ทั่วไป
-
ถึงวันนี้ ปี 2547 เด็กรุ่นใหม่มาถามว่า รู้จักผู้ใหญ่ลีไหม ? ช่วยอนุเคราะห์เล่าให้ฟังหน่อย
ผู้เขียนว่า จะยากอะไร เพราะเรื่องผู้ใหญ่ลีนั้นคงมีต้นกำเนิดแถวบ้านผู้เขียนนั้นกระมัง แม้น้าชายของผู้เขียนก็ชื่อ "ลี" เหมือนกัน แต่ถึงไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านก็เถอะ และน้าก็เบื่อโลกนี้ชิงจากไปก่อน ปี 2504 ปีที่เกิดเรื่อง ตามต้นตอของเพลง ซึ่งความจริงก็คือปีที่เริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ของรัฐบาลในวิสัยทัศน์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้นำตัวจริงและเสียงจริง "ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว" !
เพื่อความเข้าใจที่ดี ขออนุญาตทวนเนื้อเพลงของเดิมก่อน (สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ถาม)
"พอศอสองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า (ซ้ำ) ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอนถามว่าสุกรนั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา หมาน้อยๆ ธรรมดา (ซ้ำ)"
นี่คือเนื้อเพลงที่คุณ พิพัฒน์ บริบูรณ์ เลียนเรื่องเล่าของชาวบ้านที่แต่งเป็นเพลงรำวงพื้นบ้านมาก่อน ก็มีการดัดแปลงบ้าง เมื่อเอามาให้คุณศักดิ์ศรี ศรีอักษร ขับร้องเกิดดังระเบิด เพราะทำนองคุ้นหูและมีอารมณ์ขัน ไม่มีใครนึกมาโวยวายว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นภูมิปัญญาอะไรกันนัก เพราะเข้าใจว่าเป็นการล้อเลียนกันสนุกๆ ธรรมดา
สำหรับผู้เขียนนั้น ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกๆ แล้ว ก็ไม่ค่อยประทับใจตามประสาคนที่บ้าภาษา จึงได้เขียนเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ (ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็น "มติชน" หรือตอนนั้นจะยังเป็น "ประชาชาติ" ที่อยู่ในซอยสุขุมวิท 51หลังร้าน ต.ไทยเจริญ ปัจจุบัน) เขียนอยู่ตั้ง 3 ตอน คือ ละลาบละล้วงไปว่า "เพลงสาวบ้านแต้" ของวง "สุนทราภรณ์" ด้วย โดยเน้นไปเรื่องภาษามากกว่าอย่างอื่น เหมือนที่จะเอามา "ปรับใหม่" (ภาษาใหม่เขาเรียกว่า "รีไซเคิล") คราวนี้
เรื่องแรกที่ผู้เขียนเห็นว่าไม่น่าจะใช่คือ "ตีกลอง" เพราะต้นฉบับพื้นบ้านนั้นเขาร้องกันว่า
"ตีกะลอประชุม" และแถวบ้านนอกของผู้เขียนนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ "ตีกะลอ" ไม่มีผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านไหน "ตี
กลอง" เมื่อเขียนไปแล้ว มีคนทักว่าบางแห่งเขาก็ตีกลอง แต่แถบบ้านผู้เขียนมีแต่พระเณรเท่านั้นที่ตี
