แคมเปญ “ปั่นเพื่อแม่” สร้างปรากฏการณ์

ณ วันที่ 25 กรกฎาคม ที่เขียนต้นฉบับนี้อยู่มีผู้เข้าชมเวบไซท์ BIKE FOR MOM รวม 823,961 คน นับถอยหลังจากวันนี้ถึงวัน “ปั่นเพื่อแม่” ซึ่งเป็นวันที่ 16 สิงหาคม ก็เป็นเวลา 21 วัน มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมปั่นทั่วประเทศ 300,000 คน ในกรุงเทพ ฯ มี 40,000 คน ในวันที่ 1 กค. ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้ลงทะเบียนผ่านทางเวบไซท์ www.BIKEFORMOM2015.com คนกระหน่ำลงทะเบียนจนเวบไซท์ล่มตั้งแต่ช่วงเช้า และหลังจากที่เปิดให้ลงทะเบียนเพียง 3 ชม. บางพื้นที่มีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวนอย่างรวดเร็ว อาทิ จุดลงทะเบียนลานพระราชวังดุสิต ร.1 รอ. และสนามกีฬากองทัพบก เป็นต้น หลังจากนั้นมีการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ อย่างครบถ้วน และทั่วถึงทั่วประเทศ มีการใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดีย และสื่อทเรดิชันแนล มีเดีย อย่างชนิดไม่หลงลืมสื่อไหนเลย เวบไซท์ BIKE FOR MOM มีผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก มีป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ มากมาย ที่น่าทึ่งที่สุดคงจะเป็นภาพขนาดใหญ่ประมาณ 3x4 เมตร ใส่กรอบอย่างดีติดอยู่บนรั้วของไซท์ก่อสร้างแห่งหนึ่งบนถนนพระราม 4 ไม่ต่ำกว่า 8 ภาพ มีการประชาสัมพันธ์ด้วยการให้พิธีกรรายการต่างๆ ใส่เสื้อ BIKE FOR MOM ทุกสถานีโทรทัศน์ เรียกว่าไปที่ไหนก็เตือนตาเตือนใจอยู่ตลอดเวลา ผู้เขียนคิดว่านี่เป็นปรากฏการณ์ของแคมเปญพีอาร์ และการตลาดที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ซึ่งถ้าคำนวณเป็นเม็ดเงินโฆษณาแล้วน่าจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับแชมพู ซันซิล ของ ยูนิลีเวอร์ หรือรถยนต์ โตโยตา ใช้ในแต่ละไตรมาส มีการสื่อสารใจความสำคัญ 3 ประเด็นอย่างสม่ำเสมอชัดเจนจนทำให้ผู้รับรู้จดจำขึ้นใจ แม้แต่เด็กๆ ก็จำได้ ถ้าครูจะทดสอบว่าจุดมุ่งหมายหลักของงานนี้ คือ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน สร้างความสมานสามัคคีให้คนในชาติ และเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ณ วันที่เขียนคือวันที่ 25 กค. เป็นวันที่คนที่ลงทะเบียน 40,000 คนในกรุงเทพ ฯ ได้นำหมายเลขที่ลงทะเบียนไว้ และบัตรประชาชนไปรับเสื้อกับเข็มกลัดพระราชทาน ขั้นตอนได้วางไว้อย่างรัดกุมเป็นขั้นเป็นตอน เรียกว่าต้องเฉพาะคนที่อยากปั่นจริงๆ เท่านั้นจึงจะได้ปั่น เพราะต้องทำทีละขั้น ใช่ว่าไปถึงก็ปั่นได้เลย ไปซื้อเสื้อมาจากไหนก็ได้ จากนี้ไปอีก 21 วันคาดว่าจำนวนผู้ลงทะเบียนจะทวีขึ้นอีก