รถใหม่
สุดยอดรถสปอร์ทของค่ายสี่ห่วง
เยอรมนีมีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อยู่เพียง 7 ราย คือ เอาดี (AUDI) บีเอมดับเบิลยู (BMW) ฟอร์ด (FORD) เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) โอเพล (OPEL) โพร์เช (PORSCHE) และ โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN)
หากยกเว้น โพร์เช ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่เป็นรถสปอร์ทราคาแพงระยับไว้เสียราย ก็จะกล่าวได้ว่า ประเทศนี้มีผู้ผลิตรถยนต์สำหรับ "ตลาดล่าง" อยู่ 3 ราย คือ ฟอร์ด โอเพล และ โฟล์คสวาเกน กับมีผู้ผลิตรถยนต์สำหรับ "ตลาดบน" อยู่ 3 รายเท่ากัน คือ เอาดี บีเอมดับเบิลยู และ เมร์เซเดส-เบนซ์
ในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สำหรับ "ตลาดบน" จำนวน 3 รายนี้ หากถือจำนวนรถที่ผลิต และจำหน่ายได้ในแต่ละปีเป็นเกณฑ์วัด ก็ต้องยกนิ้วให้เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" เป็นหมายเลข 1 ตามมาด้วยเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" และมีเจ้าของเครื่องหมายการค้า "สี่ห่วง" อยู่รั้งท้าย อย่างในปี 2005 ซึ่งตลาดรถยนต์ในเมืองเบียร์ทำยอดขายรถใหม่ได้รวมทั้งสิ้น 3,342,122 คัน ก็ปรากฏผลว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ กวาดยอดขายไป 343,870 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 10.3 โดยมี บีเอมดับเบิลยู ตามมาห่างๆ ด้วยยอดขาย 263,915 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 7.9 และ เอาดี รั้งท้ายด้วยยอดขาย 248,765 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 7.4
แต่เมื่อพิจารณาจากคุณภาพของสินค้ารถยนต์ที่ผลิต เกจิอาจารย์ด้านรถยนต์หลายๆ คนในทวีปยุโรปให้ความเห็นว่า จากที่เคยตามหลังมาตลอด ขณะนี้ เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สี่ห่วง" สามารถก้าวแซงขึ้นหน้าอีก 2 เจ้าไปเรียบร้อยแล้ว และประจักษ์พยานยืนยันชิ้นหนึ่ง คือ เอาดี อาร์ 8 (AUDI R8) ที่นำมาเปิด "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้
เป็นรถแบบใหม่ล่าสุดของค่าย "สี่ห่วง" เพิ่งปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุด เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเปิดให้สั่งจองแล้วไปแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2006 แต่ต้องรออีกประมาณครึ่งปี รถคันแรกจึงจะส่งถึงมือลูกค้าผู้สั่งจอง
ได้ชื่อตามรถแข่งติดตรา "สี่ห่วง" ซึ่งชนะเลิศการแข่งขันรถ เลอ มองส์ 24 ชั่วโมง (LE MANS 24 HOURS) อันเลื่องชื่อมาแล้ว 5 ครั้ง ในปี 2000, 2001, 2002, 2004 และ 2005 หน้าตา และรูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก พัฒนาจากรถแนวคิด เอาดี เลอ มองส์ กวัตตโร (AUDI LE MANS QUATTRO) ซึ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อ3 ปีก่อน และยังถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ
ตัวถังยาว 4.430 ม. กว้าง 1.900 ม. สูง 1.250 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.650 ม. มีโครงสร้างตัวถังแบบ SPACE FRAME ที่เรียกกันในภาษาไทยว่า "โครงอวกาศ" หรือ "โครง 3 มิติ" และมีเปลือกตัวถังทำจากอลูมิเนียมล้วน จึงมีน้ำหนักตัวไม่หนักนัก คือ
แค่ 1,558 กก. เท่านั้นเอง
ในระยะแรกจะมีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 32 วาล์ว 4,163 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 420 แรงม้า ที่ 7,800 รตน. และแรงบิดสูงสุด 43.9 กก.-ม. ที่ 5,500 รตน. เป็นเครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่ติดตั้งใน
รถ เอาดี อาร์เอส 4 (AUDI RS4) แต่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยในบางจุด พละกำลังจากเครื่องยนต์ส่งทอดสู่ล้อคู่หน้า และคู่หลัง ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ AUDI R TRONIC
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ระดับ 301 กม./ชม.
