รถใหม่
มหกรรมยานยนต์เจนีวา 2015 บทพิสูจน์ความหลากหลายของโลกติดล้อยังมีที่ว่างสำหรับรถแรงรถเร็วสุดหรู
มหกรรมยานยนต์เจนีวา 2015 บทพิสูจน์ความหลากหลายของโลกติดล้อยังมีที่ว่างสำหรับรถแรงรถเร็วสุดหรู
เพียง 1 เดือนเศษหลังจากดื่มด่ำกับบรรดารถพลังงานทดแทนนับได้หลายสิบแบบหลายสิบคัน ที่ปรากฏตัวให้สัมผัสในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนมกราคมของปีแพะบ้า ทีมงานของ "สื่อสากล" ก็มีอาการชีพจรลงเท้า ต้องอำลาบ้านเกิดและเมืองนอน เพื่อไปยลโฉมรถใหม่นับได้หลายสิบหลายร้อยคัน ที่บรรดาบริษัทผู้ผลิตจะนำออกอวดตัวในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่เท่าไร ? ก็จำไม่ค่อยจะได้แล้ว
ปัญหาหนึ่ง และปัญหาเดียวในการเดินทางไปเยือนมหกรรมยานยนต์ที่จัดกันเป็นประจำทุกๆ ปีในเมืองอินเตอร์ของสวิทเซอร์แลนด์ คือ โรงแรม แม้ว่าพยายามจองโรงแรมผ่านทางอินเตอร์เนทก่อนวันเปิดงานถึง 6 เดือน และยอมสู้ราคาโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่คิดค่าเข้าพักระดับ 600 ยูโร/คืนสำหรับห้องเตียงคู่ ก็ยังหาโรงแรมในเจนีวาไม่ได้ ต้องแก้ปัญหาเหมือนเมื่อปีกลาย คือ ใช้โรงแรมในเมืองมงเทรอซ์ (MONTREUX) ซึ่งอยู่ห่างจากเจนีวาประมาณ 70 นาที เมื่อเดินทางด้วยรถไฟ และคราวนี้เลือกโรงแรมระดับ 4 ดาวซึ่งเยี่ยมยอดมาก คือ โรงแรม GRAND HOTEL MAJESTIC ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ และห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีรถไฟหลักของเมือง ห้องอาหารเช้าของโรงแรมนี้เข้าไปนั่งแล้วก็อิ่ม โดยที่ยังไม่ทันได้กินอะไร เพราะมีผนังกระจกที่สูงเกือบ 3 เมตร และกว้างกว่า 20 เมตร มองทะลุผนังกระจกที่ว่านี้ ก็จะเห็นทะเลสาบสุดสวย ที่มีภูเขาสูง ยอดปกคลุมด้วยหิมะเป็นฉากหลัง ปีหน้าถ้ายังมีปัญหากับโรงแรมในเจนีวาอีก สัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะกลับไปใช้บริการของโรงแรมนี้อีก
เช่นเดียวกับงานครั้งที่ 83 เมื่อปี 2013 และครั้งที่ 84 เมื่อปี 2014 ปีนี้ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า THE FOUNDATION OF THE GENEVA MOTOR SHOW แสดงให้เห็นในจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม โดยจัดทำ LEAFLET หรือแผ่นพับขนาดโตกว่ากระดาษเอ 4 นิดหน่อย เพื่อแจกจ่ายแก่สื่อมวลชนและผู้ชมงาน แผ่นพับที่ว่านี้บรรจุรายชื่อและตำแหน่งแห่งหนของรถทุกรุ่นทุกแบบที่ปรากฏตัวในงาน และเป็น GREEN CAR หรือ รถสะอาด คือ มีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากปลายท่อไอเสียน้อยกว่า 95 กรัม/กม. ปรากฏว่ามีทั้งรถไฮบริด รถเซลล์เชื้อเพลิง รถเบนซิน รถแกสธรรมชาติ/แกสชีวภาพ รถไฟฟ้า และรถดีเซล ปรากฏชื่ออยู่ในแผ่นพับนี้ถึง 76 รุ่น นับเป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันว่า ปัจจุบันผู้คนในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีทางเลือกอยู่มากมายในการเลือกใช้รถยนต์ ที่ไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อสิ่งแวดล้อม หรือหากยังกระทบก็กระทบเพียงเล็กน้อย
เหรียญยังมีสองหน้า มหกรรมยานยนต์ทุกรายการก็มีสองหน้า หรือมากกว่าเช่นกัน ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์มากรายทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ ในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสุรุ่ยสุร่ายและไม่นึกถึงคนรุ่นหลัง ซึ่งผลลัพธ์ก็คือบรรดา GREEN CAR หรือรถสะอาดดังที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีคนอีกหลายกลุ่ม ที่อยู่ในสังกัดของผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายเจ้า ที่ทุ่มเทความพยายามไม่แพ้กัน ในการรังสรรค์รถคันโตๆ ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ๆ รีดกำลังกันทุกหยาดหยด เค้นสมรรถนะกันอย่างสุดๆ เพื่อให้ได้ตัวเลขความเร็วที่เห็นแล้วขนลุก และสามารถติดป้ายราคาที่เห็นแล้วอยากตายเพื่อไปเกิดใหม่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเกิดใหม่เป็นลูกคนรวย รถประเภทที่ว่านี้ก็มีอยู่มากเช่นกันในมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 