ประสาใจ
หากจะรัก
เมื่อปีพุทธศักราช 2449 นักประพันธ์ชาวเดนมาร์คคนหนึ่งชื่อ คาร์ล อโดลฟ์ เจลเลอรุป เขียนนิยายเรื่องหนึ่งเป็นภาษาเยอรมัน ชื่อว่า "DER PILGER KAMANITA" 5 ปีต่อมา จอห์น อี ลอกี ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วใช้ชื่อว่า "THE PILGRIM KAMANITA"
ภายหลังอีกไม่นาน เด็กนักเรียนไทยก็ได้บทเรียนเล่มหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหนังสือชื่อ "กามนิต-วาสิฏฐี" โดย เสฐียรโกเศศ นาคะประทีป เป็นผู้แต่งใช้คำภาษาไทยเรียบเรียงมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ
"ข้าพเจ้าชื่อ กามนิต เกิดที่กรุงอุชเชนี..."
นั่นคือ ต้นเรื่องราวของอาคันตุกะกามนิต ผู้ละบ้านเรือนเพื่อแสวงบุณย์ ได้เข้าพักแรมในบ้านช่างปั้นหม้อ พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยบังเอิญในห้องแรมคืนด้วยกัน แต่มิได้เฉลียวใจว่า นักพรตนั้นคือ พระศาสดาแห่งตนที่ตั้งใจเดินทางมาเฝ้าและถวายตัวเป็นศิษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนพระทัย กามนิต ทรงไต่ถาม และกามนิต ก็เล่าเรื่องราวของตน
กามนิต ได้รับการศึกษาครบถ้วนบริบูรณ์แทบทุกสาขา ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ อันวิชาความรู้ของ กามนิต นั้นเป็นที่พูดกันติดปากของประชาชนชาวอุชเชนีว่า
"เชี่ยวชาญเหมือนมาณพกามนิต ทีเดียว"
เมื่อายุ 20 ปี ติดตามราชทูตไปค้าขายกรุงโกสัมพี พักอยู่บ้านท่านประณาท เพื่อนของบิดา ได้เที่ยวกรุงโกสัมพี เพราะ โสมทัตต์ บุตรท่านประณาท ซึ่งมีคู่รักชื่อ เมทินี เป็นผู้นำเที่ยว
วันหนึ่งไปเที่ยวอุทยานพบ วาสิฏฐี ธิดาเศรษฐีช่างทอง สาวน้อยผู้เดาะคลี เกิดมีความรัก วาดภาพ วาสิฏฐี จากความทรงจำทั้งๆ ที่ไม่รู้จักชื่อ เมื่อ โสมทัตต์ ทราบปัญหา ก็ช่วยเหลือ เพราะคู่รักที่ชื่อ เมทินี เป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องกับ วาสิฏฐี กามนิต จึงมีโอกาสได้พบบนลานอโศก
กามนิต เห็นว่า วาสิฏฐี เพียบพร้อมทั้งรูปร่างและความรู้ เมื่อตนเขียนกวีกลบทไปพร้อมกับภาพวาด นางก็ตอบกลับมาเฉกเช่นผู้รู้กลบทแห่งกวีที่เขียนไปถึง
ดังนั้น กามนิต และวาสิฏฐี จึงต่างเข้าใจและหยั่งรู้สึกถึงความรักโดยไม่ช้า
"ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดำดั่งสีนิลเหมือนดั่งสีศอพระศิวะ ผู้ทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย" วาสิฏฐี กล่าวกับ กามนิต
"ความรักแท้จริง ต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุด เพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่"
"และเพราะด้วยความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือ ความขื่นขมไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่น คือ มุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว"
