบเป็นพิเศษ ทั้งระบบปัดน้ำฝน สภาพยาง รวมถึงสัญญาณไฟต่างๆ ซึ่งเจ้าของรถต้องเรียนรู้ นอกจากนี้ยังต้องรู้ด้วยว่า ขับรถอย่างไรจึงจะปลอดภัยเมื่อเจอกับทัศนวิสัยเลวร้าย 4 WHEELS มีคำตอบ
ดอกยางรถยนต์ ต้องรีดน้ำได้ดี
ยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมชีวิตคนไว้กับพื้นถนน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน ดอกยางมีหน้าที่เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนน ไม่ให้รถลื่นไถลนอกเหนือจากการควบคุม และคอยรีดน้ำให้ออกจากหน้ายางโดยรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นรถจะมีอาการเหินน้ำ ซึ่งทำให้เสียหลัก บังคับทิศทางรถได้ยาก วิธีตรวจสอบยางเบื้องต้น ให้สังเกตที่เนื้อยางมีรอยแตกลายงา บวม และเป็นรอยบั้ง หรือไม่ ถ้ามี แสดงว่ายางเสื่อมคุณภาพแล้ว ต้องเปลี่ยน เพื่อความปลอดภัย และร่องของดอกยางต้องหนามากกว่า 3-4 มม. เพื่อให้รีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติมลมยางให้ได้มาตรฐานตามที่คู่มือระบุไว้เปลี่ยนใบปัดน้ำฝน พกอุปกรณ์ช่วยเหลือ
อายุการใช้งานของยางใบปัดน้ำฝนอยู่ที่ประมาณ 1 ปี เมื่อเสื่อมสภาพยางจะแข็ง ปัดน้ำไม่สะอาด มีเสียงดังเสียดสีกับกระจก แนะนำให้เปลี่ยนปีละครั้งก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพราะมีราคาไม่แพง และตรวจสอบระบบฉีดน้ำฝน ทั้งมอเตอร์ฉีดกระจก ถังพักน้ำ และหัวฉีดน้ำ ปัญหาที่พบบ่อย คือ ระบบทุกอย่างทำงานปกติ แต่ฉีดน้ำไม่ออก เนื่องจากไม่ได้ใช้งานนาน ฝุ่นและสิ่งสกปรกมักอุดตันที่หัวฉีดน้ำ ให้ใช้ปลายเข็มจิ้มไปที่รู เพื่อเอาสิ่งสกปรกออก และปรับทิศทางน้ำให้เหมาะสม อีกทั้งต้องหมั่นเติมน้ำในหม้อพักน้ำฉีดกระจกให้เต็มอยู่เสมอ เพราะเมื่อฝนตกในระยะแรก ฝุ่นที่ติดกระจกจะละลาย จำเป็นต้องใช้น้ำฉีดทำความสะอาดกระจก นอกจากนี้ให้พกอุปกรณ์ช่วยเหลือทั้งคนและรถเอาไว้ เช่น ร่ม เสื้อกันฝน รวมถึงกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือใส่ถาดยางรองพื้นกันพรมเลอะไว้ด้วย และพกสเปรย์ไล่ความชื้น เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด ในกรณีน้ำเข้าจานจ่าย คอยล์ กล่องควบคุมอีเลคทรอนิคส์ หรือขั้วแบทเตอรีมีความชื้น ก็ให้ฉีดเข้าไปยังอุปกรณ์ดังกล่าว จะช่วยไล่ความชื้นออกไปได้ จนสตาร์ทรถติดในที่สุดเคลือบกระจก เพิ่มทัศนวิสัยมองได้ชัดเจน
ถ้าอยู่ในช่วงหน้าฝน แนะนำให้ใช้แวกซ์เคลือบจะดีกว่า เพราะเมื่อฝนตก น้ำฝนจะจับกับผิวกระจกเป็นลักษณะเม็ดหยดน้ำ ทำให้ต้องใช้ใบปัดน้ำฝนปัดออกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเคลือบด้วยแวกซ์แล้วน้ำฝนจะไม่จับตัวเป็นเม็ดบนผิวกระจก และไหลออกจากกระจกอย่างรวดเร็ว ช่วยให้มีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น แถมไม่สะท้อน หรือหักเหแสงไฟจากรถคันหน้าตรวจเชคระบบเบรค
หมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเบรคอยู่เสมอ ให้อยู่ในระดับ FULL ถ้าน้ำมันขุ่น หรือเป็นสีดำ ให้เปลี่ยนใหม่ไปได้เลย ที่สำคัญอย่าลืมตรวจดูสายอ่อนเบรค (สายน้ำมันเบรคที่ต่อลงมายังลูกสูบจานเบรค) รั่วซึม ฉีกขาด และบวม หรือไม่ หากมีให้รีบเปลี่ยน เนื่องจากมีผลทำให้แรงดันน้ำมันเบรค อัดลงไปสู่ลูกสูบเบรคแต่ละล้อไม่เท่ากัน ฝั่งที่เบรคจับล้อได้เร็วกว่า น้ำหนักของรถจะถ่ายเทไปยังล้อนั้น ทำให้ไม่มีเสถียรภาพ เสียการทรงตัวได้ แม้จะมีระบบช่วยอย่าง เอบีเอส อีบีดี หรือ อีเอสพี ก็ตาม ถ้าเบรคแล้ว รถมีเสียงเหล็กดังเสียดสีบริเวณจานเบรค และเหยียบแป้นเบรคมีระยะที่ลึกผิดปกติ แสดงว่าผ้าเบรคสึกหรอ ให้เข้าตรวจเชค และเปลี่ยนผ้าเบรคอันใหม่ประเก็นและยางหุ้มเพลาก็สำคัญ