อาจจะเท่าตัว และจะมีแนวร่วมต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมายเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญนี้ จะมีประชาชนนัดหมายกับกลุ่มและองค์กรของตนชวนกันไปร่วมปั่นเพื่อแม่ และการรับรู้เรื่องการขี่จักรยานจะสูงขึ้น และแน่นอนจักรยานจะขายดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาว ผู้เขียนเองหวังอย่างยิ่งว่ามันจะส่งผลไปถึงการสร้าง INFRASTRUCTURE ที่ยั่งยืนสำหรับการขี่จักรยานในประเทศไทย หวังว่าจะมีการรวมตัวของนักจักรยาน เป็นสมาคมนักจักรยาน เรียกร้องให้ กทม. และเทศบาลในจังหวัดต่างๆ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่จักรยานอย่างถาวร ผู้เขียนหวังว่าแรงจูงใจจากการต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการปั่น จะทำให้คนจำนวนมากหันมาขี่จักรยานเป็นกิจวัตรต่อเนื่องต่อไปหลังจากแคมเปญนี้จบลงแล้ว คนที่จะร่วม “ปั่นเพื่อแม่” มีทั้งนักปั่นรุ่นเก๋า ที่ปั่น 40 กม. ในแต่ละครั้งแบบชิลล์ๆ กับนักปั่นรุ่นใหม่ที่ “อยากร่วมกับเขาบ้าง” แต่ขาดความรู้และความชำนิชำนาญ ผู้เขียนก็หวังว่าจะมีการดูแลใส่ใจสวัสดิภาพที่ดีของคนกลุ่มหลังนี้ จะได้มีกำลังใจขี่จักรยานกันต่อไป เพื่อนๆ นักเรียนเก่าของผู้เขียนมีกลุ่มไลน์ ในกลุ่มนี้มีผู้พิพากษาซึ่งอายุเลย 60 ปี แต่ปั่นจักรยานมาเกินกว่า 10 ปี จนขี่ 40 กม. สบายๆ กับเพื่อนที่เพิ่งจะเรียนรู้ตั้งแต่การซื้อจักรยาน คนเก๋าก็ถ่ายทอดความรู้ให้คนที่จะเพิ่งเริ่มขี่ละเอียดยิบทางไลน์นี่แหละ คาดว่าในอีก 21 วันคงจะทันไป “ปั่นเพื่อแม่” ด้วยกัน ช่วงเย็นอ่านไลน์ดูหน่อยเพื่อนผู้พิพากษาได้เสื้อมาหรือยัง ท่านบอกว่าไม่ต้องไปรับที่ถนนวิภาวดี เขามีไว้ให้ แต่ต้องไปทำพิธีรับที่ศาลเพราะเป็นโควตาหน่วยงาน แยกต่างหากจากการลงทะเบียนทั่วๆ ไป อันที่จริงคนไทยก็ใส่ใจสุขภาพกันดีพอสมควรทีเดียวแหละ ก๊วนวิ่งมาราธอนก็มีคนร่วมด้วยมาก ก๊วนจักรยานก็ยิ่งมากกว่า ปรากฏการณ์ “ปั่นเพื่อแม่” คราวนี้ก็ด้วยพระปรีชาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ที่ทรงนำสิ่งที่ง่ายๆ และคนชอบมาต่อยอดให้พสกนิกรสามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วยมากมาย ชวนกันไปปั่นจักรยานใครๆ ก็ไปได้ แต่การที่ทรงนำเอาการปั่นจักรยานมาเป็นสื่อให้คนร่วมใจกันด้วยการบริหารจัดการ และประชาสัมพันธ์ครบเครื่องแบบนี้ ใครที่มองไม่ทะลุ และไม่มีบารมีก็จะทำไม่ได้ขนาดนี้แน่นอน กว่าจะถึงวันที่หนังสือตีพิมพ์ งาน “ปั่นเพื่อแม่” ก็คงจบไปแล้ว และเป็นอีกหนึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ ที่ทั้งผู้เข้าร่วมและผู้ชมจะจดจำไปอีกนาน