แหล่งข่าววงในของค่าย "สี่ห่วง" ยืนยันว่า นอกจากตัวถังอย่างที่เห็นนี่แล้ว ในระยะไม่นานจนเกินรอ เอาดี อาร์ 8 จะมีตัวถังอีก 2 แบบให้เลือกใช้ คือ ตัวถังคูเปน้ำหนักเบาที่คาดว่าจะออกจำหน่ายในปี 2008 กับตัวถังเปิดประทุนซึ่งจะตามมาในปี 2009
ในส่วนของเครื่องยนต์ นอกจากเครื่อง วี 8 สูบ 4.2 ลิตร 420 แรงม้า ที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีเครื่องยนต์อีกขนาดหนึ่ง ที่ค่าย "สี่ห่วง" ตั้งใจจะนำมาใช้กับรถแบบนี้ แต่ต้องรอจนกว่าจะถึงปี 2008 คือ เครื่อง วี 10 สูบ ซึ่งพัฒนาจากเครื่อง DOHC วี 10 สูบ 4,961 ซีซี 520 แรงม้า ที่ใช้อยู่ในขณะนี้กับรถสปอร์ท ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO)
ลัมโบร์กินี มาเกี่ยวอะไรด้วย ? ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเลย เพราะทั้ง เอาดี และ ลัมโบร์กินี ต่างก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่อยู่ในเครือค่ายของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) นั่นเอง
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน 722
สุดยอดรถสปอร์ทปีกนกตราดาวสามแฉก
ในบูธของค่าย "ดาวสามแฉก" ในงานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" จอดอวดโฉมอยู่ 1 คัน มองดูอย่างผาดๆ เผินๆ ใครๆ ก็ย่อมคิดว่าเป็นรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน (MERCEDES-BENZ SLR McLAREN) ที่เริ่มจำหน่ายในเยอรมนีมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2003 ด้วยค่าตัวแพงระยับระดับ 435,000 ยูโร หรือประมาณ 20 ล้านบาทไทย
ถ้าเข้าใจอย่างนั้น ก็ต้องถือว่าเข้าใจผิด เพราะที่จริงเป็นรถรุ่นพิเศษ เพิ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกในงานแสดงรถยนต์รายการที่ว่า มีชื่อรุ่นที่ยืดยาวออกไปอีกนิดว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน 722 เอดิชัน (MERCEDES-BENZ SLR McLAREN 722 EDITION)
เป็นรถที่ค่าย "ดาวสามแฉก" รังสรรค์ขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ ประการแรกเพื่อตอบสนองความประสงค์ของลูกค้าขาประจำ ซึ่งเรียกร้องรถที่เบากว่า เร็วกว่า และเลี้ยวได้แคล่วคล่องว่องไวกว่ารถรุ่นสามัญ ประการที่ 2 เพื่อรำลึกถึงชัยชนะในการแข่ง MILLE MIGLIA อันเลื่องชื่อเมื่อปี 1955
การแข่งรถในอิตาลีครั้งดังกล่าว ค่าย "ดาวสามแฉก" ส่งรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอลอาร์ (MERCEDES-BENZ 300 SLR) เข้าชิงชัย โดยมีนักขับชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ คือ สเตอร์ลิง มอสส์ (STERLING MOSS) เป็นผู้ขับ และมี เดนนิส เจนคินสัน (DENNIS JENKINSON) เป็นผู้นำทาง หมายเลขประจำรถ คือ 722 ซึ่งหมายความว่าให้เริ่มการแข่งขันเวลา 07.22 นาฬิกา และนี่เอง คือ ที่มาของชื่อรุ่นรถรุ่นพิเศษนี้
เอกสารประชาสัมพันธ์ของค่าย "ดาวสามแฉก" ระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ มากกว่า 300 รายการ แต่น่าจะกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เป็นหัวใจสำคัญอยู่ที่เครื่องยนต์
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน รุ่นสามัญ ติดตั้งเครื่องยนต์ SOHC วี 8 สูบ ความจุ 5,439 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 626 แรงม้า ที่ 6,500 รตน.และแรงบิดสูงสุด 79.6 กก.ม.ที่ 3,250 รตน. ในรถรุ่นพิเศษนี้ เครื่องยนต์ที่ใช้ยังเป็นเครื่องบลอคเดิม แต่ปรับแต่งใหม่ ทำให้ได้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 24 แรงม้า หรือร้อยละ 3.8 คือเป็น 650 แรงม้า ที่ 6,500 รตน. และได้แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 4.1 กก.ม. คือเป็น 83.7 กก.ม.ที่ 3,250 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เช่นเดิม
ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นในด้านสมรรถนะความเร็ว ก็ปรากฏผลว่า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ที่เคยทำได้ใน 3.8 วินาที ก็ทำได้เร็วขึ้น 0.2 วินาที คือเหลือแค่ 3.6 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.ที่เคยทำได้ใน 10.6 วินาที ลดเหลือ 10.2 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้น 3 กม./ชม. คือ จาก 334 เป็น 337 กม./ชม.
