ระเบียงรถใหม่
ASTON MARTIN DB11
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คัดเลือกแต่รถสปอร์ทล้วนๆ มานำเสนอใน "ระเบียงรถใหม่" ที่พิเศษกว่าครั้งอื่นๆ ก็คือ รถสปอร์ททุกแบบทุกรุ่นที่เลือกมา ล้วนเป็นรถที่เรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำและไม่ต้องลังเลเลย ว่าเป็นรถระดับ "ซูเพอร์คาร์" ในจำนวนนี้ 4 คันแรกเป็นรถซึ่งเพิ่งอวดตัวแบบ "WORLD PREMIERE" หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 86 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วน 2 คันหลังตามติดมาไม่กี่วันหลังจากนั้น คือ ที่งานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์คครั้งล่าสุดปลายเดือนเดียวกัน
เปิดระเบียงด้วย แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 11 (ASTON MARTIN DB11) ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดของค่าย แอสตัน มาร์ทิน ลากอนดา ลิมิเทด (ASTON MARTIN LAGONDA LIMITED) ผู้ผลิตรถยนต์แก่เก่าเล่ายี่ห้อของเกาะอังกฤษ ซึ่งประกอบกิจการมานมนานตั้งแต่ปี 1913 และเปลี่ยนมือผู้เป็นเจ้าของกิจการมาแล้วหลายครั้งหลายหน รถยนต์แบบแรกที่ค่ายนี้ผลิตออกจำหน่ายโดยติดป้ายชื่อ แอสตัน มาร์ทิน คือ แอสตัน มาร์ทิน สแตนดาร์ด สปอร์ทส์ (ASTON MARTIN STANDARD SPORTS) ซึ่งอยู่สายการผลิตระหว่างปี 1921-1925 ส่วนรถแบบแรกที่ใช้ชื่อ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี (ASTON MARTIN DB) ต้องรอจนถึงปี 1948 อันเป็นยุคสมัยที่เจ้าของกิจการ คือ เซอร์ เดวิด บราวน์ (DAVID BROWN) ผู้ยิ่งใหญ่และที่มาของชื่อรุ่น DB
รถรหัส DB รุ่นแรก คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 1 (ASTON MARTIN DB1) ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร อยู่ในตลาดระหว่างปี 1948-1950 และขายได้เพียง 15 คัน ก่อนมีรถ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 2 (ASTON MARTIN DB2) มาแทนที่ในปี 1950 รถรุ่นใหม่นี้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 2.6 ลิตร มีทั้งตัวถังคูเป 2 ที่นั่ง ตัวถังเปิดประทุน 2 ที่นั่ง และมียอดผลิตรวม 411 คัน ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปี (1950-1953)
แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 2/4 (ASTON MARTIN DB2/4) ตามติดมาในปี 1953 และมียอดผลิตรวม 764 คัน ในช่วงเวลาประมาณ 4 ปีที่อยู่ในสายการผลิต (1953-1957) ก่อนจำใจต้องเปิดทางให้แก่รถรุ่นใหม่ คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี มาร์ค ธรี (ASTON MARTIN DB MARK III) ในปี 1957 รถรุ่นนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 2.9 ลิตร มีทั้งตัวถังแฮทช์แบค 2+2 ที่นั่ง ตัวถังคูเป 2 ที่นั่ง ตัวถังเปิดประทุน 2 ที่นั่ง และมียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 551 คัน ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปี
แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 4 (ASTON MARTIN DB4) เผยโฉมในตัวถังคูเปขนาด 4.496x1.676x1.334 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดเมื่อปี 1958 รถรุ่นนี้ยังคงใช้ระบบวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหลังเหมือนรถรุ่นก่อนๆ แต่เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นเครื่องเบนซิน 6 สูบเรียง 3.7 ลิตร 240 แรงม้า และมียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1,210 คัน ในช่วงเวลาประมาณ 5 ปีที่อยู่ในสายการผลิต (1958-1963)
แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 5 (ASTON MARTIN DB5) ซึ่งมียอดผลิตรวม 1,023 คัน ปรากฏตัวในปี 1963 และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเพราะได้รับบทบาทในภาพยนตร์ชุดสายลับ 007 ตอน GOLDFINGER ซึ่งมีชื่อในภาคไทยว่า จอมมฤตยู 007 ส่วนรถรุ่นถัดไป คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 6 (ASTON MARTIN DB6) ตามมาในปี 1965 และมียอดผลิตรวม 1,967 คัน ก่อนมีรถใหม่อีกรุ่นหนึ่ง คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบีเอส (ASTON MARTIN DBS) ตามมาในปี 1967 และมียอดผลิตรวม 787 คัน ในช่วงปี 1967-1972
