ธุรกิจ
สหรัฐอเมริกา-ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี (FORD MOTOR COMPANY) ยักษ์รองเมืองมะกัน อวดเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย นำรถพันทาง (HYBRID VEHICLE) แบบใหม่ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์วอชิงทัน พร้อมยืนยันว่า 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสออกจำหน่ายในตลาด
ฟอร์ด อวดเทคโนโลยีรถพันทางปลอดไอพิษ ประหยัดสุดประโยชน์สูง
สหรัฐอเมริกา-ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี (FORD MOTOR COMPANY) ยักษ์รองเมืองมะกัน อวดเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย นำรถพันทาง (HYBRID VEHICLE) แบบใหม่ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์วอชิงทัน พร้อมยืนยันว่า 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสออกจำหน่ายในตลาด
ยักษ์รอง ฟอร์ด ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยนำรถแนวคิดขับเคลื่อนด้วยระบบพันทาง ฟอร์ด แอร์สตรีม คอนเซพท์ (FORD AIRSTREAM CONCEPT) ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงาน ก้าวเดินหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง โดยเปิดตัวรถพันทาง ฟอร์ด เอดจ์ ไฮบริด (FORD EDGE HYBRID) พร้อมประกาศยืนยันว่าเป็น THE WORLD'S FIRST DRIVABLE FUEL CELL HYBRID ELECTRIC PLUG-IN หรือ รถพันทางไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงคันแรกในโลกที่วิ่งได้จริง
รถพันทางคันที่ว่านี้ ใช้ตัวถังของรถตลาด ฟอร์ด เอดจ์ (FORD EDGE) ซึ่งเป็น SUV (SPORT UTILITY VEHICLE) หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง 5 ประตู/5 ที่นั่ง ที่เพิ่งออกจำหน่ายในตลาดเมืองมะกันเมื่อปลายปี 2006 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2007 แต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายๆ จุด รวมทั้งระบบขับเคลื่อน
ระบบขับเคลื่อนแบบพันทางที่ ฟอร์ด นำมาใช้ในรถคันพิเศษคันนี้ เป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในรถแนวคิด ฟอร์ด แอร์สตรีม คอนเซพท์ เป็นระบบที่รถจะวิ่งไปด้วยพลังไฟฟ้าจากหม้อแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 336 โวลท์ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีพลังเสริมจากเครื่องยนต์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซล
แบทเตอรีที่กล่าวข้างต้นสามารถประจุไฟด้วยไฟบ้าน 110 หรือ 220 โวลท์ และการประจุไฟเต็มที่แต่ละครั้ง จะทำให้รถวิ่งได้ไกลประมาณ 40 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. เมื่อไฟหมดหม้อ FUEL CELL หรือ เซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งติดตั้งอยู่ในรถก็จะเริ่มทำงานและประจุไฟเข้าหม้อแบทเตอรีโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้รถวิ่งต่อไปได้อีกเป็นระยะทางประมาณ 320 กม. โดยปลอดจากสารพิษใดๆ และเมื่อเทียบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับรถเครื่องยนต์เบนซินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ก็จะได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ระดับ 17.4 กม./ลิตร
ฟอร์ด ตั้งชื่อระบบขับเคลื่อนพันทางแบบนี้ว่า ไฮซีรีส์ ดไรฟ (HYSERIES DRIVE) และกล่าวอ้างด้วยว่า เป็นระบบที่สามารถลดขนาด น้ำหนัก ราคา และความยุ่งยากต่างๆ ได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับระบบเซลล์เชื้อเพลิงอื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป โดยเก็บแกสไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเซลล์เชื้อเพลิง ในถังบรรจุขนาด 4.5 กก.และเก็บไว้ที่ความดัน 350-BAR หรือ 350 เท่า ของความดันบรรยากาศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเดียวของการนำรถพันทางแบบนี้ออกจำหน่ายในตลาด คือ ราคา เนื่องจาก ทั้งแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน และเซลล์เชื้อเพลิง ล้วนมีราคาสูง และทำให้ค่าตัวของรถพันทางแบบนี้อยู่ที่ระดับหลายล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งยังมีปัญหาอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์และสิ่งที่จำเป็นในการเติมแกสไฮโดรเจนอีกต่างหาก