เพียงรัตติกาลเดียว หาอิ่มไม่สำหรับความรักบนลานอโศกของคนทั้งสอง แต่โชคร้ายเพราะท่านราชทูตสั่งเตรียมตัวกลับกรุงอุชเชนีในวันรุ่งขึ้น พิษสงแห่งรักทำให้ กามนิต ต้องโป้ปดมดเท็จขอเลื่อนการเดินทาง ซึ่งท่านราชทูตก็ยอมเลื่อน แต่อานุภาพแห่งรักเหนือกว่านั้นเมื่อ กามนิต ยอมให้ราชทูตตำหนิในความเป็นเด็กดื้อ ไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกับท่าน
กามนิต มีความสุขกับ วาสิฏฐี ทุกค่ำคืน จนคืนหนึ่งถูกลอบทำร้าย ผู้ที่ทำร้าย คือ สาตาเคียร บุตรท่านประธานมนตรีโกสัมพี เป็นผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งเคยแย่งคลีกับ กามนิต มาแล้วในอุทยานวันนั้น
นับแต่คืนนั้น วาสิฏฐี ก็ถูกกักบริเวณ นางเตือนให้ กามนิต เดินทางกลับบ้าน ด้วยเกรงอันตรายร้ายแรงจะมาถึง
ทั้งสองลอบพบกันอีกครั้งที่บ้านร้างของหญิงวิเศษ ซึ่งทำนายวันข้างหน้าของคนทั้งสองว่าเป็นเหตุการณ์ไม่มงคล
วาสิฏฐี กล่าวกับ กามนิต ว่าโลกนี้มีแต่สิ่งมายา ไม่แน่นอน สวรรค์เท่านั้นเป็นโลกใหม่ที่เราสองคนจะได้พบกันอย่างแท้จริง
วาสิฏฐี ให้ กามนิต เพ่งดวงตามองดูแม่น้ำคงคา มุ่งดวงจิตให้แน่วแน่เพื่อเตรียมการไปประสบความสุขนิรันดร์บนสวรรค์
กามนิต เดินทางกลับกรุงอุชเชนี ระหว่างพักแรมกลางทาง ถูกกองโจรองคุลิมาลปล้นสะดม กามนิต เสียทีถูกจับสิ้นอิสรภาพ สังเกตเห็นโจรคนหนึ่ง สูงใหญ่ เคราดก ที่ลำคอมีนิ้วมือคนร้อยเป็นพวง คล้องไว้สามสาย โจรคนนี้ไม่ได้กินเหล้าเมายาเช่นบรรดาโจรที่ร่วมงานกันคืนนั้น
กองโจรองคุลิมาล ปล่อยตัวคนใช้เก่าแก่ของ กามนิต เพื่อเรียกค่าไถ่ กามนิต ต้องอยู่กับโจรเป็นเดือน เพื่อรอค่าไถ่ ได้มีชีวิตอยู่กับกองโจร หวุดหวิดจะถูกฆ่าก็หลายครั้ง เคราะห์ดีที่ในกองโจรมีคนหนึ่งหัวโล้นชื่อ วาชศรพ ทำหน้าที่ประหนึ่งเป็นพระภิกขุแสดง รหัสยลัทธิ อรรถกถาที่สำคัญ แก่พวกโจรทั้งหลายทุกคืนวันพระ
"ผู้ใดเข้าใจว่า ตนเป็นผู้ประหาร ผู้ใดสำคัญว่าตนเป็นผู้ถูกประหาร ทั้งสองผู้นั้น ย่อมไม่รู้แจ้ง แท้จริงไม่มีใครประหาร ไม่มีใครถูกประหาร ฉะนั้น เธอจงเริ่มรบเถิด"
หลักสูตรนี้ คือ ร่างกายคนเป็นความว่างเปล่า เป็นอนุปรมณู เมื่อ กามนิต ฟันคนก็เท่ากับฟันความว่างเปล่า ไม่ได้ประหารใคร
วาชศรพ ซึ่งถูกชะตากับ กามนิต บอกว่า กามนิต ไม่มีดวงถูกฆ่าจากเหล่าโจร ซึ่งก็เป็นจริง เพราะคนรับใช้ของ กามนิต นำเงินค่าไถ่มาทันเวลาที่กำหนด กามนิต จึงได้กลับกรุงอุชเชนี
ต่อมา กามนิต ก็อ้อนวอนบิดาเพื่อไปค้าขายยังกรุงโกสัมพีอีก แต่บิดาไม่อนุญาต จนกระทั่งมีข่าวว่า สาตาเคียร สามารถปราบกองโจรองคุลิมาล ราบคาบ บิดาจึงไม่ห้ามปราม
กามนิต เดินทางไปถึงโกสัมพีในวันที่ สาตาเคียร เข้าพิธีแต่งงาน และเจ้าสาวของเขาที่อยู่บนหลังช้างในขบวนแห่รอบเมือง ก็คือ วาสิฏฐี เมื่อเห็นเช่นนั้น กามนิต ถึงกับหมดสติล้มลง ชาวเมืองคิดไปว่า กามนิต ทนความร้อนไม่ได้