ชื่อ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี หลุดจากบัญชีรายชื่อสินค้าไป 2 ทศวรรษเต็มก่อนได้เห็นกันอีกในรถ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 7 (ASTON MARTIN DB7) ผลงานออกแบบของคนดัง เอียน คอลลัม (IAN CALLUM) ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 1993 มีทั้งตัวถังคูเปตัวถังเปิดประทุน และมียอดผลิตสูงเป็นประวัติการณ์ คือ มากกว่า 7,000 คัน ในช่วงปี 1994-2004 ที่อยู่ในสายการผลิต
ยังค้นหาเหตุผลไม่พบว่าทำไมจึงไม่มี แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 8 (ASTON MARTIN DB8) ทราบแต่เพียงว่ารถรุ่นถัดมา คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 9 (ASTON MARTIN DB9) ซึ่งมีทั้งตัวถังคูเปและตัวถังเปิดประทุน ขนาด 4.720x1.875x1.282 ม. ผลงานรังสรรค์ชิ้นโบว์แดงของ เฮนริค ฟิสเกอร์ (HENRIK FISKER) นักออกแบบชาวเดนมาร์ค เริ่มออกโชว์รูมเมื่อปี 2004 และผ่านการปรับปรุงมาแล้ว 2-3 ครั้ง ก่อนถึงกำหนดปลดจากสายการผลิตในปี 2016 แล้วแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ คือ แอสตัน มารทิน ดีบี 11 (ASTON MARTIN DB11) ที่กำลังอวดรูปทรงองค์เอวอยู่ในขณะนี้
คำถาม คือ แล้ว แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 10 (ASTON MARTIN DB 10) หายไปอยู่ที่ไหน ? คำตอบ คือ รถชื่อนี้ทำขึ้นเพียงไม่กี่คัน เพราะไม่ได้ตั้งใจทำขาย แต่เพื่อใช้อวดพลานุภาพในภาพยนตร์สายลับ 007 ตอนล่าสุด (ตอนที่ 24) คือ SPECTRE ที่ผ่านสายตานักดูหนังแอคชันในบ้านเราไปเรียบร้อยแล้ว
รถรหัส DB รุ่นล่าสุด คือ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 11 (ASTON MARTIN DB11) เป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ มานมนาน แต่ตัวจริงเสียงจริงเพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาเมื่อต้นเดือนมีนาคมของปีหนุมานชาญสมรนี่เอง ตัวถังยาว 4.739 ม. กว้าง 2.060 ม. และสูง 1.279 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้ 2+2 คน เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานที่มี มาเรค รีชแมน (MAREK REICHMAN) นักออกแบบชาวอังกฤษวัยครึ่งศตวรรษเป็นผู้นำ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวเมื่อมองจากด้านหน้าแบบเฉียงๆ คะแนนเต็ม 10 ให้ได้ไม่น้อยกว่า 9 แต่เมื่อมองจากด้านหลังสมควรหัก 1 คะแนน ไม่น่าจะมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตามวิจารณ์กันในเมืองผู้ดีว่า จุดสำคัญที่สุดของรถรุ่นใหม่นี้ไม่ใช่ตัวถัง หากเป็นสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้า คือ เครื่องยนต์ที่ค่ายนี้เพิ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 12 สูบ 5,204 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุดสูงกว่าเครื่องยนต์แบบใดๆ ที่เคยติดตั้งในรถรหัส DB คือ สูงถึง 447 กิโลวัตต์/608 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF เปิดรับการสั่งจองไปเรียบร้อยแล้ว และยืนยันว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2016 รถคันแรกจะเดินทางถึงมือผู้สั่งจอง
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต รถสปอร์ทซูเพอร์คาร์ค่าตัว 154,900 ปอนด์อังกฤษ หรือเท่ากับประมาณ 7.75 ล้านบาทไทย รุ่นนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 322 กม./ชม. ทั้ง 2 ตัวเลขเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีรถรหัส DB รุ่นใดๆ ทำได้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
[table]
ASTON MARTIN DB11
รถสปอร์ทซูเพอร์คาร์วางเครื่องหน้า/ขับล้อหลัง
เครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน วี 12 สูบ 447 กิโลวัตต์/608 แรงม้า
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF
0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 322 กม./ชม.
ค่าตัวในอังกฤษ 154900 ปอนด์ (ประมาณ 7.75 ล้านบาท)
[/table]
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ผู้จัดงานและบริษัทผู้ผลิต
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/122722