ธุรกิจ
ไพรัช แพรคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายบริการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพงานบริการหลังการจำหน่ายของผู้จำหน่ายรถ มิตซูบิชิ บริษัทได้พัฒนาปรับเปลี่ยนศูนย์บริการของสำนักงานใหญ่ (รังสิต) ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรม และศูนย์วิเคราะห์ทางเทคนิคให้แก่บุคลากรผู้จำหน่ายที่เข้ามารับการอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบริการหลังการจำหน่าย เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตขึ้น โดยหลักสูตรการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
มิตซูบิชิพัฒนาฝีมือช่าง
ไพรัช แพรคล้าย ผู้อำนวยการฝ่ายบริการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพงานบริการหลังการจำหน่ายของผู้จำหน่ายรถ มิตซูบิชิ บริษัทได้พัฒนาปรับเปลี่ยนศูนย์บริการของสำนักงานใหญ่ (รังสิต) ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรม และศูนย์วิเคราะห์ทางเทคนิคให้แก่บุคลากรผู้จำหน่ายที่เข้ามารับการอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบริการหลังการจำหน่าย เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตขึ้น โดยหลักสูตรการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. หลักสูตรอบรมด้านฝีมือช่าง แบ่งออกเป็น 3 ระดับ แยกตามประเภทของงาน
1. เริ่มตั้งแต่ตรวจสอบรถพื้นฐาน งานตรวจซ่อมชิ้นส่วนและการประกอบติดตั้ง จนถึงระดับการวิเคราะห์ปัญหาเทคนิค
2. หลักสูตรบริหาร มุ่งเน้นที่การจัดระบบการทำงาน นับตั้งแต่การดูแล ต้อนรับลูกค้า
3. การควบคุมคุณภาพการซ่อม และขบวนการซ่อม จนถึงการบริหารจัดการศูนย์บริการมาตรฐาน
2. บริษัทตั้งเป้าหมายในการจัดฝึกอบรมช่าง เพื่อรองรับผู้จำหน่ายทั่วประเทศไว้กว่า 300 ครั้ง มีผู้เข้าอบรมมากกว่า 3,000 คน/ปี โดยได้เตรียมความพร้อมทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตรการสอน ครูฝึก และวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้จากของจริง รวมทั้งการจัดโพรแกรมส่งครูฝึกสอนไปรับการอบรมเทคนิคใหม่ๆ จากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีความรู้ใหม่
นอกจากนี้ผู้ผ่านการอบรมจะถูกติดตามและทดสอบความรู้ ความสามารถเป็นระยะๆ โดยทีมงานของฝ่ายอบรม และหากผลของการทดสอบไม่สามารถผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน จะต้องถูกเรียกตัวกลับมาอบรมใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งสามารถสอบผ่านการทดสอบแล้วจึงจะได้รับใบรับรองความรู้ ความสามารถในแต่ละระดับ
เชลล์ ออโตเซิร์ฟ ฯ
จัดสัมมนา "ขับปลอดภัย ฉลาดใช้รถ"
จรุง กาญจนภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชลล์ ออโต้เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โครงการจัดสัมมนา "ขับปลอดภัย ฉลาดใช้รถ" เป็นโครงการที่มุ่งหวังให้เยาวชนที่ผ่านการอบรมรู้วิธีขับรถอย่างถูกหลัก และมีวินัย เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ยังช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน ซึ่งเป็นการช่วยชาติประหยัดอีกทางหนึ่ง โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรมการขนส่งทางบก
สำหรับแนวคิดหลักที่บริษัทนำมาใช้รณรงค์ คือ 4 PREPARE/4 BEWARE เน้นให้ผู้ขับใส่ใจใน 4 สิ่งที่ควรระมัดระวังก่อนการออกรถ ได้แก่ การเดินตรวจตรารอบรถ ปิดประตูให้สนิท ปรับกระจกเพื่อทัศนวิสัยในการมอง เตรียมความพร้อมสภาพร่ายกายและจิตใจ และ 4 สิ่งที่ควรระมัดระวังเมื่อขึ้นนั่งและพร้อมจะออกรถ ได้แก่ การปรับเบาะ เชคเกียร์ก่อนปลดคลัทช์ ตรวจไฟแผงหน้าปัดว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ และทดลองวิ่ง 3-4 เมตร เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเบรค
ส่วนในงานมีการสัมมนาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ แก่ผู้ใช้รถ เป็นต้นว่า ทัศนคติเกี่ยวกับการขับรถอย่างปลอดภัย กฎหมายการจราจร และมารยาทในการขับรถ ความพร้อมก่อนการขับรถ สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัย
