รถใหม่
ตอนที่เคลื่อนย้ายร่างกายพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบโตหลุดออกจากอาคารที่ทำการของสนามบินนานาชาติฟรังค์ฟวร์ท อากาศกำลังสบายๆ อุณหภูมิประมาณว่าอยู่ที่ระดับ 15 องศาเซลเซียส ไม่น่าจะสูงหรือต่ำกว่านั้นสักเท่าไร วูบแรกที่ใบหน้าอันยับย่นตามวัยได้สัมผัสความเย็น อาการเมื่อยล้าจากที่ต้องนั่งบ้างนอนบ้างเดินไปเดินมาบ้างอยู่ในนกเหล็กตัวโตที่สุดของสายการบินเจ้าจำปีมายาวนานครึ่งค่อนวันก็มลายหายไปสิ้น
ตอนที่เคลื่อนย้ายร่างกายพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบโตหลุดออกจากอาคารที่ทำการของสนามบินนานาชาติฟรังค์ฟวร์ท อากาศกำลังสบายๆ อุณหภูมิประมาณว่าอยู่ที่ระดับ 15 องศาเซลเซียส ไม่น่าจะสูงหรือต่ำกว่านั้นสักเท่าไร วูบแรกที่ใบหน้าอันยับย่นตามวัยได้สัมผัสความเย็น อาการเมื่อยล้าจากที่ต้องนั่งบ้างนอนบ้างเดินไปเดินมาบ้างอยู่ในนกเหล็กตัวโตที่สุดของสายการบินเจ้าจำปีมายาวนานครึ่งค่อนวันก็มลายหายไปสิ้น
จำได้ว่าครั้งแรกที่มีโอกาสเดินทางไปเหยียบผืนแผ่นดินของเยอรมนีเกิดขึ้นเมื่อปี 1989 เป็นการเดินทางไปเยือน 3 ประเทศ คือ เยอรมนี โปรตุเกส และไซปรัส ตามคำเชิญของค่าย มิตซูบิชิ สมัยที่คนตัวโต วิชัย พรรณเชษฐ์ ยังทำงานอยู่ ครั้งนั้นได้เข้าชมงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทด้วย แต่ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร เพราะมีเวลาอยู่ในงานไม่กี่ชั่วโมง ต้องรออีก 2 ปีหลังจากนั้นนั่นแหละ คือ ในเดือนกันยายน 1991 จึงมีโอกาสเดินทางไปทำข่าวงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรก และจากปีนั้นต่อเนื่องกันมาจนถึงปีนี้ งานแสดงรถยนต์รายการสำคัญรายการนี้ ก็ไม่เคยหลุดจากปฏิทินการทำงานประจำปีของค่าย "สื่อสากล" ผู้ผลิตนิตยสารรถยนต์ "สาระสะใจคนรักรถ" มายาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ
ปีนี้คณะของเราดูหน่อมแน้มกระจุ๋มกระจิ๋มหน่อยเพราะไปกันแค่ 3 คน นอกจากตัวผู้เขียนซึ่งเป็นขาประจำแล้ว อีก 2 คน คือ "นายใหญ่ "ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ กับ "นายอีกไม่นานก็จะใหญ่ "ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์" สำหรับคนแรกนั้น ตอนนี้เวลาไม่ได้อยู่ในประเทศไทย สิ่งเดียวที่ทำเป็นนอกจากการ "ชอพพิง" ก็คือ การก้มหน้าก้มตาอยู่กับไอโฟน
ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คณะของเราได้สัมผัสกิจการรถไฟในทวีปยุโรป เพราะหลังจากเสร็จงานเสร็จการในนครฟรังค์ฟวร์ท เราวางแผนกันไว้แต่แรกแล้วว่า จะเดินทางไปเยือนชตุทท์การ์ท เมืองที่ "นายใหญ่" สมัยยังหนุ่มเคยร่ำเรียนอยู่นานถึงครึ่งค่อนทศวรรษ และมีพิพิธภัณฑ์ของค่าย โพร์เช ตั้งอยู่ใกล้ๆ การเดินทางจากฟรังค์ฟวร์ทไปยังชตุทท์การ์ทซึ่งก็เทียบได้กับจากกอทอมอไปเมืองกาญจน์ วิธีที่น่าจะสะดวกที่สุดสำหรับคณะเราก็คือด้วยรถไฟ เลยจำเป็นต้องพูดถึงรถไฟของเมืองเบียร์เสียหน่อย เพราะตอนนี้รถวิ่งบนรางกำลังเป็นเรื่องฮิทติดลมบนในบ้านเรา
ค้นดูจากเวบไซท์ www.deutschebahn.com ก็ได้ข้อมูลว่า รถไฟในเยอรมนีเป็นกิจการของบริษัท DEUTSCHE BAHN AG ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1994 แต่ไม่ได้หมายความว่ากิจการรถไฟในเมืองเบียร์เพิ่งเริ่มต้นพร้อมกับการก่อตั้งบริษัทนี้ ตามความเป็นจริงผู้คนในเยอรมนีได้นั่งรถไฟเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1835 คือ ก่อนหน้ากิจการอย่างเดียวกันในบ้านเราประมาณ 60 ปี เพราะรถไฟไทยเริ่มเปิดบริการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1986 ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง แต่เมื่อเทียบกันแล้วจากที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ก็ดูเหมือนว่า บริษัทรถไฟในบ้านเขาวิ่งนำหน้าการรถไฟแห่งประเทศไทยในบ้านเราไปแล้วไม่น้อยกว่า 600 ปี