กลองเพล (เวลาลงโบสถ์เช้า-เย็นก็ตีโปงซึ่งทำด้วยไม้ทั้งต้น เจาะให้แหว่งสองข้างเหมือนที่ทำด้วยไม้ไผ่รวกเล็กๆ ที่แขวนคอวัวควาย แต่เรียกว่า "ขิก" ชื่อดั้งเดิม ที่ต่อมากลายเป็นชื่อของเครื่องลางที่ผู้ชายเอามาแขวนเอวหรือแขวนคอ แต่สตรีเอามาเสียบผมเพื่อเป็นของขลัง มิใช่โปงลางที่แขวนเหมือนลูกระนาดนั้น) ไม่ตีกลองประชุม
คำว่า "กะลอ"นั้น ผู้เขียนฟันธงว่าก็คือ "เกราะ"นั่นเอง เกราะหรือกะลอนั้นทำด้วยไม้ไผ่ 1 ปล้อง คงข้อคั่นหัวและท้ายไว้ แล้วเจาะช่องด้านหนึ่งกว้างประมาณ 1-2 นิ้ว เลาะตลอดความยาวของไม้ไผ่ปล้องนั้น เมื่อเอามาเคาะด้วยท่อนไม้เล็กๆ พอประมาณ ก็จะเกิดเสียงดังอย่าที่โบราณเรียกว่า "ตีเกราะเคาะไม้" เป็นสัญญาณของชาวบ้านในสมัยก่อน
ทำไมจึงเป็น "กะลอ" นั่นก็เพราะชาวอีสานนั้นไม่นิยมควบกล้ำ จาก "เกราะ" จึงเป็น
"กะลอ" แต่ผู้แต่งเพลงคงเกรงว่าคนฟังหรือคนร้องจะเพี้ยนเป็นคำอื่นฟังแล้วเสี่ยงต่อคำสัปดน จึงใช้คำว่า "กลอง" ปลอดภัยไว้ก่อนก็เป็นได้ นี่สันนิษฐานแบบนักวิชาเกินอย่างผู้เขียน
คำที่สอง "ตาสีหัวคลอน" คำนี้ผู้เขียนเพลงเพี้ยนแน่ๆ เพราะคำนี้ไม่สื่ออะไรเลย เด็กอมมือแถวบ้านผู้
เขียนมันร้องกันมาก่อนว่า "ตาสีหัวงอน" ทั้งนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านมองภาพออกและเข้าใจดีว่า
"หัวงอน" นั้นคืออย่างไร ส่วน "หัว" จะ "คลอน" นั้น ต้องเวลาที่นั่งพาหนะเช่นรถหรือเกวียนไปในทางไม่เรียบหรือทางที่คดไปคดมา คนจึงจะ "หัวสั่นหัวคลอน" คนธรรมดาอย่างตาสีนั่งฟังผู้ใหญ่บ้านประชุมอยู่ดีๆ จะหัวคลอนได้อย่างไร นึกภาพไม่ออกเลย ยิ่งคิดในแง่หลักภาษาคำว่า "คลอน" ไม่น่าจะเป็นคำวิเศษณ์ที่มาประกอบคำนาม "หัว" (เช่น หัวโต หัวลีบ หัวบิด หัวเบี้ยว..และที่แน่นอนที่สุดก็ "หัวงอน"นี่แหละถูกต้องที่สุด
คำที่ผู้เขียนว่าผิดอย่างยิ่งก็คือตรงที่เป็นคำสำคัญ (ไคลแมกซ์) คือ "หมาน้อยธรรมดา" ซึ่งไม่ได้แสดง
ภูมิปัญญาเชิงภาษาอันชวนขบขันอย่างที่ชาว (พื้น) บ้านเขาร้องกันมาก่อน เพราะเดิมนั้นเขาใช้ว่า "ม้าน้อยธรรมดา" คำว่า "ม้าน้อย" ถ้าออกเสียงอย่าชาวอีสานก็ต้องออกเสียงว่า "ม่าน่อย"
ก็ชาวบ้านนั้นเขาล้อเลียนผู้ใหญ่ลีว่า แค่ "ม้าน้อย" (ม้าตัวเล็กๆ) คุณผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ และที่สำคัญเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เขาไม่เรียกหมาหรือสุนัขกันตรงๆ เช่น เวลาที่พูดกันอย่างเลี่ยงๆ ว่าเวลาใครกินเนื้อหมา (สมัยก่อนคนไทยถือกันมาก เห็นเป็นเรื่องน่าประหลาดเป็นพิเศษเลยที่ใครกินเนื้อหมาเหมือนที่เพื่อนชาวเวียดนามมาทำในเมืองไทย)
ฉะนั้นเวลาที่จะเอ่ยถึงหมาหรือสุนัขอย่างเลี่ยงที่จะเอ่ยโต้งๆ เขาจึงเรียกโดยเลี่ยงไปใช้คำว้า "ม้าน้อย
ธรรมดา" (ซึ่งเข้าใจกันโดยนัยว่าหมายถึงหมาหรือสุนัข สัตว์ผู้มีเล็บงามนั่นเอง)