จึงคาดหมายกันว่า ความเป็นจริงที่น่าจะเป็นไปได้ ก็คือ ภายในปี 2008 ฟอร์ด อาจจะนำรถพันทางแบบนี้ออกจำหน่ายในตลาด โดยแทนที่เซลล์เชื้อเพลิงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซลขนาดเล็ก ซึ่งจะทำหน้าที่ประจุไฟเข้าหม้อแบทเตอรีแทนเซลล์เชื้อเพลิง
บีเอมดับเบิลยู กรุพ สร้างสถิติใหม่ยอดขายทั่วโลกตลาดเอเชียยอดขายเพิ่มร้อยละ 13.8 เป็น 127,000 คัน
สิงคโปร์-บีเอมดับเบิลยู แห่งเยอรมนี เปิดแถลงข่าวในเมืองลอดช่อง ระบุยอดขายรถทั่วโลกในรอบปี 2006 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเฉพาะในตลาดเอเชียสามารถยึดครองตำแหน่งผู้นำของรถยนต์นั่งระดับพรีเมียมติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยที่ตลาดจีนมียอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 35.4 และตลาดไทยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 9
ดร. มิคาเอล กานัล (DR. MICHAEL GANAL) กรรมการบริหารของ BMW AG แห่งเยอรมนี เปิดแถลงข่าวครั้งใหญ่ที่สิงคโปร์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าในรอบปี 2006 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป กลุ่ม บีเอมดับเบิลยู กรุพ (BMW GROUP) ซึ่งมีรถอยู่ในเครือข่ายรวม 3 ยี่ห้อ คือ บีเอมดับเบิลยู (BMW) มีนี (MINI) และ โรลล์ส-รอยศ์ (ROLLS-ROYCE) สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.37 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากตัวเลขในปี 2005 จำนวนดังกล่าวนี้แยกออกได้เป็นรถ บีเอมดับเบิลยู 1.19 ล้านคัน มีนี 188,000 คัน และ โรลล์ส-รอยศ์ 805 คัน
เฉพาะในตลาดเอเชีย บีเอมดับเบิลยู กรุพ สามารถยึดครองตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของรถยนต์ระดับพรีเมียมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยขายรถ บีเอมดับเบิลยู ได้รวมทั้งสิ้น เกือบ 110,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.5 จากตัวเลขในรอบปี 2005 กับขายรถ มีนี ได้เกือบ 17,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 และรถ โรลล์ส-รอยศ์ 142 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39 จากยอดขายในรอบปี 2005
ภูมิภาคจีน ซึ่งรวมทั้งแผ่นดินใหญ่จีน ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน นับเป็นภูมิภาคที่ยอดขายของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ เติบโตสูงที่สุดในเอเชีย โดยทำยอดขายได้ถึง 44,700 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.4 จากยอดขาย 33,020 คัน ในรอบปี 2005 และที่น่าสังเกต ก็คือ แผ่นดินใหญ่จีนกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 (BMW 7-SERIES) โดยทำยอดขายได้ถึง 7,522 คัน
ญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในเอเชียของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายรวม 62,068 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากยอดขาย 58,767 คัน ในรอบปี 2005 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์จากความสำเร็จของรถรุ่นพิเศษจำนวน 5 รุ่น ที่ทำขึ้นในวาระเฉลิมฉลอง 25 ปีของกิจการ บีเอมดับเบิลยู ในเมืองปลาดิบ