ตรวจเชคระบบรองรับ และช่วงล่าง โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เป็นยางหุ้มชิ้นส่วนต่างๆ อาทิ ยางหุ้มเพลา ยางหุ้มแรคพวงมาลัย เป็นต้น หากขาด หรือสายรัดหลุด น้ำจะเล็ดลอดเข้าไปด้านในได้ จนจาระบีหรือน้ำมันหล่อลื่นหลุดออกมาจนหมด ทำให้อุปกรณ์ได้รับความเสียหาย อีกทั้งให้ตรวจเชคการรั่วซึมของซีลและประเก็นต่างๆ เช่น อ่างน้ำมันเครื่อง อ่างน้ำมันเกียร์ ซีลข้อเหวี่ยง ซีลเกียร์ ซีลเพลาข้าง หรือแม้แต่ประเก็นเพลาท้าย ขืนปล่อยทิ้งไว้จนน้ำเข้า จะเสียค่าซ่อมอุปกรณ์เหล่านี้ แพงกว่าเปลี่ยนยางหุ้มหรือประเก็นมากกว่าหลายเท่าตัวใช้ไฟให้ถูกต้อง ไม่รบกวนผู้อื่น
เมื่อขับรถท่ามกลางสายฝน มีทัศนวิสัยที่เลวร้าย ให้เปิดระบบปัดน้ำฝน ให้มีความแรงที่เหมาะสม ปัดน้ำออกจากกระจกได้ทัน มองทางได้ดีขึ้น จากนั้นเปิดไฟส่องสว่าง (ห้ามเปิดไฟสูง) หากมองไม่เห็นท้ายรถคันหน้าในระยะ 50-100 เมตร ให้เปิดไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ แต่ถ้าทัศนวิสัยดีขึ้นก็ให้ปิดโดยทันที เพื่อไม่ให้แยงตาเพื่อนร่วมทาง ที่สำคัญ ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินขณะฝนตก เพราะทำให้ผู้ที่ขับรถบนท้องถนน ไม่สามารถรับรู้ถึงความต้องการว่ารถของเรา ต้องการจะเปลี่ยนเลนไปทางซ้าย หรือทางขวา เนื่องจากไฟเลี้ยวที่เปิดอยู่นั้นกะพริบควบคู่กับไฟฉุกเฉินที่เปิดไว้ รถคันอื่นจึงไม่รู้ว่ารถจะเปลี่ยนเลนไปทิศทางใด และยังส่งผลให้ดวงตาของผู้ขับขี่พร่าเบลอได้ จากการหักเหของแสงที่กระทบกับเม็ดน้ำฝนบนกระจกหน้ารถ หรือพื้นถนนที่มีน้ำขังสะท้อนเข้าสู่ดวงตาผู้ขับขี่ได้ลดความเร็ว ทิ้งระยะห่างจากคันหน้า
ขับรถแล้วเจอกับฝนตก ต้องลดความเร็ว ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้า อย่างน้อย 50 เมตร เพราะในช่วงที่ฝนตกแรกๆ ถนนจะเต็มไปด้วยดินโคลนที่เคลือบอยู่บนผิวถนน อาจทำให้รถเสียหลักลื่นไถลได้ง่าย ผู้ขับสามารถควบคุมรถได้ทัน ไม่ควรเปลี่ยนเลนหรือหักเลี้ยวกะทันหัน ไม่เบรคในระยะกระชั้นชิด หรือเหยียบเบรคหนักโดยไม่จำเป็น เพราะเป็นสาเหตุทำให้รถเสียหลักขับรถลุย "น้ำท่วม" ได้ถึงระดับไหน ?
ขับรถลุยน้ำ สิ่งแรกที่ต้องรู้ คือ ระดับความลึกของน้ำ ให้สังเกตจากรถคันหน้าที่มีความสูงใกล้เคียงกัน ถ้าระดับน้ำสูงถึงบริเวณขอบประตู ก็ไม่ต้องลุยต่อ เลี้ยวรถกลับไปยังเส้นทางที่น้ำไม่ท่วมจะดีกว่า เพราะเสี่ยงที่น้ำจะเข้ามาในห้องโดยสาร อีกทั้งหลีกเลี่ยงคลื่นน้ำจากรถที่สวนทางมา กระเด็นเข้าไปโดนจานจ่าย หรือกรองอากาศ ทำให้รถดับกลางทางได้ในที่สุด ในรถเกียร์ธรรมดา อย่าเหยียบคลัทช์ค้างไว้เพื่อเหยียบคันเร่งเลี้ยงรอบเครื่องให้สูง เพราะจะทำให้น้ำเข้าคลัทช์ จนคลัทช์ลื่น ให้ใช้เกียร์ต่ำรักษาความเร็วให้คงที่เรื่องโดย : พีรพัฒน์ อินทมาตย์
ภาพโดย : อินเตอร์เนท
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : พิเศษ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/128092