เช่นเดียวกับรถรุ่นสามัญ รถรุ่นพิเศษนี้เป็นรถประกอบด้วยมือ ที่โรงงานของสำนัก แมคลาเรน ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองโวคิง (WOKING) ในประเทศอังกฤษ โดยจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 150 คัน ไม่มีขาดไม่มีเกิน สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองเบียร์
คือ 455,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.14 ล้านบาท เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยน เงิน 1 ยูโร แลกได้ด้วยเงินไทย 37 บาทถ้วน
มีนี คูเพอร์/มีนี คูเพอร์ เอส
รถรุ่นใหม่ที่ดูยังไงก็เหมือนรถรุ่นเก่า
บีเอมดับเบิลยู ซื้อกิจการของรถ มีนี และนำรถ มีนี รุ่นใหม่ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2001 โดยตั้งเป้าหมายการผลิต และจำหน่ายไว้ที่ระดับ 100,000 คัน/ปี ช่วงเวลา 5 ปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และปรากฏว่ารถ มีนี รุ่นใหม่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จนโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมืองออกซ์ฟอร์ด (OXFORD) ในประเทศอังกฤษ ต้องเพิ่มกำลังผลิตอีก 1 เท่าตัว เป็น 200,000 คัน/ปี และเมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ารถ มีนี ทำยอดขายใน 70 ประเทศทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 800,000 คัน
และบัดนี้ ก็ถึงยุคของรถ มีนี รุ่นที่ 2 ซึ่งปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุด เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในรูปทรงองค์เอวที่ดูยังไงก็ดูแทบไม่ออก ว่าต่างจากรถรุ่นเดิมที่ตรงไหนบ้าง โดยเฉพาะในสายตาของผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแบบนี้
แม้ว่าหน้าตาเหมือนรถรุ่นเก่ายังไงยังงั้น แต่คนของ บีเอมดับเบิลยู ยืนยันหัวชนฝาว่า นี่คือ รถรุ่นใหม่ ชิ้นส่วนมากกว่าร้อยละ 90 เป็นของใหม่ และเฉพาะชิ้นส่วนตัวถังนั้น ทุกๆ ชิ้นล้วนเป็นชิ้นส่วนที่ออกแบบขึ้นใหม่ แถมยังระบุตัวเลข ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า รถรุ่น
ใหม่นี้มีขนาดตัวถังแตกต่างจากรถเก่าในทุกมิติ นั่นคือ ความยาว เพิ่มจาก 3.635 ม.เป็น 3.699 ม. คือ ยาวขึ้น 6.4 ซม. ความกว้าง ลดจาก 1.688 ม. เป็น 1.683 ม. คือ แคบลง 0.5 ซม. และความสูง ลดจาก 1.415 ม. เป็น 1.407 ม. คือ เตี้ยลง 0.8 ซม. ในขณะที่ความยาวช่วงฐานล้อยังคงเดิม คือ 2.467 ม.
