ทั่วไป
รถสปอร์ทแสนสเน่ห์แห่งปี '60
วิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของรถอเมริกันสปอร์ทยอดฮิท เชฟโรเลต์ คามาโร 350 เอสเอส ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของรถคันนี้ให้ฟังว่า เมื่อสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว ได้ซื้อรถคันนี้จากเหมืองร้างทางภาคใต้แห่งหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ในจังหวัดอะไร เพราะตอนที่ตัดสินใจก็ยังไม่เห็นสภาพของรถเลยด้วยซ้ำไป รู้แค่เพียงว่าเป็น เชฟโรเลต์ คามาโร เปิดประทุน เผอิญเป็นคนชอบรถอเมริกันอยู่แล้ว จึงตกลงใจซื้อมาด้วยราคา 80,000 กว่าบาท
สภาพตอนซื้อมา เขายอมรับว่าไม่ต่างอะไรจากซากรถเก่าๆ คันหนึ่ง หลังคาผ้าใบถูกเจ้าของเก่าปิดตายเพราะไม่ต้องการเปิดให้เกิดปัญหายามฝนตก สีตัวถังรถก็เสื่อมสภาพ ภายในห้องโดยสารแม้อุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ ยังอยู่ครบ แต่ก็มีสภาพย่ำแย่เต็มที เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าไม่ชอบรถรุ่นนี้จริงๆ คงรับไม่ได้แน่ๆ
การบูรณะเริ่มต้นจากนำตัวรถมาตัดผุ ทำสี ใหม่ เป็นสีฟ้าใส แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นรถอเมริกัน คือ คาดสีขาวคู่จากฝากระโปรงหน้า/หลัง ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกันกับรถ ดอดจ์ ไวเพอร์ และอุปกรณ์บางอย่างที่ขาดหายไป ก็ไม่ได้สั่งซื้อจากต่างประเทศแต่อย่างใด เพราะในสมัยนั้น การติดต่อสื่อสารยังไม่ครอบคลุมเหมือนในปัจจุบันนี้ ต้องอาศัยเดินตามร้านแถวสะพานควายบ้าง สุสานรถบ้าง หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ลงทุนซื้อซากรถอีกคันหนึ่งเก็บไว้เป็นอะไหล่ แล้วแกะเอาแต่เฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องการไว้ กว่าจะได้สภาพอย่างที่เห็นนี้ เขายอมรับว่าเหนื่อยมากๆ แต่ก็ภูมิใจที่ทำได้สำเร็จ
จากรูปลักษณ์ปัจจุบันเมื่อแรกเห็น ต้องบอกว่าคลาสสิคมาก เพราะรถรุ่นนี้ผลิตในช่วงปี '60 ซึ่งรถส่วนมากที่ผลิตขึ้นในปีนี้ จะเน้นการออกแบบที่ประณีต พิถีพิถัน อุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ทนทาน ซึ่งวัสดุที่ใช้ผลิตเป็นประเภทโลหะเกือบทั้งคัน อาจจะเป็นเพราะว่าในยุคนั้น โลกเพิ่งฟื้นตัวจากสงครามโลก ทำให้บริษัทผู้ผลิตมีเวลาที่จะบรรจงสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ จนบางคนตั้งฉายาว่า "ยุคของโลกกำลังเต้นรำ" โดยสังเกตได้จากแนวเพลง และการแต่งตัว ที่เน้นอิสระ และเสรีภาพอย่างแท้จริง
ภายนอกสีฟ้าสดใส ฝากระโปรงหน้า/หลังคาดขาว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถจากแดน "มะกัน" โดยแท้ กันชนหน้า/หลัง สีโครเมียมขนาดใหญ่ รวมถึงกระทะล้อที่ยังคงอนุรักษ์ได้อย่างงดงาม หลังคาเปิด/ปิดประทุน ติดตัวมาจากโรงงาน กลับนำมาใช้งานได้ทุกเมื่อยามต้องการ ฝากระโปรงท้ายออกแบบเป็นที่เก็บสัมภาระได้อย่างลงตัว ที่สำคัญถึงแม้ว่าจะมีอายุอานามร่วม 36 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีอุปกรณ์ที่รถสมัยใหม่บางคันยังไม่มีเลย คือ ไฟสปอทไลท์ใต้กันชนนั่นเอง