85 ที่ยังน่าดีใจ และช่วยลดความรู้สึกอยากประณามรถแรงรถเร็วเหล่านี้ คือ การได้รับรู้ความจริงว่า แม้เป็นการออกแบบ/พัฒนารถที่ยึดถือความแรงความเร็วเป็นสรณะ (เหมือนบางคนที่ยึดถือจานบิน) แต่กลุ่มคนและผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ ก็ยังใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมนานาประการที่มีอยู่ ในการลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และทำให้เกิดแกสคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ตัวอย่างของผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ในมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดนี้ ทีมงานของเราจึงได้มีโอกาสสัมผัสรถแรง 449 กิโลวัตต์/610 แรงม้า ติดป้ายชื่อ AUDI R8 V10 PLUS ที่สามารถทำความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. แต่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ไม่หนักหนาสาหัสจนเกินทน คือ 289 กรัม/กม. และรถแรง 368 กิโลวัตต์/500 แรงม้า ติดป้ายชื่อ PORSCHE 911 GT3 RS ซึ่งทำความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าพอใจมาก คือ แค่ 12.7 ลิตร/100 กม. และมีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากปลายท่อไอเสียที่ไม่ทำให้ถึงกับต้องหาวเรอ คือ 296 กรัม/กม.
บางคันของรถสะอาดและรถแรง รถเร็ว ที่กล่าวข้างต้น เราเลือกมาบรรจุไว้เรียบร้อยแล้ว ในรายงานนับได้รวม 18 หน้าถัดจากหน้านี้
MERCEDES-AMG GT3
ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานได้อย่างล้นหลาม โดยนำผลงานใหม่ๆ ออกอวดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ คันแรกที่เลือกมาให้ชมกันคือ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที 3 (MERCEDES-AMG GT3) ซึ่งปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแข่งที่พัฒนาจากรถสปอร์ทติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที (MERCEDES-AMG GT) ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดพร้อมกับป้ายค่าตัว 115,400 ยูโร ตัวถังทั้งภายนอกภายในเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายเพื่อลดน้ำหนักตัวและสร้างความแตกต่าง จุดที่เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจมากที่สุด คือ แผงกระจังหน้าที่ทำขึ้นใหม่และขนานชื่อว่า "แพนอเมริกานา" (PANAMERICANA) ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิง DOHC วี 8 สูบ 6.3 ลิตร ที่ปรุงแต่งเป็นพิเศษสำหรับรถแข่ง คาดหมายว่ารถคันแรกจะถึงมือผู้สั่งจองตอนปลายปี และน่าจะลงสนามแข่งได้ในปี 2016
MERCEDES-BENZ CONCEPT V-ISION E
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย "ดาวสามแฉก" ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ วี-อิชัน อี (MERCEDES-BENZ CONCEPT V-ISION E) เป็นรถแนวคิดที่ค่ายนี้ทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า น่าจะทำอะไรได้บ้างในรถอเนกประสงค์ เมร์เซเดส-เบนซ์ วี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ V-CLASS) รุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มจำหน่ายในเมืองเบียร์เมื่อไตรมาส 2 ของปี 2014 มีห้องโดยสารที่ออกแบบอย่างหรูหรา และน่านั่ง เพราะติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งสบายยังกะนั่งอยู่ในชั้นหนึ่งของสายการบินระดับพรีเมียม ที่น่าสนใจไม่แพ้ห้องโดยสาร คือ ระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 245 กิโลวัตต์/333 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 3.0 ลิตร/100 กม. มีความเร็วสูงสุด 206 กม./ชม. และไปได้ไกลถึง 50 กม. เมื่อวิ่งด้วยพลังไฟล้วนๆ
MERCEDES-MAYBACH PULLMAN