นี่คือการใช้ภาษาอย่างมีศิลปะ ไม่พูดจาทื่อๆ โต้งๆ ไม่แสดงภูมิปัญญา หรือไม่แสดงอย่างมะลื่อทื่อ ซึ่งไม่ใช่วิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนหรือเจ้าสำบัดสำนวนแบบไทยๆ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว (ไม่รู้ว่าแปลความว่ากระไร แต่ได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งพูดเล่นๆว่า "WHERE
WHERE IS EHERE WHERE" ผู้คนที่ได้ฟังก็งงกันพักหนึ่ง กว่าจะคิดออก แล้วก็เฮ...ตามมา) ขอว่า
ต่อไปอีกเล็กน้อยให้จบกระแสความ
ยังมีท่อนสองของเพลงผู้ใหญ่ลีเพิ่มเติมอีกว่า "สายัณห์ตะวันร้อนฉี่ ผู้ใหญ่ลีขี่ม้าบักจ้อน แดดฮ้อนๆ ใส่แว่นตาดำ ผู้ใหญ่กลัวฝนจะตกฮำ (ซ้ำ) ถอดแว่นตาดำฟ้าแจ้งจางปาง ฟ้าแจ้งๆ จางปาง(ซ้ำ)" นี่ก็เป็นการล้อเลียนเพื่อเอาสนุก ทำนองว่าคนสวมแว่นตาดำก็จะเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนทำท่าจะตก
ในที่นี้มีถ้อยคำที่น่าสังเกตอยู่ 2-3 คำ คำแรกคือ "ม้าบักจ้อน" ซึ่งเป็นภาษาอีสาน แปลความว่า "ม้าตัวเล็กๆ" ที่บางครั้งเรียกว่า "ม้ากระแต" (อะไรที่เล็กๆ มักเรียกว่า "กระแต" เช่น ฆ้องเล็กก็เรียกฆ้อง
กระแต) คำว่า "บัก" นั้นคนอีสานใช้เรียกนำหน้าชื่อผู้ชายในลักษณะคุ้นเคย ในทำนอง "ไอ้" ของภาค
กลาง (ไม่ใช่ "อ้าย" ซึ่งแปลว่า "พี่" ที่ใช้เรียกอย่างยกย่องให้เกียรติ) ต่อมาไม่ทราบว่ามีคนเข้าใจผิด
หรือเจตนา เอาคำว่า "บัก" ไปใช้ในทางไม่ดี คือไปหมายถึงอวัยวะเพศชายไปอย่างน่าสงสาร ส่วน
"จ้อน" นั้นก็แปลว่า "เล็ก" (พจนานุกรมหน้า 294 ให้ความหมายว่า "แคระ เล็ก แกร็นเฟ็ด หด สั้น ถลกขึ้นสูง เช่น นุ่งผ้า "จ้อน") การขี่ม้าตัวเล็กๆ ก็เป็นการสร้างภาพว่าไม่ยิ่งใหญ่เหมือนคนที่ขี่ม้าเทศ
"ฮ้อน" กับ "ฮำ" เป็นภาษาอีสานที่ใช้แทนคำที่ตรงกับเสียง "ร" ในภาษากลาง คำไหนที่เป็นคำดั้งเดิม
จะเป็น "ฮ" ทั้งสิ้น แต่คำใหม่ เช่น โรงเรียน ฯลฯ จะไม่ใช้ "ฮ" ทั้ง ๆ ที่คำดั้งเดิมมีทั้ง "โฮง" และ "เฮียน" (โฮง=ห้องโล่งโถงยาว เฮียน=เรียน แต่โรงเรียนก็เรียกโรงเรียนไม่เรียก โฮงเฮียน)
คำว่า "ฮ้อน" แปลว่า "ร้อน" เข้าใจกันดี แต่ "ฮำ" หมายถึง "รด ราด สาด ทำให้เปียก" ตัวอย่างความ
หมายของ "ฮำ" ที่ดีที่สุดก็คือ "ฝนตกฮำ" นี่แหละตรงที่สุด
คำว่า "แจ้ง" ภาษาอีสานใช้ทั่วไปในความหมายว่า "สว่าง สาง" เช่น ตอนเช้าที่เริ่มสางเห็นรางๆ ก็เรียกว่า "แจ้งแล้ว" เป็นต้น
ส่วน "จางปาง" (หรือถ้าเขียนให้ถูกตามหลักการเขียน ก็ต้องเขียน "จ่างป่าง" แต่ออกเสียงตามสำเนียงอีสาน ก็ต้องเป็น "จางปาง") ก็เป็นคำวิเศษณ์ประกอบ "แจ้ง" มีความหมายว่า "สว่างโล่งไม่มีอะไรปิดบัง" อะไรทำนองนั้น ในภาษาอีสานมีคำวิเศษณ์ (คำที่ขยายคำอื่น) มากมาย เช่น "สะหวีวี่วี" เป็นต้น
ยังมีลูกติดพัน เอาไว้เดือนหน้าพบกับ "สาวบ้านแต้" ฉบับ "สุนทราภรณ์" ก็แล้วกัน
ABOUT THE AUTHOR
ป
ประยอม ซองทอง
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ทั่วไป