ในส่วนของตัวถังภายนอก เมื่อมองกันอย่างพินิจพิเคราะห์ โดยนำรถรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มาจอดเทียบเคียงกัน ก็จะพบว่า มีอยู่หลายจุดเหมือนกัน ที่พอจะเห็นความแตกต่าง ที่เห็นได้ง่ายหน่อย ก็คือ เส้นสะเอว (BELT LINE) ที่ของรถรุ่นใหม่จะอยู่สูงกว่ารถรุ่นเก่ประมาณ 2 ซม. แผงกระจังหน้าที่รูปลักษณ์แตกต่างกันเล็กน้อย และดวงโคมไฟท้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมูลบมุม ซึ่งของรถรุ่นใหม่จะกว้างกว่ารถรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ออกจำหน่ายแล้วในเมืองผู้ดีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยแยกโมเดลให้เลือกใช้ตามรสนิยมเพียยง 2 โมเดล คือ มีนี คูเพอร์ (MINI COOPER) กับ มีนี คูเพอร์ เอส (MINI COOPER S) โมเดลแรกค่าตัวเริ่มต้นที่ 12,995 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 0.91 ล้านบาทไทย (เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยน เงินอังกฤษ 1 ปอนด์ แลกได้ด้วยเงินไทย 70 บาทถ้วน) ส่วนโมเดลหลัง 15,995 ปอนด์ หรือประมาณ 1.12 ล้านบาท
เมื่อมองจากตัวถังภายนอก รถ 2 โมเดลนี้ มีความแตกต่างอยู่หลายจุด ดังที่เห็นได้อย่างชัดเจนในภาพประกอบ ตัวอย่าง คือ แผงกระจังหน้าซึ่งมีตะแกรงไม่เหมือนกัน กรอบไฟตัดหมอกรูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน และท่อไอเสียต่างกัน คือ มีนี คูเพอร์ ติดตั้งท่อไอเสียเดี่ยว ส่วน มีนี คูเพอร์ เอส ติดตั้งท่อคู่ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างสำคัญซึ่งมองไม่เห็นหากไม่เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นดู คือ เครื่องยนต์
โมเดลพื้นฐาน คือ มีนี คูเพอร์ ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,598 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม.ที่ 4,250 รตน. เป็นเครื่องยนต์ที่ออกแบบขึ้นใหม่ โดยความร่วมมือกับค่าย เปอโฌต์/ซีตรอง (PEUGEOT/CITROEN) และผลิตที่โรงงานของ บีเอมดับเบิลยู ในอังกฤษ ประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเครื่องยนต์ขนาดเดียวกันในรถรุ่นเดิมถึงร้อยละ 20 แถมยังให้ไอเสียที่สะอาดกว่าถึง 139 กรัม/กม.
ส่วนโมเดลหัวกะทิ คือ มีนี คูเพอร์ เอส ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,598 ซีซี ติดเทอร์โบชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 5,500 รตน. และแรงบิดสูงสุด 24.5 กก.-ม. ที่ 1,600 รตน.
ทั้ง 2 โมเดลที่กล่าวข้างต้น มีระบบเกียร์ให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ระบบรองรับ หน้าอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท/สปริงขด/เหล็กกันโคลง หลังอิสระ แกนตัวเซด/แขนยึดตามยาว/สปริงขด พวงมาลัยแบบฟันเฟืองตัวหนอนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ห้ามล้อ หน้าจานรู/หลังจาน
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต รุ่นหัวกะทิ คือ มีนี คูเพอร์ เอส อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 7.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม.