อวดตัว "ครั้งแรกในโลก" เช่นกันคือ เมร์เซเดส-มายบัค พูลล์แมน (MERCEDES-MYBACH PULLMAN) รถสุดหรู และอัครฐานที่เจ้าของไม่ขับและผู้ขับไม่ใช่เจ้าของ ที่นักวิจารณ์รถยนต์บางคนให้อรรถาธิบายว่าเป็น THE MOST EXCLUSIVE CAR YOU CAN IMAGINE หรือ "หรือรถพิเศษสุดเท่าที่คุณสามารถจินตนาการได้" ตัวถังยาวสะอกสะใจพัฒนาจากรถหรู เมร์เซเดส-มายบัค เอส 600 (MERCEDES-MAYBACK S 600) โดยยืดความยาวตัวถังเป็น 6.499 ม. คือ ยาวขึ้นถึง 105.3 ซม. และเพิ่มความสูงเป็น 1.598 ม. คือ สูงขึ้นถึง 10.0 ซม. ห้องโดยสารตอนหลังเลือกการติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งได้สารพัดแบบตามที่ต้องการ รวมทั้งแบบนั่งเพียง 2 คน และแบบนั่ง 2+2 คน หันหน้าชนกัน อย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า VIS-A-VIS SEATING ค่าตัวจะเริ่มต้นที่ระดับครึ่งล้านยูโร หรือประมาณ 18 ล้านบาทไทย และคาดว่ารถคันแรกจะถึงมือลูกค้าตอนต้นปีลิง 2016
OPEL KARL
งานนี้ค่าย "สายฟ้า" ไม่สู้จะคึกคักอย่างที่เคยเป็นเพราะมีงานใหม่ที่น่าจะกล่วถึงเพียงชิ้นเดียวคือรถติดป้ายชื่อ โอเพล คาร์ล (OPEL KARL) ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดซูเพอร์มีนีในตัวถังขนาด 3.675x1.604x1.476 ม. ที่ต้องรอจนถึงฤดูร้อนของปีแพะจึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ และอีกหลายประเทศในยุโรป ในเมืองแม่รถจิ๋วแบบใหม่นี้จะแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส SELECTION-EDITION-EXKLUSIV และจะมีเครื่องยนต์เพียงแบบเดียวขนาดเดียว คือ เครื่องเบนซิน ECOTEC DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าก็มีแบบเดียวเช่นกัน คือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ระดับ 9,500 ยูโร ในอังกฤษซึ่งใช้รถพวงมาลัยขวา รถ
แบบนี้จะติดป้ายชื่อ วอกซ์ฮอลล์ วีวา (VAUXHALL VIVA)
BMW 2-SERIES GRAND TOURER
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำผลงานใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรก คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 กแรนด์ ทัวเรอร์ (BMW 2-SERIES GRAND TOURER) รถคันสีแดงเข้มที่เห็นในภาพ เป็นรถขับล้อหน้าแบบที่ 2 ของค่ายนี้ถัดจากรถเก๋งแฮทช์แบค บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 แอคทีฟ ทัวเรอร์ (BMW 2-SERIES ACTIVE TOURER) ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2014 และเป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า HATCHBACK-CUM-MPV หรือรถเก๋งแฮทช์แบคที่กลายพันธุ์เป็นรถอเนกประสงค์ ตัวถังขนาด 4.556x1.800x1.608 ม. มีห้องโดยสาร 2 แบบ คือ แบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว/นั่งได้รวม 5 คน กับแบบเก้าอี้ 3 แถว/นั่งได้รวม 7 คน มีกำหนดออกโชว์รูมในไตรมาสที่ 2 ของปีแพะ จะมีทั้งรถขับล้อหน้ารถขับทุกล้อ และมีรถให้เลือกรวม 8 โมเดล คือ BMW 216I-BMW 218I-BMW 220I-BMW 214D-BMW 216D-BMW 218D-BMW 220D-BMW 220D XDRIVE
BMW 1-SERIES
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งซึ่งค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถเก๋งขนาดเล็กที่สุดในสายการผลิต บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ซึ่งไม่ใช่รถรุ่นใหม่อย่างที่เรียกกันในบ้านเราว่า "ใหม่หมด" แต่เป็นรถรุ่นปัจจุบัน (รุ่นที่ 2) ที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังเห็นได้ชัดทั้งเมื่อมองจากด้านหน้า และเมื่อมองจากด้านหลัง ที่เห็นได้ชัดมาก คือ ดวงโคมไฟหน้าและไฟท้ายซึ่งทำขึ้นใหม่แบบยกชุด อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อสมรรถนะและคุณค่าของรถรุ่นใหม่นี้ เป็นการปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์ ซึ่งส่งผลในการลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากปลายท่อไอเสีย ทั้งแบบ 3 ประตูแฮทช์แบค และ 5 ประตูแฮทช์แบค กำลังจะออกจำหน่ายในเมืองแม่ พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 22,950 ยูโร
MINI CONTRYMAN PARK LANE