การดูแลรักษารถเบื้องต้น และขับอย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท และกรมการขนส่งทางบก
นอกจากนี้ บริษัทยังจัดให้มีนิทรรศการและกิจกรรมนันทนาการ เพื่อส่งเสริมความรู้เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถ บริการตรวจวัดสายตาฟรี โดยศูนย์สายตามหานคร รวมทั้งนำทีมช่างเทคนิคพร้อมด้วยอุปกรณ์มาให้บริการตรวจเชคสภาพความพร้อมของรถ 10 ขั้นตอน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
มาซดา
อัดแคมเปญ สู้ตลาดรถพิคอัพ
ฟูมิโอะ โทเนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยกระแสการเติบโตและแข่งขันของรถพิคอัพ บริษัทจึงได้ทำการปรับโฉม มาซดา ไฟเตอร์ ใหม่ พร้อมส่งแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ สู้ตลาดรถพิคอัพ
มาซดา ไฟเตอร์ ลักซ์ พลัส เป็นการปรับโฉมเพื่อความโฉบเฉี่ยว พร้อมความคุ้มค่า เน้นความสะดวกสบาย และหรูหราแบบรถเก๋ง ภายนอกโฉบเฉี่ยวแบบรถสปอร์ท ด้วยกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ เครื่องเล่นวิทยุพร้อมซีดี แผงปรับอากาศออกแบบทันสมัย
แผงหน้าปัดสไตล์สปอร์ท ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ที่วางแก้วน้ำ 3 ตำแหน่ง และลายผ้าในห้องโดยสารใหม่เพื่อความหรูหรา
นอกจากนี้ยังมีให้เลือกเพิ่มได้แก่ สีเงินไททาเนียม สีดำ สีน้ำเงิน บลูแปซิฟิค และสีทูโทน เป็นสีเงินไททาเนียมทั้งหมด
สำหรับแคมเปญโฆษณาใหม่ นักสู้สายพันธุ์ใหม่ มาซดา นำ ซามูไรยุคใหม่ มาเป็นสัญลักษณ์ สะท้อนถึงคุณลักษณะของการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มั่นคง และเงียบ ภายใต้รูปลักษณ์ของความโดดเด่นล้ำสมัย พร้อมด้วยแคมเปญพิเศษ ดอกเบี้ย 0 % นาน 48 เดือน มาซดา ไฟเตอร์ มีราคาเริ่มต้นที่ 424,900- 842,400 บาท
ฟอร์ด
มอบทุนโครงการเพื่อสังคม
จอห์น ฟีลิศ ประธาน ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการร่วมใจพัฒนาสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "FORD MOTOR COMPANY CONSERVATION AND ENVIRONMENT GRANTS" ที่ ฟอร์ด จัดขึ้นทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ฟอร์ด ประเทศไทย ได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2543
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา การสนับสนุนของ ฟอร์ด ประเทศไทย ในโครงการ ร่วมใจพัฒนาสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย ได้ดำเนินการช่วยเหลือโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและสังคมไทยในด้านต่างๆ แล้ว 58 โครงการ
สำหรับโครงการร่วมใจพัฒนาสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย ครั้งที่ 5 ประจำปี 2548 ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท เอ็นวายเค บัลค์ชิป (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมอบทุนสนับสนุนเพิ่มเติม 4 แสนบาท รวมกับทุนสนับสนุนจาก ฟอร์ด รวมเป็นทุนทั้งสิ้น 2.8 ล้านบาท
โดยครั้งนี้มีผู้สมัครขอรับทุนสนับสนุนทั้งสิ้น 183 ราย แบ่งเป็นประเภทโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 71 โครงการ โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชน 70 โครงการ โครงการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมจำนวน 34 โครงการ และโครงการอนุรักษ์การใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบจากมลภาวะ 8 โครงการ
ส่วนคณะกรรมการพิจารณาโครงการประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก ฯลฯ ตัวแทนจากสื่อมวลชน โดยมีเกณฑ์การตัดสินประกอบด้วย ประโยชน์ต่อส่วนรวมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ความทุ่มเท และการอุทิศตนเพื่อโครงการ ความต้องการการสนับสนุนด้านการเงิน ความคิดริเริ่ม และสามารถนำไปปรับใช้ และขยายผลต่อไปในอนาคต
