ธุรกิจ
คมสัน บุพนิมิตร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด เปิดเผยว่า แผนการตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 จะรุกตลาดผู้ใช้มือถือเต็มรูปแบบ 3 ด้านหลัก ได้แก่ สื่อสารวงกว้างสร้างการรับรู้ เสนอแคมเปญกระตุ้นให้ทดลองใช้ และเพิ่มเครือข่ายช่องทางติดต่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่ล่าสุดทุ่มงบ 30 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด "MPAY
มือถือจ่ายให้" มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะได้ลูกค้ากว่า 1.6 ล้านราย
แอดวานซ์ เอ็มเปย์ ฯ
ทุ่มงบ 30 ล้าน"MPAY
มือถือจ่ายให้"
คมสัน บุพนิมิตร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด เปิดเผยว่า แผนการตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 จะรุกตลาดผู้ใช้มือถือเต็มรูปแบบ 3 ด้านหลัก ได้แก่ สื่อสารวงกว้างสร้างการรับรู้ เสนอแคมเปญกระตุ้นให้ทดลองใช้ และเพิ่มเครือข่ายช่องทางติดต่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่ล่าสุดทุ่มงบ 30 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด "MPAY
มือถือจ่ายให้" มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะได้ลูกค้ากว่า 1.6 ล้านราย
สำหรับแคมเปญ "MPAY
มือถือจ่ายให้" เป็นบริการธุรกรรมการเงินบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาทิเช่น บริการเติมเงิน 1-2-CALL!/ชำระค่าบริการ AIS/ชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายผ่านออนไลน์ โดยบริการนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้บริการที่ชื่นชอบ หรือคุ้นเคยกับอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใช้บริการ 1-2-CALL! และ GSM ที่เป็นกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มคนในสำนักงาน นักเรียนนักศึกษา และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยลดภาระในการเดินทาง เอื้ออำนวยความสะดวกต่อชีวิตประจำวันแก่ลูกค้า
ส่วนกลยุทธ์เน้นให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือ การใช้สื่อโฆษณาเป็นตัวสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกสื่อโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ สื่อเคลื่อนที่ สื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ ที่เน้นการสร้างสรรค์รูปแบบแปลกตา ส่วนด้านที่สอง คือ เสนอโพรโมชันให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ โดยการจัดส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ AIS จำนวน 2.4 ล้านเลขหมาย และสุดท้าย ได้เพิ่มเครือข่ายจากช่องทางเดิม IVR *555 มาใช้ช่องทางจาก AIS CALL CENTER 1175 ที่ให้บริการ 24 ชม. ซึ่งทาง แอดวานซ์ เอ็มเปย์ ฯ มั่นใจว่าแผนการตลาดทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้บริการมากขึ้น และจะช่วยเพิ่มลูกค้าได้ตามเป้าหมาย 1.6 ล้านรายอย่างแน่นอน
ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ ฯ
ฉลองรายได้ปี '48
วีรวัฒน์ ขอไพบูรณ์ กรรมการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2548 บริษัทมีผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,993.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.83 % มีกำไรสุทธิ 193.43 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากยอดขาย และส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 35 % โดยมีปัจจัยมาจากจำนวนร้านค้าตัวแทนจำหน่ายภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การสร้างสรรค์โพรโมชันด้านการขาย และการบุกตลาดในต่างประเทศ เช่น ประเทศในแถบตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และทวีปออสเตรเลีย