ในบูธของยอดผู้ผลิตรถเล็กแต่หรูจากเมืองผู้ดี มีผลงานใหม่ที่สมควรนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังเพียงชิ้นเดียว คือ รถติดป้ายชื่อ มีนี คันทรีแมน พาร์ค เลน (MINI COUNTRYMAN PARK LANE) ซึ่งเป็นรถอีกแบบหนึ่งที่ปรากฏตัวในงานนี้พร้อมกับป้าย WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถโมเดลพิเศษที่ตั้งชื่อรุ่นตามชื่อถนนสายหลักในแถบกลางของมหานครลอนดอน มีกำหนดออกจำหน่ายในตลาดทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม 2015 จะมีทั้งแบบขับล้อหน้า ขับทุกล้อ และทั้ง 2 แบบมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 4 แบบ ส่วนสีตัวถังไม่สามารถเลือกได้ เพราะไม่ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดไหน?และใช้ระบบขับแบบใด? ทุกคันของรถโมเดลพิเศษนี้จะมีสีตัวถังเหมือนคันที่เห็นในภาพ คือ เคลือบตัวถังด้วยสีเทา EARL GREY METALLIC แล้วคาดด้วยแถบและหลังคาสีแดง OAK RED รวมทั้งมีป้ายโลหะชื่อรุ่น PARK LANE ติดอยู่หลายจุดทั้งภายนอกและภายในตัวถัง
PORSCHE CAYMAN GT4
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทและรถกิจกรรมกลางแจ้งระดับสุดหรูของเมืองเบียร์ นำรถสปอร์ทรุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่องออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้รวม 2 คัน คันสีเหลืองซึ่งติดป้ายชื่อ โพร์เช เคย์แมน จีที 4 (PORSCHE CAYMAN GT4) นับเป็นโมเดลที่ 4 ของรถอนุกรมนี้ถัดจากรถ PORSCHE CAYMAN-PORSCHE CAYMAN S-PORSCHE CAYMAN GTS ซึ่งทยอยกันออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปลายปี 2012 รวมทั้งกล่าวได้ว่าเป็นรุ่นที่แรงที่สุด และเร็วที่สุดอีกต่างหาก ตัวถังขนาด 4.438x1.817x1.266 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.32 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 3,800 ซีซี 283 กิโลวัตต์/385 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 295 กม./ชม. ค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อขายกันในเมืองเบียร์ คือ 85,776 ยูโร
PORSCHE 911 GT3 RS
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นเดียวกันคือ โพร์เช 911 จีที 3 อาร์เอส (PORSCHE 911 GT3 RS) รถเบนซินหายใจอากาศธรรมดาที่ทรงพลังที่สุดของค่ายนี้ ซึ่งกำลังจะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์พร้อมกับป้ายค่าตัว 181,690 ยูโร พัฒนาจากรถ โพร์เช 911 จีที 3 (PORSCHE 911 GT3) ที่เริ่มจำหน่ายเมื่อกลางปี 2013 ตัวถังขนาด 4.545x1.880x1.291 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.33 เป็นผลลัพธ์ของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากมายเพื่อลดน้ำหนักตัว รวมทั้งการขอหยิบขอยืมเปลือกตัวถังอลูมิเนียมจากรถ โพร์เช 911 เทอร์โบ (PORSCHE 911 TURBO) ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 3,996 ซีซี 368 กิโลวัตต์/500 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ PDK อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม.
SEAT 20V20
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองกระทิงดุซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่โฟล์คสวาเกนกรุพ ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัว เซอัต 20 วี 20 (SEAT 20V20) รถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาด 7 ที่นั่ง ที่ค่ายนี้จะเริ่มการผลิตในปี 2020 รวมทั้งเป็นแนวคิดซึ่งบ่งบอกทิศทางการออกแบบที่ค่ายนี้จะใช้กับรถรุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะออกสู่ตลาดในช่วงปี 2016 จนถึงปีสิ้นสุดของทศวรรษ รถกิจกรรมกลางแจ้งรุ่นที่กล่าวข้างต้น นับเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ 3 ของค่ายนี้ ถัดจากรถขนาดเดียวกันกับรถ นิสสัน กัชไก (NISSAN QASHQAI) ที่มีกำหนดออกตลาดในปี 2016 และรถขนาดเดียวกับรถ นิสสัน จูค (NISSAN) ที่จะเริ่มจำหน่ายในปีถัดมา เป็นรถแนวคิดที่มีมีตัวถังยาวเกือบ 4.70 ม. คือ มีขนาดใกล้เคียงกับรถตลาดร่วมเครือ เอาดี คิว 5 (AUDI Q5) ส่วนชื่อที่ดูแปลก คือ 20V20 มาจาก VISION VEINTE VEINTE ในภาษาสเปนซึ่งแปลว่า 20:20
SKODA SUPERB