วิชาญ ยังให้ความรู้แก่เราว่า ถ้าอยากรู้ว่ารถอเมริกันผลิตขึ้นในปีไหน ให้สังเกตดูที่ไฟท้าย เพราะรถเกือบทุกรุ่นจะประทับเครื่องหมายและปีที่ผลิตติดไว้ที่ไฟท้ายเสมอ เมื่อเราเดินดูรอบๆ ตัวรถ ก็จะเกิดความประทับใจกับสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสัญชาติ ว่าข้ามาจากสหรัฐอเมริกา เพราะโลโกตรงแก้มท้ายรถทั้ง 2 ข้าง เป็นรูปธงอเมริกันติดอยู่ ส่วนแก้มหน้ารถซ้าย/ขวาบอกชื่อรุ่น คามาโร รหัส เอสเอส ที่มาจากคำว่า "ซูเพอร์สปอร์ท" ที่เน้นในเรื่องของการแข่งขันทางเรียบ แต่รถรุ่นนี้ไม่ใช่จะมีแต่ รหัส เอสเอส เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีรหัส อาร์เอส ซึ่งมาจากคำว่า "แรลลี สปอร์ท" ที่มุ่งเน้นในเรื่องการแข่งขันทางฝุ่นนั่นเอง
ภายใน ไม่ค่อยหวือหวาเท่าไรนัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่กี่อย่างร่วมกับอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น เจ้าของรถว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะอนุกรม เชฟโรเลต์ ที่เป็นรถอเมริกันแท้ๆ นั้น จะไม่ค่อยคำนึงถึงความสะดวกสบายเท่าไรนัก โดยออกแบบมาเพื่อให้ขับขี่สนุก เครื่องยนต์แรง รูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม ทำให้ส่วนอื่นๆ ถูกมองข้ามไป แม้แต่ที่เก็บยางอะไหล่ยังไม่มีมาให้เลย แต่ถ้าเป็นรถ แคดิลแลค/โอลด์สโมบิล และ บิวอิค แล้วรถจะเน้นอุปกรณ์ใช้สอยที่เพิ่มความสะดวกสบายมากกว่าการขับขี่
ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง แผงประตู หลังคาผ้าใบ เป็นสีดำสนิท ทำความสะอาดง่าย พวงมาลัยซ้ายทรงสปอร์ท 3 ก้าน จับกระชับมือมาก แผงแดชบอร์ดมีเกจวัดที่จำเป็นเท่านั้น อาทิ วัดความร้อน เกจน้ำมัน ส่วนมาตรวัดความเร็วที่ขาดหายไป คือที่วัดรอบเครื่องยนต์ แต่เจ้าของรถได้หามาใส่เพิ่มเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีหน้าตาแบบสไตล์รถอเมริกัน ติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลาง ถัดลงมาก็พบกับคันเกียร์อัตโนมัติ ที่มีลักษณะเหมือนคันเร่งเครื่องบิน
เข็มขัดนิรภัยยังคงใช้ของเดิม ที่เป็นแบบคาดเอว จากขวามาซ้ายตามสไตล์รถปี '60 แต่พอเข้าสู่ปี '70 กฎหมายในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่มากขึ้น ทำให้เข็มขัดนิรภัยถูกออกแบบให้มีหน้าตาเหมือนในปัจจุบัน คือ พาดบ่าแทน กระจกมองข้างสีโครเมียม เงาวับ ปรับเปลี่ยนมุมมองได้ภายในรถ
เครื่องยนต์บิกบลอค สวนกระแสราคาน้ำมัน ที่เน้นความทนทาน และความแรงด้วยเครื่อง วี 8 สูบ 350 คิวบิคนิ้ว (เป็นหน่วยชั่งตวงวัดแบบสหรัฐอเมริกา) หรือความจุประมาณ 5,300 ซีซี มีม้าให้ควบเล่นถึง 360 ตัวเลยทีเดียว อัตราการบริโภคน้ำมันตกอยู่ที่ราวๆ 2-3 กม./ลิตร จ่ายน้ำมันด้วยระบบคาร์บูเรเตอร์ขนาดใหญ่ ขับสบายด้วยเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ ความเร็วปลายไม่ต้องพูดถึงทะลุ 200 แบบสบายๆ
ลักษณะที่โดดเด่นอีกประการของรถรุ่นนี้คือ มุมทั้ง 4 ของตัวรถมีบาลานศ์เวทติดตั้งอยู่ เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ และรักษาความสมดุลของตัวรถ เมื่อต้องใช้ความเร็วสูงในการขับเข้าโค้ง แต่ก็ต้องแลกกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นราว 80 กก.
นับว่าเป็นรถอเมริกันคลาสสิคที่อนุรักษ์ได้อย่างสวยงามอีกคันหนึ่ง ซึ่งนับถึงวันนี้จะหาดูได้ยากในเมืองไทย ด้วยเหตุผลเรื่องความนิยมที่ลดน้อยถอยลงในกลุ่มนักเล่นรถเก่า ที่ปัจจุบันหันมาเล่นรถยุโรป เพราะหาอะไหล่ได้ง่ายกว่า
ข้อมูลจำเพาะ
เชฟโรเลต์ คามาโร 350 เอสเอส
แบบ สปอร์ทเปิดประทุน
ปีที่ผลิต (คศ.) 1969
เครื่องยนต์
แบบ วี 8 สูบ
ความจุ (ซีซี) 5,300
กำลังสูงสุด (แรงม้า) 360
เกียร์ (จังหวะ) อัตโนมัติ 3
น้ำหนักรถ (กก.) 1,200
พวงมาลัย ซ้าย
เรื่องโดย : จิฏวีระ ประทุมมณี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8086