โอเพล โคร์ซา
ยอดรถนาครของค่ายสายฟ้า
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า เยอรมนีมีผู้ผลิตรถยนต์สำหรับ "ตลาดล่าง" อยู่ 3 ราย คือ ฟอร์ด (FORD) โอเพล (OPEL) และ โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) หากถือจำนวนรถที่ขายได้ในแต่ละปีในตลาดเมืองเบียร์เป็นเกณฑ์ตัดสิน ก็จะกล่าวได้ว่า ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด คือ โฟล์คสวาเกน รองลงไป โอเพล และรั้งท้ายสุด ฟอร์ด
อย่างในปี 2005 ซึ่งตลาดรถยนต์ในเมืองเบียร์สามารถจำหน่ายรถใหม่ได้รวมทั้งสิ้น 3,342,122 คัน ปรากฏว่า โฟล์คสวาเกน สามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ร้อยละ 18.6 ด้วยยอดขายที่สูงถึง 621,978 คัน รองลงไป คือ โอเพล ซึ่งทำยอดขาย 347,960 คัน หรือร้อยละ 10.4 และตามมาห่างๆ ด้วย ฟอร์ด ซึ่งทำยอดขายได้เพียง 246,814 คัน หรือร้อยละ 7.4
โอเพล เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สายฟ้า" ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาดยุโรป และภูมิภาคอื่นอยู่หลายอนุกรม แต่อนุกรมที่คนรักรถในบ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันดี คือ โอเพล โคร์ซา (OPEL CORSA) รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่เคยโด่งดัง และขายดิบขายดีในบ้านเราเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ยุคเดียวกับรถ ฮอนดา ซีวิค 3 ประตูแฮทช์แบค ที่ผู้คนแย่งกันสั่งจอง และหาซื้อใบจอง
ค่าย "สายฟ้า" นำรถยนต์นั่งขนาดเล็กอนุกรมนี้ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1982 และเปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้ไปแล้วรวม 3 ครั้ง กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า โอเพล โคร์ซา เป็นรถขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในยุโรป และในหลายภูมิภาค จึงไม่น่าประหลาดใจอะไรเลย ที่ค่าย "สายฟ้า" ระบุว่า สามารถจำหน่ายรถอนุกรมนี้ในตลาดทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 9.4 ล้านคัน
สำหรับ โอเพล โคร์ซา ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถรุ่นใหม่ล่าสุด (รุ่นที่ 4) ปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอนดอนครั้งล่าสุด เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2006 และเพิ่งออกจำหน่ายในยุโรปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง เป็นรถผลิตใน 2 ประเทศ คือ ที่เมืองซาราโกซา(ZARAGOZA)ในสเปน และที่เมืองไอเซนัค (EISENACH) ในเยอรมนี
ในตลาดยุโรป คู่แข่งสำคัญของรถอนุกรมนี้ คือ โฟล์คสวาเกน โพโล (VOLKSWAGEN POLO) และ ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) รถร่วมสัญชาติ เฟียต ปุนโต (FIAT PUNTO) ของอิตาลี และ เรอโนลต์ กลีโอ (RENAULT CLIO) กับ เปอโฌต์ 207 (PEUGEOT 207) ของฝรั่งเศส
เช่นเดียวกับรถรุ่นที่ 3 โอเพล โคร์ซา รุ่นใหม่นี้ มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค ทั้ง 2 แบบมีขนาดตัวถังโตเท่ากันในทุกมิติ คือ ยาว 3.999 ม. กว้าง 1.737 ม. สูง 1.737 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.511 ม. รูปทรงองค์เอวของตัวถัง 3 ประตูเน้นลักษณะสปอร์ท ในขณะที่ตัวถัง 5 ประตูเน้นความเป็นรถครอบครัว และวิจารณ์กันในยุโรปว่า ตัวถังทั้ง 2 แบบมีห้องโดยสารที่ออกแบบได้เยี่ยมมาก อุปกรณ์ และรายละเอียดต่างๆ ออกแบบได้อย่างมีรสนิยม และดูเหมือนว่าก้าวล้ำนำหน้ารถระดับเดียวกันยี่ห้ออื่นๆ ไปแล้วหลายก้าว
ตัวถังทั้ง 2 แบบ มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 6 ขนาด ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล ส่วนระบบเกียร์มีให้เลือก 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เครื่องยนต์เบนซินซึ่งมีให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด ประกอบด้วย เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 60 แรงม้า ที่ 5,600 รตน. เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,229 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 80 แรงม้า ที่ 5,600 รตน. และเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,364 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 90 แรงม้า ที่ 5,600 รตน.