ผู้ผลิตรถยนต์อีกเจ้าหนึ่งซึ่งก็อยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกนเช่นกัน เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานด้วยรถเก๋งซีดานขนาดกลางติดป้ายชื่อ สโกดา ซูเพิร์บ (SKODA SUPERB) ซึ่งเปิดตัวไปก่อนแล้วที่เมืองหลวงของสาธารณรัฐเชค แต่ก็ยังถือกันว่าการปรากฏตัวที่งานนี้เป็นการอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถรุ่นที่ 3 และมีขนาดตัวถังโตกว่ารถรุ่นเดิมเล็กน้อยในทุกมิติ คือ 4.861x1.864x1.468 ม. (รุ่นเดิม 4.833x1.817x1,449) แต่น้ำหนักตัวกลับลดลงถึง 75 กก. โดยเฉลี่ย ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งบ่งบอกความลื่นลมนับว่าดีพอสมควร คือ อยู่ระหว่าง 0.275-0.309 เมื่อเริ่มออกขายในช่วงฤดูร้อนของปีแพะบ้านี้ จะมีทั้งแบบขับล้อหน้าแบบขับทุกล้อ และจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างหลากหลายถึง 8 ขนาด (88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า-206 กิโลวัตต์/280 แรงม้า) มีทั้งเครื่องเบนซิน และดีเซล
AUDI R8
ค่าย "สี่ห่วง" นำผลงานชิ้นใหม่ๆ ออกอวดในงานนี้เป็นกุรุส เลือกคันที่น่าสนใจมาให้ชื่นชมกันเพียง 2 คัน คันแรก คือ เอาดี อาร์ 8 (AUDI R8) ซึ่งเป็นรถใหม่สายพันธุ์เยอรมันอีกคันหนึ่งซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 2 ตัวถังขนาด 4.442x1.944x1.241 ม. คือ ยาวเท่ากับรถรุ่นเดิมแต่กว้างและสูงขึ้น 3.9 และ 0.9 ซม. ตามลำดับ มีชิ้นส่วนที่ไม่เหมือนกับรถรุ่นเดิมเลย คือ ทุกชิ้นล้วนออกแบบขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่เรียนรู้จากพโรแกรมการแข่งรถ เลอ มองส์ อันเลื่องชื่อ ในระยะแรกจะมีรถให้เลือกเป็นเจ้าของได้เพียง 2 โมเดล คือ AUDI R8 V10 กับ AUDI R8 V10 PLUS ทั้ง 2 โมเดลเป็นรถขับทุกล้อที่ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดเดียวกัน (เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 10 สูบ 5,204 ซีซี) แต่ปรับแต่งต่างกัน คือ โมเดลแรกให้กำลังสูงสุด 397 กิโลวัตต์/540 แรงม้า ส่วนโมเดลหลังเพิ่มเป็น 449 กิโลวัตต์/610 แรงม้า
AUDI PROLOQUE AVANT
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "สี่ห่วง" ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถแนวคิด เอาดี พโรโลค อาวันท์ (AUDI PROLOQUE AVANT) เป็นต้นแบบของรถตรวจการณ์ติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 6 อาวันท์ (AUDI A6 AVANT) รุ่นใหม่ซึ่งมีกำหนดออกตลาดในปี 2017 และมีห้องโดยสารซึ่งบ่งบอกทิศทางการออกแบบที่ค่ายนี้จะใช้กับรถเก๋ง AUDI A6-AUDI A7-AUDI A8 รุ่นใหม่ที่จะทยอยออกสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เป็นห้องโดยสารไร้ปุ่มบังคับควบคุมอย่างที่ใช้กันอยู่ขณะนี้ แต่จะแทนที่ด้วยจอสัมผัสและระบบสั่งการด้วยเสียง ที่น่าสนใจไม่แพ้ตัวถัง คือ ระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่มีโครงสร้างเหมือนระบบที่ใช้ในรถกิจกรรมกลางแจ้ง เอาดี คิว 7 อี-ทรอน กวัตตโตร (AUDI Q7 E-TRON QUATTRO) เป็นระบบที่ใช้เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและได้กำลังสุทธิสูงสุด 335 กิโลวัตต์/455 แรงม้า
VOLKSWAGEN SPORT COUPE CONCEPT GTE
โฟล์คสวาเกน เป็นอีกรายหนึ่งที่นำผลงานใหม่ออกแสดงเป็นกุรุส ชิ้นแรกที่เลือกมาให้ชมกันคือรถแนวคิด โฟล์คสวาเกน สปอร์ท คูเป คอนเซพท์ จีทีอี (VOLKSWAGEN SPORT COUPE CONCEPT GTE) เป็นต้นแบบของรถเก๋งคูเปขนาดกลางรุ่นใหม่ที่อีกไม่นานก็จะออกจำหน่ายพร้อมกับป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน ซีซี (VOLKSWAGEN CC) รวมทั้งมีแนวทางการออกแบบบางอย่างที่จะได้พบในรถธง โฟล์คสวาเกน เฟทัน (VOLKSWAGEN PHAETON) รุ่นใหม่ซึ่งจะตามมาไม่นานหลังจากนั้น ตัวถังขนาด 4.870x1.865x1.407 ม. ติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด ขับล้อคู่หน้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอีก 1 ชุดขับล้อคู่หลัง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 279 กิโลวัตต์/380 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 2.0 ลิตร/100 กม. และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 50 กม.