ทาคาชิ ซูซูกิ ประธาน บริษัท เอ็นวายเค บัลค์ชิป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ารู้สึกภูมิใจที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมกับ ฟอร์ด ในครั้งนี้ เป็นโครงการที่ดีควรได้รับการสนับสนุน ส่วนโครงการต่างๆ ที่ได้รับรางวัล ถือเป็นการทุ่มเท และมุ่งมั่นในการทำประโยชน์เพื่อสังคมอย่างแท้จริง ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต
ฟอร์ด ได้พิจารณามอบทุนสนับสนุนให้แก่โครงการต่างๆ รวม 24 โครงการ แบ่งออกเป็นโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 9 โครงการ ได้แก่ โครงการทำปุ๋ยและสารชีวภาพเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โครงการวนเกษตรหรือศูนย์ศึกษาและพัฒนาวนเกษตร บ้านห้วยหิน
โครงการรักษาผืนป่าตะวันตกเชิงระบบนิเวศ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โครงการอนุรักษ์นกแก้วอกแดงหรือนกแขกเต้า โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในไร่นาเพื่อการผลิตข้าวปลอดสารพิษ โครงการร่วมใจอนุรักษ์พิทักษ์ทุ่งใหญ่ โครงการณรงค์เชิงปฏิบัติการเกษตรยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยมะกอก โครงการกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ำจอกแม่เลา
โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชน 9 โครงการ ได้แก่ โครงการเรียนรู้ตลอดชีวิต โครงการส่งเสริมการเรียนรู้คู่การบำบัดฟื้นฟู (สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชนจังหวัดเพชรบูรณ์) โครงการน้องของหนูไม่ยุ่งกับสุราและยาสูบ โครงการฝึกอบรมค่ายศึกษาระบบนิเวศต้นน้ำ โครงการพัฒนาเยาวชนแกนนำเพื่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงการค่ายเด็กรักป่าเพื่อเด็กและเยาวชน โครงการเยาวชนร่มฉัตรแก้ว ร้อยใจถวายไท้ องค์มหาราชินี ระยะที่ 2 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โครงการบ้านสอนศิลป์ โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชน
โครงการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการค่ายยุวชนอาสาเพื่อการจัดตั้งเครือข่ายชมรมยุวชน เพื่อการอนุรักษ์การแพทย์แผนไทย ครั้งที่ 3 ศูนย์ประสานงานเขตภาคเหนือ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โครงการอนุรักษ์เพลงกล่อมลูกภาคกลาง โครงการคิดค้นและพัฒนาหุ่นสายไทย โครงการสารานุกรมภูมิปัญญาไทยและจัดทำ ซีดี เพื่อเผยแพร่พืชสมุนไพร พืชเศรษฐกิจ
โครงการอนุรักษ์การใช้ทรัพยากรและผลกระทบจากมลภาวะ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการกสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษแบบครบวงจร โครงการผลิตพลังงานทดแทนแกสชีวภาพจากขยะ
มาซดา
ตั้งสำนักงานภูมิภาคอาเซียนในไทย
มัลคอล์ม เกาก์ส เจ้าหน้าที่บริหารด้านการขายต่างประเทศ มาซดา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน (ญี่ปุ่น) เปิดเผยว่า เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในตลาด จึงจำเป็นที่จะต้องรับรู้ศักยภาพของแต่ละประเทศ และมีการประสานงานระหว่างกันให้มากขึ้น การก่อตั้งบริษัท มาสด้า อาเซียน จำกัด ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานต่างๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
สำหรับบริษัท ฯ ที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ จะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนงานด้านงานขาย พัฒนาการสร้างแบรนด์ มาซดา ให้แข็งแกร่ง การประสานงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ จัดทำการวิจัยการตลาด และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้มีผลิตภัณฑ์ของ มาซดา ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น
มัลคอล์ม กล่าวอีกว่า รู้สึกพอใจอย่างมากที่ตลาดรถ มาซดา ในเมืองไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เชื่อว่า มาซดา สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีในภูมิภาคนี้ สำหรับเมืองไทยมาซดา มีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 35 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา และในปีนี้คาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 2 หลัก สำหรับการเปิดตัว มาซดา 3 ในเมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว ประสบความสำเร็จอย่างสูงและได้รับการต้อนรับอย่างดี อีกทั้งรถพิคอัพ มาซดา ไฟเตอร์ ก็มียอดการจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและเป็นที่น่าพอใจ