DEUTSCHE BAHN AG นับเป็นบริษัทผู้ประกอบการขนส่งที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับโลก มีพนักงานทำงานเต็มเวลาอยู่มากกว่า 300,000 คน มีระบบรถไฟในเยอรมนียาว 33,723 กม. มีสถานีรถไฟมากกว่า 5,700 สถานี มีการเดินรถโดยสารทั้งระยะใกล้และระยะไกลวันละ 26,713 เที่ยว กับรถบรรทุกสินค้าอีก 5,122 เที่ยว สรุปแล้วในรอบ 1 ปีมีผู้โดยสารประมาณ 1,980 ล้านคน และขนส่งสินค้าหนัก 415.4 ล้านตัน ในรอบปีงบประมาณ 2012 มีรายรับรวมทั้งสิ้นประมาณ 39,300 ล้านยูโร หรือมากกว่า 1.67 ล้านล้านบาทไทย และมีกำไรก่อนหักภาษี 2,700 ล้านยูโร หรือประมาณ 115,000 ล้านบาทไทย
ในฐานะผู้นานทีปีหนจึงได้ใช้บริการสักที และไม่มีรายได้เหมือนคนเยอรมัน กล้าฟันธงได้เลยว่าข้อเสียเพียงข้อเดียวของการเดินทางด้วยรถไฟในเมืองเบียร์ คือ เงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าโดยสาร จากฟรังค์ฟวร์ทไปยังชตุทท์การ์ทซึ่งใช้เวลาแค่ชั่วโมงเศษ เราเลือกเดินทางชั้นหนึ่งด้วยรถไฟ ICE (INTER-CITY EXPRESS) ซึ่งเป็นรถไฟด่วนระหว่างเมืองที่ใช้ความเร็วสูง แต่ยังไม่สูงเหมือนรถไฟ SHINKANSEN ของญี่ปุ่น หรือรถไฟ TGV ของฝรั่งเศส ที่หลายคนอาจคุ้นเคยกันดี ปรากฏว่าเราต้องจ่ายค่าโดยสารคนละ 99 ยูโร และค่าจองที่นั่งอีก 4 ยูโร รวมแล้วคิดเป็นเงินไทยได้ประมาณ 4,400 บาท เพราะเดินทางไปเยอรมนีเที่ยวนี้ เงินฝรั่ง 1 ยูโร เราต้องแลกจากร้านรวยสุดสุดด้วยเงินไทย 42.50 บาท จึงนับได้ว่าเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ยืนยันความเชื่อ ของดีราคาถูกไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ
กลับมาที่งานหลักของเราน่าจะดีกว่า เรื่องรถไฟพูดไปเดี๋ยวรถไฟตกรางอีก ไปเยือนมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งนี้ แล้วนึกย้อนไปถึงงานที่ไปทำข่าวเป็นครั้งแรกเมื่อ 22 ปีก่อน ก็เห็นได้อย่างชัดเจนในความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ และผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกใบกระจ้อยร่อยนี้ที่ยังจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะที่เรียกขานกันว่ารถยนต์ ในมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทเมื่อปี 1989 ซึ่งเป็นงานครั้งที่ 54 รถใหม่ทุกคันที่อวดตัวในงาน ถ้าไม่ใช่รถที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน ก็ต้องเป็นรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล ไม่มีเครื่องยนต์แบบอื่นๆ
แต่ในงานครั้งล่าสุดซึ่งเป็นงานครั้งที่ 65 มีผู้ร่วมงานจาก 35 ประเทศ มากกว่า 1,000 ราย และเรียกตัวเองว่าเป็น DIE AUTOMOBILSTE SHOW DE WELT หรือ THE WORLD'S MOST AUTOMOBILE SHOW นี้ น่าจะกล่าวได้ว่า ผู้ผลิตรถยนต์แทบทุกราย ล้วนพยายามสื่อให้เห็นในความพยายามที่จะเสนอสินค้ารถยนต์ยุคใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องยนต์ที่ได้พลังงานจากเชื้อเพลิงซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ หรือถ้ายังจำเป็นต้องอาศัยก็ให้อาศัยน้อยลงกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ นอกจากรถเบนซินหรือรถดีเซลที่กินน้ำมันน้อยและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่มากแล้ว สิ่งที่ได้เห็นกันและสอดแทรกเป็นยาดำในแทบทุกบูธของผู้ผลิตรถยนต์ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ คือ รถไฟฟ้าที่ไม่ต้องมีการเติมเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นเบนซินหรือดีเซล และรถไฮบริดที่ยังต้องพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ลดปริมาณการใช้ลง