VOLKSWAGEN TOURAN
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ที่เลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ รถอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน ตูรัน (VOLKSWAGEN TOURAN) ซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นใหม่ (รุ่นที่ 3) ซึ่งต้องรอจนถึงเดือนกันยายนของปีแพะนี่แหละจึงจะเริ่มการจำหน่าย ตัวถังที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหางและยาวกว่ารถรุ่นเดิมถึง 13.0 ซม. มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่นับว่าเยี่ยมมากสำหรับรถประเภทนี้ คือ ต่ำเพียง 0.296 ส่วนห้องโดยสารก็เช่นเดียวกับรถรุ่นปัจจุบันซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2010 คือ มีทั้งแบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว/นั่งได้รวม 5 คน กับแบบติดตั้งเก้าอี้ 3 แถว/นั่งได้รวม 7 คน ที่น่าสนใจและน่าจะเป็นจุดขายสำคัญของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ชุดเครื่องยนต์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซลอย่างละ 3 ขนาด บางเครื่องประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเครื่องยนต์ขนาดเดียวกันในรถรุ่นเดิมถึงร้อยละ 19
VOLKSWAGEN PASSAT ALLTRACK
ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกันคือ โฟล์คสวาเกน พาสสัท ออลล์ทแรค (VOLKSWAGEN PASSAT ALLTRACK) รถขนาดกลางซึ่งรวมคุณสมบัติของรถวิ่งทางไกลรถเก๋งตรวจการณ์และรถกิจกรรมกลางแจ้งขับทุกล้อเข้าไว้ในรถคันเดียว เป็นรถรุ่นที่ 2 พัฒนาจากรถเก๋งตรวจการณ์ โฟล์คสวาเกน พาสสัท วาเรียนท์ (VOLKSWAGEN PASSAT VARIANT) รุ่นล่าสุดซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อกลางปี 2014 โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายรวมทั้งยกระดับพื้นรถให้สูงขึ้น 27.5 มม. และติดตั้งระบบขับทุกล้อ เพื่อให้มีคุณลักษณ์ดังที่กล่าวข้างต้น มีกำหนดออกโชว์รูมตอนปลายเดือนกันยายนของปีแพะ และจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างหลากหลายถึง 5 ขนาด แยกเป็นเครื่องเบนซินฉีดตรง 2 ขนาด กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 3 ขนาด ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า จนถึง 176 กิโลวัตต์/240 แรงม้า
ASTON MARTIN VULCAN
บูธของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีซึ่งมีพื้นที่ไม่มากดูคับแคบและหาที่วางเท้าแทบไม่ได้เพราะมีผลงานใหม่ที่อวดตัวในงานนี้แบบ "ครั้งแรกในโลก"ถึง 2 คัน คันแรกคือ แอสตัน มาร์ทิน วุลแคน (ASTON MARTIN VULCAN) เป็นรถสปอร์ทระดับ "ไฮเพอร์คาร์" ที่ออกแบบเพื่อใช้วิ่งในสนามแข่งไม่ใช่วิ่งตามท้องถนนทั่วไป จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 24 คัน ตั้งค่าตัวไว้ที่ระดับ 1.8 ล้านปอนด์ และต้องรอจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีแพะ จึงจะเริ่มการผลิต เป็นรถที่ค่ายนี้ออกแบบและพัฒนาเองตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวถังประกอบขึ้นจากวัสดุมวลเบาล้วนๆ รถแข่งไฮเพอร์คาร์คันนี้จึงมีน้ำหนักตัวพร้อมขับเพียง 1,350 กก. เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่โตมโหฬาร คือ เครื่องเบนซินหายใจอากาศธรรมดา วี 12 สูบ ความจุ 7.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 800 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ASTON MARTIN DBX CONCEPT
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ รถติดป้ายชื่อ แอสตัน มาร์ทิน ดีบีเอกซ์ คอนเซพท์ (ASTON MARTIN DBX CONCEPT) เป็นรถแนวคิดที่ค่ายนี้รังสรรค์ขึ้นเพื่อบ่งบอกทิศทางการออกแบบรถรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะทำขาย โดยมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มและผู้ที่ไม่เคยเป็นลูกค้าของรถยี่ห้อนี้มาก่อนเลย เช่น ผู้ใช้รถเพศหญิงเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นรถสปอร์ทข้ามพันธุ์อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SPORTS CROSSOVER และนับเป็นรถแบบแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ที่ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ เป็นระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้ารวม 4 ชุด แต่ละชุดขับล้อแต่ละล้อ โดยได้พลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม ซัลเฟอร์ (LITHIUM SULPHUR) ซึ่งติดตั้งตามยาวที่พื้นรถ ที่ผู้คนอยากรู้กันมากแต่ยังไม่การระบุอย่างเป็นทางการคือตัวเลขสมรรถนะ