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในปีที่แล้วสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 14,000 คัน ปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานประมาณ 80 แห่งทั่วประเทศ และมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากในประเทศไทยแล้ว ในตลาดภูมิภาคอาเซียนเอง มาซดา มีการดำเนินงานทั้งที่เป็นบริษัทตัวแทน และบริษัทร่วมทุนในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย/มาเลเซีย/ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ในปี 2547 ทั้งภูมิภาคมีอัตราการเติบโต 25 % และทำยอดขายได้ทั้งสิ้น 24,000 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 1.3 %
สำหรับภูมิภาคอาเซียนประกอบด้วยทั้งสิ้น 10 ประเทศ มีประชากรรวมกันทั้งหมดกว่า 500 ล้านคน และตลาดรถมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดขายทั้งตลาดกว่า 1.7 ล้านคัน และได้รับการคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้านี้
โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส ฯ
เปิดตัว "ใจดีแปลให้"
วิชัย เบญจรงคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้า แฮพพีกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ที่อยู่ในอาชีพที่ต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติ ลูกค้ากลุ่มนี้ นอกเหนือจากบริการพื้นฐานด้านเสียงแล้ว ไม่ค่อยมีการใช้บริการเสริมด้านอื่น แต่ต้องการบริการที่แตกต่างกว่านั้น นั่นคือ ต้องการความช่วยเหลือในการติดต่อกับชาวต่างชาติ ดังนั้น "ใจดีแปลให้" จะเป็นบริการแรกของวงการโทรคมนาคมที่จับกลุ่มอาชีพโดยเฉพาะ
ซิกเว บรัคเค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวเสริมว่า บริการ ใจดีแปลให้ นอกจากจะให้ความช่วยเหลือลูกค้าซึ่งเป็นคนไทยแล้ว ยังเป็นการเปิดให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาเมืองไทยรู้จักแฮพพีมากขึ้น ในฐานะเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความเป็นสากล เป็นที่พึ่งของนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ได้ นอกจากนี้การจัดให้มี คอลล์ เซนเตอร์ ที่ให้บริการภาษาอื่นยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสร้างสัมพันธ์อันดีผ่านทางบุคคลให้แก่ลูกค้าของแฮพพีอีกด้วย
ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยถึงบริการ ใจดีแปลให้ จะเป็นบริการที่ให้ความช่วยเหลือและสร้างประโยชน์จริงๆ ให้แก่ลูกค้า โดยจะเข้าไปสร้างตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ได้เริ่มจากวงกว้างเหมือนบริการอื่นๆ ที่เคยออกมา นั่นคือเจาะเข้าไปถึงกลุ่มที่มีความต้องการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร แต่มีข้อจำกัดไม่สามารถทำได้เต็มที่ เช่น กลุ่มผู้ขับรถแทกซี และกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป โดยในด้านบริการภาษานั้นจะเริ่มที่ภาษาอังกฤษเป็นอันดับแรก ระยะต่อมาก็คงเป็นภาษาอื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้าสำหรับ *1021 ใจดีแปลให้ ทุกวันตลอด 24 ชม. คิดค่าบริการตามแพคเกจค่าบริการที่ลูกค้าใช้ในขณะนั้น โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติม โดยจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการ ซึ่งสามารถรองรับลูกค้าได้ 300-400 ราย/วัน พร้อมกันนี้ยังผลิตสื่อต่างๆ เพื่อใช้ติดตั้งในรถแทกซี เช่น แผ่นกันแดด และสติคเกอร์ รวมทั้งคาร์ดขนาดพกพา เขียนข้อความ เพื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ เปิดให้บริการภาษาอังกฤษแล้วตั้งแต่วันนี้
กระทรวงพลังงาน ร่วม สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ
จัดสัมมนายุทธศาสตร์พลังงานรัฐบาลเดินมาถูกทางแล้วจริงหรือ ?
วิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผย ภายหลังการสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์พลังงานรัฐบาลเดินมาถูกทางแล้วจริงหรือ ?" ว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ รัฐบาลอาจจะมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนราคาน้ำมันดีเซล เพื่อให้สะท้อนกับสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลก ซึ่งแนวทางอาจจะเป็นการขยับราคาขึ้นทันที หรือลอยตัว ต้องติดตามสถานการณ์น้ำมันตลาดโลกอีกครั้ง โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระชดเชยอยู่ที่ 2.09 บาท/ลิตร ทั้งนี้โดยปกติไตรมาสที่ 2 ของทุกปี เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลง และในช่วงไตรมาสที่ 3 จะเริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น เพราะสภาพอากาศที่เริ่มหนาวเย็น
วิเศษ กล่าวว่า ราคาน้ำมันในช่วง 2 ปีนี้ จะยังทรงตัวในระดับสูง ประมาณ 40-50 เหรียญ/บาร์เรล เป็นผลมาจากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน และอินเดีย ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาวรัฐบาลจะปล่อยลอยตัวราคาดีเซลอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลทำให้ภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าไปตรึงราคาน้ำมันลดลง จากปัจจุบันใช้เงินไปแล้วกว่า 86,000 ล้านบาท
ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรจะใช้โอกาสที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลไปเลย เพราะขณะนี้กองทุนน้ำมันตรึงอยู่เพียง 2 บาท/ลิตรเท่านั้น
ถือเป็นจังหวะที่ดีมาก ภาคเอกชนและผู้ประกอบการจะได้สามารถวางแผนในการลงทุนหรือดำเนินกิจการได้ ความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนว่ารัฐบาลจะปรับราคาน้ำมันเมื่อใดจะหมดไป ในขณะที่รัฐบาลเองหากมีการปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันในช่วงนี้ ก็จะไม่มีข้อครหาว่าให้เรื่องการเมืองเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ
ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า มาตรการด้านราคาสามารถเป็นแรงจูงใจให้เกิดการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุด เรื่องจิตสำนึกต่างๆ คงไม่ต้องรณรงค์แล้ว เพราะคนไทยรู้แล้วว่าต้องประหยัดน้ำมัน เพียงแต่ที่ไม่ทำเพราะคิดว่าราคาน้ำมันถูก การปล่อยให้ราคาน้ำมันสะท้อนกลไกตลาดโลกจึงน่าจะดีที่สุดในการส่งเสริมให้มีการลดการใช้น้ำมัน
เหตุผลสนับสนุนที่ทำให้ต้องปล่อยราคาเสรีคือ ช่วงที่ราคาเบนซินปล่อยลอยตัวนั้น ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ปริมาณการใช้ลดลงอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดมาติดลบแล้วในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้น้ำมันพอสมควร เนื่องจากเป็นน้ำมันรถยนต์ส่วนบุคคล
ความจำเป็นในการประหยัดน้ำมันตอนนี้มีสูงมาก เพราะการนำเข้าพลังงานสุทธิมีผลต่อจีดีพี ตอนนี้อยู่ที่ 6 % แล้ว เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่แล้วเพียง 3 % ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตื่นตัว
อย่างไรก็ตามข้อโต้แย้งที่ว่า เกรงว่าจะเกิดเงินเฟ้อ สินค้าปรับราคาจนกระทบต่อกำลังการซื้อ หากมองย้อนกลับไป ประเทศไทยเคยปรับราคาน้ำมันครั้งใหญ่หลายครั้ง อาทิ ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2533 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลยกเลิกควบคุมราคาน้ำมันและปล่อยลอยตัวสมัย พลอ.ชาติชาย รัฐบาลปรับราคาน้ำมันลอยตัวตามต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งพรวดเดียว 33.9 % ภายในเดือนเดียวส่งผลต่อเงินเฟ้อในระยะ 2-3 เดือนแรกเท่านั้น กล่าวคือ ไตรมาสสุดท้ายของปีนั้น เงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8 % เท่านั้น
ล่าสุด การขึ้นเพดานดีเซลมาเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลต่อเงินเฟ้อขึ้นเพียง 1 % เท่านั้น และอยู่ในช่วงระยะแค่ 2 เดือนแรกเท่านั้น ขณะเดียวกันในช่วงระหว่างนี้นั้นเหมาะอย่างมากที่จะปรับราคาลอยตัวเพราะราคาดีเซลจริงกับราคาเพดานตอนนี้ห่างกันแค่ 2 บาทเท่านั้น เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซัน ขึ้นพรวดเดียวครั้งนี้ยังเจ็บน้อยกว่าครั้งที่แล้วที่ขึ้นมา 3 บาท อย่าวิตกกังวลผลกระทบของการปรับราคาน้ำมันมากเกินไป
สินค้าย่อมต้องขึ้นราคา แต่จะขึ้นเพียงครั้งเดียว แล้วทุกอย่างจะปรับฐานของมันให้เป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริง เป็นการเริ่มต้นพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจ และถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรที่จะขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันด้วย เพื่อเป็นเงินทุนสร้างอินฟราสตรัคเจอร์รวมทั้งให้ราคาเป็นตัวกระตุ้นการตื่นตัวของการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ และผลดีต่อการปล่อยราคาเสรีนั้น ในทางอ้อมก็ยังทำให้ภาคเอกชนอื่นๆ สามารถคาดคะเนตลาดได้อย่างแม่นยำ เพื่อประมาณการรายได้และเม็ดเงินเพื่อการลงทุนเพิ่มด้วย ไม่มีอะไรที่ดีเลย หากตรึงราคาเอาไว้เพราะยังมีภาระหนี้กองทุนน้ำมันอีก 86,000 ล้านบาทที่ยังต้องรอการชำระคืนอีกด้วย
ABOUT THE AUTHOR
น
นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