รถไฮบริด คือ กึ่งทางระหว่างรถเบนซิน/ดีเซลกับรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคนจำนวนมากเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งรถเบนซิน/ดีเซลทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยรถไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพยากรณ์หรือฟันธงว่า วันหนึ่งที่ว่านี้จะมาถึงเมื่อไร ทศวรรษหน้า ศตรรษหน้า หรือชาติหน้า ? รถไฟฟ้ายังมีปัญหาที่ท้าทายสติปัญญาและความมานะพยายามของมนุษย์ตัวเล็กๆ อยู่มาก ปัญหาที่ดูจะเร่งด่วนกว่าเพื่อนก็คือ แบทเตอรี เนื่องจากน่าจะกล่าวได้ว่า ร้อยทั้งร้อยของรถไฟฟ้าที่รู้จักกันอยู่ในขณะนี้ ล้วนพึ่งพาพลังงานจากแบทเตอรีทั้งนั้น ปัญหาที่เห็นๆ กันอยู่ขณะนี้ ก็คือ เทคโนโลยีของแบทเตอรีมีบูรณาการ...ขอโทษ ! พัฒนาการที่ช้ามาก เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการสื่อสาร
จำได้เช่นกันว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตอนที่เดินทางไปดูงานในญี่ปุ่นตามคำเชิญของ ฮอนดา ในประเทศไทย ในงานเลี้ยงต้อนรับสื่อมวลชนจากประเทศอาเซียน ซึ่งมีสื่อมวลชนไทยรวมอยู่ด้วย มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของ ฮอนดา ญี่ปุ่นท่านหนึ่ง สูงขนาดไหนขออธิบายอย่างนี้ก็แล้วกัน คือ ถ้านับประธาน หรือ ซีอีโอ เป็นหมายเลข 1 ของบริษัท ท่านผู้นี้ก็คงไม่ต่ำกว่าหมายเลข 5 ถามความเห็นไปว่า โดยส่วนตัวไม่ใช่ในฐานะตัวแทนของ ฮอนดา คิดว่าอนาคตของรถยนต์ขึ้นอยู่กับอะไร ? คำตอบอย่างสั้นๆ ที่ได้รับก็คือ ไฮโดรเจน ! ตอนนั้นยังเห็นไม่ชัดว่าแกสชนิดนี้จะมาเกี่ยวข้องกับรถยนต์ได้อย่างไร ? แม้พอจะรู้อยู่บ้างจากการร่ำเรียนวิชาฟิสิคส์และเคมีสมัยยังหนุ่มยังแน่นว่า ไฮโดรเจน คือ แหล่งพลังงานอันยิ่งใหญ่ในจักรวาล
ไม่ทราบว่าเพราะความคิดของผู้บริหารระดับสูงท่านที่ว่านี้หรือเปล่า 10 กว่าปีหลังจากนั้น ผู้คนในบางประเทศ แต่ไม่มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย จึงมีโอกาสได้สัมผัสรถเก๋งขนาดกลาง ติดป้ายชื่อ ฮอนดา เอฟซีเอกซ์ คแลริที (HONDA FCX CLARITY) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบทเตอรีที่ได้พลังงานจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจน ที่ยักษ์รองของเมืองยุ่นทำขึ้นเพียง 200 คัน และไม่ได้ทำขาย แต่ให้เช่าเฉพาะในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เหมือนเป็นการทดลอง พยายามตามข่าวว่าได้ผลเป็นประการใด และมีโอกาสจะทำขายอย่างจริงๆ จังๆ หรือไม่ ? ถ้าคิดจะทำ จะทำเมื่อไร ? แต่ข่าวคราวทั้งหลายของรถที่ว่านี้ก็หายเงียบไปเลย ไม่ต่างอะไรกับรถไฮโดรเจนของค่าย บีเอมดับเบิลยู ซึ่งข่าวก็หายจ้อยไปเลยเช่นเดียวกัน
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องใช้หน้ากระดาษยืดยาวถึง 26 หน้า ในการรายงานข่าวมหกรรมยานยนต์ในต่างประเทศ อยากรู้ว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนอกสนใจในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งที่ 65 นี้ ก็พลิกไปสัมผัสด้วยตามืออย่าต้องได้เลยครับใน 20 หน้าถัดจากนี้
บีเอมดับเบิลยู ไอ 3
ค่าย BMW GROUP ซึ่งจับจองพื้นที่ในอาคารหมายเลข 11 ไว้แต่เพียงผู้เดียว เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนด้วยรถแบบใหม่เอี่ยมแกะกล่อง 2 แบบ ที่กำลังจะนำออกสู่โชว์รูมโดยติดยี่ห้อ บีเอมดับเบิลยู ไอ (MBW I) แบบแรกที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบนขวามือ คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) รถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดในตัวถังขนาด 3.999x1.775x1.578 ม. ที่ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง ประจุไฟหม้อแต่ละครั้ง รถจะวิ่งได้ไกล 130-160 กม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองไฟ 12.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ถ้ายังไม่ถูกใจเพราะเห็นว่าวิ่งได้น้อยเกินไป ก็สามารถเลือกใช้รถรุ่นพิเศษ ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบเรียง 647 ซีซี 25 กิโลวัตต์/34 แรงม้าไว้ด้วย เครื่องยนต์นี้ไม่ได้ช่วยขับล้อ แต่เป็น RANGE EXTENDER หรือ "ตัวยืดระยะทาง" ทำหน้าที่หมุนปั่นไฟเข้าแบทเตอรี ช่วยยืดพิสัยการเดินทางได้ประมาณ 1 เท่าตัว คือ เป็น 240-300 กม.