LOTUS EVORA 400
ผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีที่มีเจ้าของอยู่ในมาเลเซีย พยายามเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานด้วยการนำรถสปอร์ทโมเดลใหม่ล่าสุด คือ โลทัส เอโวลา 400 (LOTUS EVORA 400) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ แต่ดูเหมือนว่าเรียกได้ไม่มากเท่าที่หวัง เป็นรถที่มีกำหนดออกตลาดในเดือนสิงหาคมของปีแพะ พร้อมกับค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ 70,000 ปอนด์ และเป้าหมายการขายซึ่งตั้งไว้ที่ระดับ 3,500 คัน/ปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า รถสปอร์ท 2+2 ที่นั่งโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,456 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 295 กิโลวัตต์/400 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ 300 กม./ชม. เป็นตัวเลขความเร็วที่ไม่เคยมีรถตลาดแบบใดของค่ายนี้ทำได้มาก่อน
McLAREN 675LT
รถสปอร์ทสายพันธุ์อังกฤษอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถสปอร์ทประตูปีกนก แมคลาเรน 675 แอลที (McLAREN 675LT) เป็นรถโมเดลพิเศษสุดที่ค่ายนี้กำลังจะทำขาย โดยจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 500 คัน และตั้งค่าตัวไว้แพงลิบถึง 259,500 ปอนด์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ผู้เป็นเจ้าของรถสปอร์ทยี่ห้อนี้อยู่แล้ว รวมทั้งลูกค้าจำนวนหนึ่งซึ่งควักเงินซื้อรถทุกรุ่นทุกแบบที่ค่ายนี้ทำขาย ไม่ใช่รถใหม่แบบ "ใหม่หมด" แต่พัฒนาจากรถที่มีอยู่แล้วในสายการผลิต คือ แมคลาเรน 650 เอส คูเป (McLAREN 650S COUPE) โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายจุดรวมทั้งการปรับแต่งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 3,799 ซีซี โดยเปลี่ยนชิ้นส่วนถึงร้อยละ 50 ซึ่งส่งผลให้กำลังสูงสุดพุ่งจาก 650 เป็น 675 แรงม้า ที่ดูแปลกก็คือในบั้นปลายตัวเลขความเร็วสูงสุดกลับลดจาก 333 เป็น 330 กม./ชม.
BENTLEY EXP 10 SPEED 6
มหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งนี้รถจากเกาะอังกฤษดูจะเฟื่องฟูอู้ฟู่มาก เบนท์ลีย์ อีเอกซ์พี 10 สปีด 6 (BENTLEY EXP 10 SPEED 6) ที่กำลังอวดตัวขณะนี้ก็เช่นกัน เป็นรถสายพันธุ์อังกฤษอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดซึ่งบ่งบอกสิ่งทิศทางและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับรถตลาดแบบใหม่ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2019 เป็นรถสปอร์ทคูเปนั่ง 2 คน ติดตั้งระบบขับที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถหรูยี่ห้อนี้ คือ ระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินความจุประมาณ 3.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด ได้กำลังสุทธิสูงสุดระดับ 368 กิโลวัตต์/500 แรงม้า และมีน้ำหนักตัวพร้อมขับต่ำกว่า 2,000 กก. นับเป็นรถคูเปแบบที่ 2 ที่ค่ายนี้จะทำขายเคียงคู่กับรถ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที (BENTLEY CONTINENTAL GT) ส่วนค่าตัวคาดว่าจะเริ่มต้นที่ระดับ 120,000 ปอนด์
ROLLS-ROYCE PHANTOM SERENITY
ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานได้มากพอสมควร คือ รถหรูและอัครฐานติดป้ายชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม เซเลนิที (ROLLS-ROYCE PHANTOM SERENITY) เป็นรถที่ค่ายนี้ทำขึ้นเพียงหนึ่งคันและขายไปแล้วในราคา 1 ล้านปอนด์อังกฤษ จุดมุ่งหมายของการทำรถพิเศษคันนี้ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า BESPOKE DESIGN DEPARTMENT หรือหน่วยงานออกแบบตกแต่งตามใจผู้ซื้อสามารถทำอะไรให้แก่ลูกค้าได้บ้าง ? การออกแบบตกแต่งที่ว่านี้กระทำทั้งภายในและภายนอกของตัวถัง กล่าวคือ ภายในห้องโดยสารเป็นการตกแต่งสไตล์ตะวันออก ตัวอย่างคือ การบุผนังและหลังคาด้วยผ้าไหมทอมือที่ผู้หญิงญี่ปุ่นใช้กันแล้ววาดทับด้วยลวดลายต้นพลัมอย่างที่เห็นในภาพ การตกแต่งในหลายๆ จุดด้วยไม้เชอร์รีรมควัน (SMOKED CHERRYWOOD) ฯลฯ ส่วนตัวถังภายนอกก็เคลือบสีพิเศษอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า THREE-STAGE PEARL EFFECT และขัดด้วยมือนานถึง 12 ชั่วโมง