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งก็มี 3 ขนาดเช่นกัน ประกอบด้วย เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,248 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 75 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,248 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 90 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. และเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,686 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. โดยที่ทุกขนาดเป็นเครื่องติดเทอร์โบชาร์เจอร์ และใช้ระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง
สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองเบียร์ อยู่ระหว่าง 11,000-19,500 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 0.52-0.92 ล้านบาทไทย
โอเพล อันตารา
รถกิจกรรมกลางแจ้งของค่ายสายฟ้า
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "สายฟ้า" ที่นำมาเสนอในเดือนนี้ เป็นรถอนุกรมใหม่ล่าสุด ซึ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 61 เมื่อกลางเดือนกันยายน 2005 ในฐานะรถแนวคิด โอเพล อันตารา จีทีซี (OPEL ANTARA GTC) และฉายซ้ำครั้งล่าสุดที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีส เมื่อปลายเดือนกันยายน 2006 โดยที่ครั้งหลังนี้อยู่ในสภาพรถตลาดอย่างสมบูรณ์
เป็น SUV (SPORT UTILITY VEHICLE) หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง 4x4 ขนาด 5ที่นั่ง ที่ค่าย "สายฟ้า" บรรจุเข้าสู่สายการผลิต แทนที่รถอนุกรมเดิมซึ่งจำหน่ายในชื่อ โอเพล ฟรนเตรา (OPEL FRONTERA)
ออกจำหน่ายแล้วในเยอรมนี และอีกหลายประเทศในยุโรปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีตัวถังเพียงแบบเดียว เป็นตัวถังทรง 2 กล่อง ยาว 4.575 ม. กว้าง 1.850 ม. สูง 1.704 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.707 ม. รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก ออกแบบอย่างเรียบๆ ไม่มีจุดโดดเด่นสะดุดตา และให้ความรู้สึกว่าเป็นรถยนต์นั่งตรวจการณ์มากกว่าเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้ง คือ สไตล์เดียวกับรถ ฮอนดา ซีอาร์-วี รุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกขายในบ้านเรา
ห้องโดยสารซึ่งจุ 5 ที่นั่ง ออกแบบได้ดี และดูจะกว้างขวางกว่ารถขนาดเดียวกันทุกแบบ ห้องเก็บของท้ายรถจุถึง 370 ลิตร เมื่อเก้าอี้ที่นั่งอยู่ในสภาพปกติ และจะเพิ่มเป็น 865 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนในอัตรา 60:40 ยิ่งเมื่อบรรทุกของสูงจนถึงหลังคา เนื้อที่บรรทุกจะเพิ่มเป็น 1,420 ลิตรนั่นเทียว สำหรับของชิ้นยาวๆ อย่างรถจักรยาน ที่ไม่สามารถบรรจุไว้ในห้องโดยสาร ก็ยังมีที่บรรทุก ซึ่งทำไว้เป็นพิเศษตรงท้ายรถ ดังที่เห็นในภาพประกอบ
มีตัวถังแบบเดียว แต่มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 4 ขนาดแรงม้า ทั้งเครื่องเบนซิน และเครื่องดีเซล และมีระบบเกียร์ให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เครื่องเบนซินซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาด ประกอบด้วย เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2,405 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 5,200 รตน. กับเครื่อง DOHC วี 6 สูบ 3,195 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 227 แรงม้า ที่ 6,600 รตน.
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลมีขนาดเดียว เป็นเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี ติดเทอร์โบชาร์เจอร์ แต่ปรับแต่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้กำลังสูงสุด 127 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. กับแบบให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รตน.
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต รุ่นหัวกะทิ คือ OPEL ANTARA 3.2 V6 อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 203 กม./ชม.
สนนราคาค่าตัวของรถพวงมาลัยซ้ายที่ซื้อขายกันในตลาดเมืองเบียร์ อยู่ระหว่าง 26,900-37,100 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.26-1.74 ล้านบาทไทย เมื่อคิดว่าเงิน 1 ยูโร แลกเปลี่ยนได้ด้วยเงินไทยยุคค่าเงินแข็ง 47 บาทถ้วน
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2550
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8738