บีเอมดับเบิลยู ไอ 8
หลังจากได้เห็นกันมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนในรูปลักษณ์ของรถแนวคิด ที่งานนี้ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ก็นำตัวจริงเสียงจริงของ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 (BMW I8) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถสปอร์ทแบบแรกของค่ายนี้ ที่ติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องเทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 1.5 ลิตร 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ขับล้อคู่หลัง และมอเตอร์ไฟฟ้า 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้า ซึ่งได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขับล้อคู่หน้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 266 กิโลวัตต์/362 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. กรณีไม่เร่งไม่รีบและขับกินลมชมวิวด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ จะวิ่งได้ไกล 35 กม. และทำความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.
บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ เอกซ์ 5 อีดไรฟ
อวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ เอกซ์ 5 อีดไรฟ (BMW CONCEPT X5 EDRIVE) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดกลางที่ประหยัดเชื้อเพลิงและปล่อยไอพิษต่ำ เพราะใช้ระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ยังไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซล ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าพอใจมาก คือ แค่ 3.8 ลิตร/100 กม. หรือ 26.3 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 90 กรัม/กม. ส่วนกรณีวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจะไปได้ไกลถึง 30 กม. และทำความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-4 คูเป
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ผู้คนเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงของรถติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-4 คูเป (BMW 4-SERIES COUPE) กันเป็นครั้งแรกก็ที่งานนี้ เป็นรถเก๋งคูเปขนาดเล็กกะทัดรัดที่ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เพิ่งนำออกสู่โชว์รูมในเมืองเบียร์แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งใช้ชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป (BMW 3-SERIES COUPE) มีทั้งแบบขับล้อหลังขับทุกล้อและแยกโมเดลให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 10 โมเดล เป็นรถเบนซิน 6 โมเดล คือ BMW 420I-BMW 420I XDRIVE-BMW 428I-BMW 428I XDRIVE-BMW 435I-BMW 435I XDRIVE กับเป็นรถดีเซล 4 โมเดล คือ BMW 420D-BMW 420D XDRIVE-BMW 430D-BMW 435D XDRIVE ค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 35,750 ยูโร
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ เอส-คลาสส์ คูเป