RANGE ROVER EVOQUE
เป็นข่าวเล่าลือกันมาแล้วหลายเดือนแต่เพิ่งได้เห็นตัวจริงเสียงจริงแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถยอดฮิท เรนจ์ โรเวอร์ อีโวค (RANGE ROVER EVOQUE) รุ่นที่เพิ่งผ่านปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" และเดือนสิงหาคมของปีแพะนี้จะเริ่มออกจำหน่ายใน 170 ประเทศทั่วโลก ในส่วนของตัวถังภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดมากมาย ตัวอย่างเช่น กันชนหน้าที่ออกแบบใหม่หมด แผงกระจังหน้าที่ออกแบบขึ้นใหม่และทำเป็น 2 แบบ ดวงโคมไฟหน้าแบบแอลอีดีล้วน กระทะล้ออัลลอยลวดลายใหม่ ฯลน ภายในห้องโดยสารก็เปลี่ยนมากเช่นกัน ตัวอย่างคือ เปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่ง แผงประตูออกแบบใหม่ เพิ่มสีให้เลือกหลายสี ฯลฯ ในส่วนของเครื่องยนต์กลไก จุดที่น่ากล่าวถึงคือ การเพิ่มเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 109 กรัม/กม. และประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเครื่องที่ประหยัดที่สุดในรถรุ่นเดิมถึงร้อยละ 18
RINSPEED BUDII
รินสปีด (RINSPEED) บริษัทรถยนต์ของเมืองนาฬิกาซึ่งนำผลงานชิ้นใหม่ๆ ออกอวดตัวในงานนี้อย่างสม่ำเสมอไม่มีขาด เรียกควาใสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานได้ดีเช่นเคย ด้วยผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องคือ รินสปีด บัดดี (RINSPEED BUDII) ซึ่งเป็นรถพลังงานทดแทนอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งแฮทช์แบคที่ขับด้วยคนก็ได้ หรือขับด้วยหุ่นยนต์มือที่ติดตั้งอยู่ในรถก็ได้ ตัวถังขนาด 4.008x1.905x1.620 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งให้กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. และชาร์จไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม. มีอุปกรณ์พิเศษพิเศษ คือ TRACKVIEW ยื่นขึ้นเหนือหลังคาอย่างที่เห็นในภาพ ทำหน้าที่เป็นดวงตาช่วยให้รถไม่วิ่งไปจุมพิตรถคันอื่น
FERRARI 488 GTB
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา รวมทั้งปรากฏตัวใน "ข่าวรอบโลก" ฉบับเดือนเมษายน 2015 ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนได้ดีเหมือนติดแม่เหล็ก เมื่อยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองมะกะโรนีนำตัวจริงเสียงจริงของรถซูเพอร์คาร์ แฟร์รารี 488 จีทีบี (FERRARI 488 GTB) ออกแสดงแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถสปอร์ทม้าลำพองตัวใหม่ที่ต้องรอจนถึงเดือนกันยายนนี้จึงจะเริ่มเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถรุ่นปัจจุบัน คือ แฟร์รารี 458 อิตาลีอา (FERRARI 458 ITALIA) เป็นรถเร็วสุดๆ ทั้งตีนต้นและตีนปลาย คือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ในเวลาแค่ 3.0 วินาที และความเร็วสูงสุดสูงกว่า 330 กม./ชม. เนื่องจากติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 3,902 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 492 กิโลวัตต์/670 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะ
ITALDESIGN GIUGIARO GEA
อิตัลดีไซจ์น จูจาโร สำนักออกแบบตัวถังรถยนต์ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่โฟล์คสวาเกนกรุพปล่อยหมัดเด็ดโดยนำรถติดป้ายชื่อ อิตัลดีไซจ์น จูจาโร เกอา (ITALDESIGN GIUGIARO GEA) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถซีดานขนาดใหญ่โตมโหฬารที่วิ่งได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า AUTONOMOUS CAR ตัวถังขนาด 5.370x1.980x1.464 ม. ซึ่งหนักเพียง 2,000 กก. เพราะชิ้นส่วนตัวถังทุกชิ้นล้วนทำจากวัสดุมวลเบา คือ อลูมิเนียมคาร์บอนไฟเบอร์และแมกนีเซียม ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุดขับล้อคู่หน้า และอีก 2 ชุดขับล้อคู่หลัง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 570 กิโลวัตต์/775 แรงม้า มีแถบไฟสัญญาณติดตั้งอยู่ทั้งด้านขวาและด้านซ้ายของตัวรถ จะเปล่งไฟสีขาวเมื่อรถวิ่งโดยมีผู้บังคับขับขี่ และเปลี่
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา * chusak@autoinfo.co.th *
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/34464