ที่สุด ค้าขายเสร็จแล้วก็กลับอุชเชนีด้วยความระทม พฤติกรรมของชายหนุ่มเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ มัวเมากับความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ จนมีคำพูดติดปากชาวอุชเชนีว่า "รวดเร็วปาน กามนิต หนุ่ม"
อันที่จริง ชาวอุชเชนีมีคำพูดติดปากหลายเรื่อง แม้ กามนิต มีภรรยาสองคน รักใคร่กลมเกลียวกันดี ก็ยังเอามาพูด
ต่อมา กามนิต ได้พบพระรูปหนึ่งมาโปรดสัตว์ที่บ้าน ถูกภรรยาทั้งสองของตนชี้หน้าไล่และด่าว่า เจ้าชีโล้นออกไป...ซึ่งนักพรตผู้มีร่างกายกำยำนั้น กลับแสดงอาการสงบนิ่ง กามนิต จึงขอโทษ
"ดูก่อน ท่านคฤหบดี" พระผู้นั้นพูด "อาตมาจะโกรธต่อผรุสวาทได้อย่างไร เพราะพระศาสดาได้ตรัสสอนว่า ...ดูกร สาวกทั้งหลาย แม้ร่างกายจะถูกโจรผู้ร้ายเลื่อยขาดเป็นท่อนๆ ก็ดี ถ้ายังมีโทสะอยู่ ก็ยังไม่ถึงทางที่ปรารถนา..."
ได้ยินเสียง ก็จำได้ว่า ที่แท้นักพรตนั้นคือ องคุลิมาล ตกใจรีบกลับเข้าไปเตรียมของมาใส่บาตร แต่พอกลับออกมาก็ปรากฏว่า นักพรตผู้นั้นหายไปแล้ว กามนิต พยายามบอกใครต่อใครว่า องคุลิมาล ที่เข้าใจว่าตายแล้วนั้น ยังไม่ตาย ไม่มีใครเชื่อ
ความวุ่นวายจากภรรยาทั้งสอง ระคนกับภาวะจิตที่ไม่นิ่งของ กามนิต ในท้ายที่สุด กามนิต ก็ระลึกได้ว่า ควรละบ้านเรือนไปแสวงบุณย์ เป็นเหตุให้มาถึงบ้านช่างปั้นหม้อ
กามนิต เล่าเรื่องของตนแล้วก็กล่าวว่า ต้องการพบพระสมณโคดมศากยะบุตรเพียงท่านเดียว หากได้พบก็จะถวายตัวเป็นศิษย์ เท่าที่ทราบ พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ที่สวนเชตวัน
สุดท้าย กามนิต ซึ่งลนลานรีบออกจากบ้านช่างปั้นหม้อไปด้วยหวังที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ถูกโคในกรุงราชคฤห์ขวิดจนเสียชีวิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบจากการถวายรายงานของพระสารีบุตร กับพระอานนท์ ที่นำพระภิกษุไปเฝ้าที่บ้านช่างปั้นหม้อ และพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
"อาคันตุกะ กามนิต เป็นผู้ที่โง่เขลา หลงผิด คล้ายเด็กดื้อ"
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ชายอาคันตุกะผู้นี้สืบเสาะหาเรา เพื่อจะขอเป็นสาวกศึกษาหลักธรรม เราตถาคตเล็งเห็นอุปนิสัยแล้ว จึงแสดงหลักธรรมพอเป็นปัจจัย ในที่สุดก็สมเหตุ คือ เขาแสดงความไม่พอใจ ดิ้นรนฝักใฝ่อยู่ในกามสุขทิพยารมณ์ และเพราะจิตยึดหน่วงเอาเราตถาคตเป็นอารมณ์คู่กันไปด้วย"
"ณ บัดนี้ ไปเกิดอยู่ในสุขาวดีแดนสวรรค์ตะวันตกแล้ว และจะเสวยกามาพจรสุขอยู่ในนั้น นับเวลาได้หลายโกฏิปี"
นี้เป็นสุดยอดนิยายแห่งความรัก ผมเคยทำโฆษณาเป็นวาระพิเศษให้ภาพยนตร์รักเรื่องหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์พาราเมาท์ เรื่อง LOVE STORY ใช้สโลแกนว่า
"หากจะรัก ต้องรู้จักลืมคำว่า เสียใจ..."
เรื่องโดย : ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : ประสาใจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12790