ในประเทศไทย ขณะที่ตลาดของรถระดับพรีเมียมโดยรวมลดลงถึงร้อยละ 14 จากตัวเลขในรอบปี 2005 บีเอมดับเบิลยู กรุพ กลับทำยอดขายได้ถึง 3,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 และเฉพาะรถ บีเอมดับเบิลยู ซึ่งทำยอดขายได้ถึง 2,822 คัน นับเป็นรถระดับพรีเมียมเพียงยี่ห้อเดียวในประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตเป็นเลข2 ตัว คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากยอดขาย 2,502 คัน ในรอบปี 2005
* เยอรมนี-เมร์เซเดส คาร์ กรุพ (MERCEDES CAR GROUP) ซึ่งประกอบด้วยรถรวม 3 ยี่ห้อ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) มายบัค (MAYBACH) และ สมาร์ท (SMART) สามารถสร้างสถิติการขายขึ้นใหม่ โดยทำยอดขายทั่วโลกในรอบปี 2006 ได้สูงถึง 1,260,600 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 จากยอดขาย 1,221,000 คัน ในรอบปี 2005 จำนวนดังกล่าวนี้แยกออกได้เป็น รถ เมร์เซเดส-เบนซ์ จำนวน 1,148,100 คัน มายบัค 400 คัน และ สมาร์ท 112,100 คัน เฉพาะในส่วนของรถติดเครื่องหมาย "ดาวสามแฉก" รถที่ขายได้มากที่สุด คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS) 332,100 คัน รองลงไป คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์/บี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ A-CLASS/B-CLASS) 293,200 คัน และ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) 243,000 คัน
* อังกฤษ/สหรัฐอเมริกา-ผลการสำรวจความเชื่อถือได้ของรถ ซึ่งกระทำกับรถที่มีอายุการใช้งาน 3-9 ปี จำนวน 450,000 คัน ทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยองค์กรเอกชนซึ่งมีชื่อว่า WARRANTY DIRECT ปรากฏผลว่า รถ 8 ยีห้อ ซึ่งมีอัตราการขัดข้อง(ด้านเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า ระบบรองรับ ฯลฯ) ต่ำที่สุด ล้วนเป็นรถญี่ปุ่น โดยมีรถเกาหลีสอดแทรกมาเพียงยี่ห้อเดียว ส่วนรถยี่ห้อยุโรปที่ทำอันดับได้ดีที่สุด คือ มีนี (MINI) โดยมีรายชื่อยี่ห้อของรถที่มีอัตราการขัดข้องต่ำที่สุด 20 อันดับแรก ดังนี้ (ตัวเลขท้ายยี่ห้อ คือ อัตราการขัดข้อง)
1. มาซดา 8.04 %
2. ฮอนดา 8.90 %
3. โตโยตา 15.78 %
4. มิตซูบิชิ 17.04 %
5. เกีย 17.39 %
6. ซูบารุ 18.46 %
7. นิสสัน 18.86 %
8. เลกซัส 20.05 %
9. มีนี 21.90 %
10. ซีตรอง 25.98 %
11. แดวู 26.30 %
12. ฮันเด 26.36 %
13. เปอโฌต์ 26.59 %
14. ฟอร์ด 26.76 %
15. ซูซูกิ 27.20 %
16. โพร์เช 27.48 %
17. เฟียต 28.49 %
18. บีเอมดับเบิลยู 28.64 %
19. วอกซ์ฮอลล์ 28.77 %
20. เมร์เซเดส-เบนซ์ 29.90 %
* ญี่ปุ่น-โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน (TOYOTA MOTOR CORPORATION) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น นำรถอนุกรมใหม่ชื่อใหม่ คือ โตโยตา บเลด (TOYOTA BLADE) ออกจำหน่ายแล้วในเมืองปลาดิบ รถอนุกรมนี้มีตัวถังเพียงแบบเดียว คือ ตัวถัง5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.260 ม. กว้าง 1.760 ม. และสูง 1.515-1.530 ม. มีทั้งแบบขับล้อหน้า และขับ 4 ล้อ แต่มีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2,362 ซีซี 167 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 2AZ-FE) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่ใช้อยู่ในรถ โตโยตา แคมรี (TOYOTA CAMRY) สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในญี่ปุ่น อยู่ระหว่าง 2.25-2.77 ล้านเยน หรือประมาณ 0.68-0.83 ล้านบาท
* เยอรมนี-รายงานข่าวในนิตยสารรถยนต์ฉบับหนึ่งของยุโรประบุว่า บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 (BMW 7-SERIES) รุ่นใหม่ ซึ่งจะออกจำหน่ายในปี 2009 จะมีระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ให้เลือกใช้ด้วย ทั้งนี้เป็นความพยายามของผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองเบียร์เพื่อไม่ให้น้อยหน้ารถ เลกซัส แอลเอส 460 (LEXUS LS460) ของญี่ปุ่น
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน เมษายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8826