สำหรับตลาดต่างประเทศมีรายได้ 1,375.34 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.35 % เนื่องจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ และการเพิ่มยอดขายในผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ รวมถึงการยอมรับในคุณภาพสินค้าจากลูกค้านานาชาติ ที่ปัจจุบันได้จัดจำหน่ายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ในปี 2549 ไว้กว่า 3,300 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 % จากปี 2548 ด้วยแผนกลยุทธ์การขยายตัวแทนจำหน่าย สร้างบแรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยผ่านกิจกรรมทางการตลาด และโพรโมชันต่างๆ ด้วยแคมเปญเพื่อสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้า 3 เค แบทเตอรี เช่น 3K ROADSIDE ASSISTANCE บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ทั่วประเทศ ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าภายในปี 2549 จะขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับตลาดในประเทศ และต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
พีเอสจี อินเตอร์เทรด ฯ
มุ่งขยายตลาดส่งออก
ปราโมทย์ พงษ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอสจี อินเตอร์เทรด จำกัด ตัวแทนจำหน่ายดวงไฟ MIAMOND และอุปกรณ์ตกแต่งดวงไฟ FITT เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีการส่งออกไปยัง 6 ทวีป และ 55 ประเทศทั่วโลก ซึ่งขณะนี้ได้มีสำนักงานสาขาที่เมืองแอทแลนทา ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อดูแลพื้นที่การขายในทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมียอดขาย 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ภายในปี 2550 จะขยายตลาดส่งออกเป็น 100 ประเทศ และภายใน 5 ปี จะเพิ่มเป็น 150 ประเทศทั่วโลก โดยการขยายตลาดต่างประเทศบริษัทมีแผนที่จะลงทุนสร้างคลังสินค้าใหม่เพื่อรองรับตลาดต่างประเทศ
สำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศไทย ปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายที่เป็นร้านประดับรถยนต์ และร้านค้าอะไหล่กว่า 1,000 รายทั่วประเทศ อีกทั้งมุ่งเน้นการกระจายสินค้าไปยังกลุ่มโมเดิร์นทเรด รวมถึงการเปิดร้านต้นแบบภายใต้คอนเซพท์ "FITT AUTO ZONE" คาดว่าจะเปิดได้ในไตรมาส 3
ในส่วนของสินค้าใหม่ ปีนี้คาดว่าจะมีสินค้าภายใต้ บแรนด์ FITT กว่า 30 รายการ ส่วน บแรนด์ DIAMOND มุ่งเน้นการพัฒนาอะไหล่ทดแทนสำหนับรถเพื่อการพาณิชย์ โดยตั้งเป้าออกสินค้าใหม่อีกกว่า 30 รายการเพื่อครอบคลุมทุกจุดการส่องสว่างสำหรับยานยนต์ คาดว่าปีนี้จะมียอดขายรวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท แบ่งเป็นภายในประเทศ 70 % และต่างประเทศ 30 % คาดว่าภายในปี 2550 สัดส่วนของตลาดส่งออกจะเป็น 70 %
พร้อมกันนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าและผู้บริโภค บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย "ลุ้นโชค...ลุ้นยารีส กับ DIAMOND & FITT" ด้วยงบประมาณกว่า 12 ล้านบาท ชิงโชครางวัลใหญ่ โตโยตา ยารีส พร้อมของรางวัลอีกมากมาย
โรเบิร์ต บ๊อช ฯ
ตั้งเป้ายอดขาย 3.3 พันล้าน
เปาโล เฟร์ไรรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายหลักในการบริหารงานที่จะผลักดันให้มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจ อะไหล่ยานยนต์ เครื่องจักร และ อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจเครื่องเสียงยานยนต์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจใหม่ล่าสุดสำหรับประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนอกจากจำหน่ายสินค้าต่างๆ แล้ว ยังมีโรงงานผลิตอุปกรณ์เบรค และระบบดีเซล รวมถึงโรงงานผลิตเครื่องซักผ้า และเครื่องล้างจานเพื่อส่งออกอีกด้วย โดยที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจในแต่ละกลุ่มมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นผลทำให้บริษัทมีผลประกอบการทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10 %
ยิ่งยวด หวังประโยชน์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายอะไหล่รถยนต์ เปิดเผยว่า การทำตลาดของอะไหล่รถยนต์ของโรเบิร์ต บ๊อช ฯ ในปีนี้จะเน้นไปที่การขยายไลน์ผลิตสินค้าสำหรับรถญี่ปุ่นให้มากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวแบทเตอรีแบบใหม่ ชนิดไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และไส้กรองได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี บริษัทมีแผนที่จะส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในอนาคต
ในส่วนของอะไหล่รถยนต์ จะเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแก่ลูกค้า โดยเน้นการขยายฐานไปยังกลุ่มตัวแทนจำหน่ายใหม่ๆ พร้อมทั้งแนะนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดของรถญี่ปุ่น
สำหรับแผนในการขยายศูนย์บริการรถยนต์ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายเพิ่มอีกประมาณ 10 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 101 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นศูนย์บริการเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการของศูนย์บริการแต่ละแห่ง ให้ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
เกีย
เผยแผนปี '49
สาธิต เตชะลาภอำนวย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ยนตรกิจเกียมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทแม่ เกีย มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประเทศเกาหลี ได้ให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์ไทยเป็นอย่างมาก ด้วยการสนับสนุนรถยนต์รุ่นใหม่ เกีย กแรนด์ คาร์นิวัล รถ เอมพีวี 11 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกๆ สำหรับการเปิดตัวในตลาดภาคพื้นเอเชีย
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ เกีย กแรนด์ คาร์นิวัล คาดว่าจะสามารถทำยอดจำหน่ายในปีนี้ประมาณ 400 คัน หรือ ประมาณ 30-40 คัน/เดือน และมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 10-15 % ซึ่งทางบริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคคนไทยอย่างแน่นอน ด้วยรูปลักษณ์หรูหรา แข็งแกร่ง และทันสมัย ผสานการออกแบบแนวสปอร์ท และอรรถประโยชน์ของรถ เอมพีวี อันเพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบาย และประโยชน์ใช้สอยสูงสุด
เกีย กแรนด์ คาร์นิวัล มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล รุ่น J 2.9 CRDI ด้วยขนาดตัวรถที่ยาวขึ้น จำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทแม่ ยังให้สนใจตลาดรถเก๋งโดยนำรถใหม่ 2 รุ่น เข้ามาศึกษา และสำรวจตลาดในประเทศไทย ได้แก่ เกีย รีโอ รถซีดาน 4 ประตู เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เน้นการออกแบบรูปลักษณ์โดดเด่นอย่างมีสไตล์ สวยสดใสสะดุดตา ตอบสนองภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ด้วยมิติที่มีขนาดกะทัดรัด ทำให้การขับขี่ สนุก เร้าใจ ภายในกว้างขวาง พร้อมเสริมอุปกรณ์ตกแต่งที่ทันสมัย ให้ความอเนกประสงค์สูงสุด
เกีย ปีกันโต รถ ซิทีคาร์ขนาดกะทัดรัด เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร โดดเด่นสะดุดตา ได้รับการออกแบบสำหรับการใช้งานในเมือง โดยผสานประโยชน์ใช้สอยกับสิ่งอำนวยความสะดวกของรถ เอมพีวี ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย เร้าใจทุกการสัมผัส ภายในได้รับการออกแบบให้กว้างขวาง สามารถปรับพื้นที่ภายในหลากหลายรูปแบบ จุผู้โดยสาร 4-5 คนได้สบาย ทั้งขับขี่อย่างคล่องตัว และประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ทำให้เหมาะสำหรับชีวิตยุคใหม่ในปัจจุบัน
นอกจากรถยนต์รุ่นใหม่แล้วยังมีรุ่นปัจจุบัน เช่น เค 2700 จัมโบ พิคอัพ/คาร์นิวัล/คาเรนส์/ปเรโจ และ โซเรนโต
ฮอนดา
ปรับผังโครงสร้างองค์กร
รายงานข่าวจากบริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด สำนักงานใหญ่ของ ฮอนดา ประจำภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ประกาศปรับผังโครงสร้างองค์กร และคณะผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาค มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2549 เป็นต้นไป โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
ซาโตชิ โตชิดะ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (ซีอีโอ) ภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ซึ่งจะดูแลรับผิดชอบสายการปฏิบัติการของธุรกิจเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ฮอนดา ทั่วโลก ประจำที่ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ฮอนดา ได้ให้ ทัตสึฮิโร โอยามา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการส่วนงานอะไหล่และชิ้นส่วน บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ต่อจาก โตชิดะ
นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนสายงานบริหาร โมโตฮิเดะ ซูโดะ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทเ อเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม แต่มีหน้าที่รับผิดชอบขยายครอบคลุมการดูแลการปฏิบัติงานของผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย รวมทั้งดูแลสายงานธุรกิจในประเทศอาเซียน เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย อีกด้วย
การปรับเปลี่ยนสายงานการผลิต โนบุนาริ มัตสึชิตะ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานการผลิตในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย จะเกษียณอายุ จึงแต่งตั้งให้ คาซึอากิ ทาคุโน ดำรงตำแหน่งแทน
คัทสึชิเกะ โฮชิโน ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด จะขยายบทบาทความรับผิดชอบโดยดูแลการผลิตรถจักรยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ทั้งหมด และเพื่อเป็นการสนับสนุนการทำงานในประเทศไทย จึงได้แต่งตั้ง มาซาโตะ มูไคนากาโน ดำรงตำแหน่งรองประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด
พร้อมกันนี้ มิโนรุ ยานาอิดานิ รองประธาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จะขยายบทบาทความรับผิดชอบดูแลการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ทั้งหมด และเพื่อสนับสนุนการทำงาน จึงได้แต่งตั้ง โนบุโอะ ทาเคอิชิ เป็นรองประธานร่วมเพื่อช่วยดูแลการผลิตของ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ฯ
ทั้งนี้ในส่วนของ ทัตสึโอะ นากามิตสึ ประธาน บริษัท ฮอนด้า เอ็นจิเนียริ่ง เอเชี่ยน จำกัด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮอนด้า เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมี อิโตะ อิซาโอะ มาดำรงตำแหน่งประธานแทน
โฟล์คสวาเกน
แนะนำ คาราเวลล์ ใหม่
รณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการบริหาร บริษัท ยนตรกิจอินเตอร์เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า คาราเวลล์ ใหม่ มาในเวอร์ชัน พเรสตีจ มีให้เลือกทั้งในแบบเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร TDI เทอร์โบดีเซล ที่แรงและประหยัด และเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร วี 6 เบนซิน ที่ทรงพลัง และนุ่มนวล เพื่อรองรับความต้องการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบุคคลระดับบริหารและครอบครัวผู้บริหารยุคใหม่ ที่ชื่นชมความหรูหราคู่ความสะดวกสบายปลอดภัย ตามมาตรฐานสูงสุดของเยอรมนี
สำหรับการปรับปรุงรุ่น พเรสตีจ มุ่งเน้นความสบายสูงสุดในการโดยสารเป็นหลัก โดยไม่ทำการดัดแปลงใดๆ ในส่วนของภายนอกที่ดูหรูหรา และภูมิฐาน การตกแต่งภายในที่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหนือชั้นขึ้นไปนี้ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยกระดับความหรูหราให้กับรถยนต์ระดับอัครยานยนต์ที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาดของรถยนต์ประเภท ลักชัวรี แวน และ เอมพีวี ขึ้นไปอีก โดยอุปกรณ์ที่ได้รับการเพิ่มเติมเพื่อความหรูหราที่เหนือระดับขึ้นไปนี้ ประกอบไปด้วย การจัดวางเก้าอี้ให้สามารถใช้ประโยชน์และความสะดวกสบายได้ในแบบ 7 ที่นั่งจาก จำนวนเบาะที่รองรับผู้โดยสารได้เต็มที่ถึง 11 ที่นั่ง อุปกรณ์ความบันเทิงที่ไฮเอนด์ขึ้นกว่าเดิม และชุดเครื่องเสียงพร้อมเครื่องเล่น DVD ระดับแนวหน้า นอกจากนี้ระบบปรับอากาศ และการกระจายความเย็นยังได้รับการปรับปรุงให้เหนือชั้นขึ้นกว่าเดิมไปอีก ด้วยการเสริม BLOWER และปรับตำแหน่งช่องปรับอากาศเพื่อให้แรงลมครอบคลุมห้องโดยสารเพื่อความเย็นสบายสูงสุด
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8459