งานนี้สื่อมวลชนทุกชาติทุกภาษาคาดหวังว่าจะได้เห็นผลงานดีๆ ของค่าย "ดาวสามแฉก" และดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครต้องผิดหวัง เพราะยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ซึ่งจับจองพื้นที่ในอาคารรูปวงกลมติดหมายเลข 2 ไว้แต่เพียงผู้เดี่ยวโดดเด่น นำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ ชิ้นแรกที่เลือกมาให้ชมกัน คือ รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ เอส-คลาสส์ คูเป (MERCEDES-BENZ CONCEPT S-CLASS COUPE) ที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบนซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเปรุ่นเฮวีเวท และเป็นสิ่งบ่งบอกว่ารถคูเปรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดแทนที่รถรุ่นปัจจุบันที่รู้จักกันในชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CL-CLASS) หน้าตาจะเป็นอย่างไร ตัวถังขนาด 5.050x1.958x1.409 ม. ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซิน วี 8 สูบ 4,663 ซีซี 335 กิโลวัตต์/455 แรงม้า มีจุดดึงดูดสายตาอยู่มากมาย ตัวอย่าง คือ ส่วนหน้าหม้อที่ตัวจริงจะดูยาวกว่าที่เห็นในภาพ และส่วนหลังคาคลุมห้องโดยสารที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า COWERING GREENHOUSE
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 500 พลัก-อิน ไฮบริด
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ทำสิ่งที่เมื่อสองสามปีก่อนผู้คนเห็นว่าคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยนำ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 500 พลัก-อิน ไฮบริด (MERCEDES-BENZ S500 PLUG-IN HYBRID) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ก่อนจะนำออกสู่โชว์รูมในปีหน้า เป็นรถหรูที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแค่ 3.0 ลิตร/100 กม. หรือ 33.3 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 69 กรัม/กม. เพราะติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 245 กิโลวัตต์/333 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน มีลักษณะการขับให้กดปุ่มเลือกได้รวม 4 แบบ คือ HYBRID-E MODE-E SAVE-CHARGE
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 63 เอเอมจี
พร้อมๆ กับการเอาใจคนรักสีเขียว ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ก็แสดงให้เห็นว่าไม่เคยละเลยคนรักรถหรูและแรงแรงแรง โดยนำ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 63 เอเอมจี (MERCEDES-BENZ S 63 AMG) รุ่นใหม่ ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" พร้อมคำประกาศกิตติคุณ ว่าเป็นรถที่กำหนดมาตรฐานใหม่ของรถซีดานระดับสุดหรูสุดแรง ทั้งในด้านไดนามิคส์ของการขับขี่ โครงสร้างตัวถังมวลเบา และประสิทธิผลของการทำงาน รถแรงรุ่นใหม่นี้ติดตั้งเครื่องไบเทอร์โบเบนซิน วี 8 สูบ 5,461 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 430 กิโลวัตต์/585 แรงม้า ออกจำหน่ายในเมืองแม่ไปเรียบร้อยแล้วหลังเปิดตัวในงาน โดยมีรถให้เลือกรวม 3 โมเดล คือ S 63 AMG SHORT WHEELBASE-S 63 AMG LONG WHEELBASE-S 63 AMG 4MATIC LONG WHEELBASE
สมาร์ท โฟร์จอย
ผู้ผลิตรถแฟชันซูเพอร์จิ๋ว ซึ่งอยู่ในร่มเงาของค่าย "ดาวสามแฉก" ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัว สมาร์ท โฟร์จอย (SMART FOURJOY) รถแนวคิดซึ่งบ่งชี้ว่ารถ 4 ที่นั่ง ที่ค่ายนี้ร่วมพัฒนากับค่าย เรอโนลต์ และจะนำออกสู่ตลาดตอนกลางปี 2014 พร้อมกับป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ (SMART FORFOUR) ทิศทางจะเป็นอย่างไร เป็นรถขับล้อหลังด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า ตัวถังขนาด 3.494x1.978x1.494 ม.ซึ่งไม่มีหลังคาไม่มีประตูไม่มีหน้าต่างและมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 9.1 ม. มีโครงสร้างแบบ TRIDION เหมือนรถ สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ซึ่งเป็นรถแบบเดียวของค่ายนี้ในปัจจุบัน คือ โครงตัวถังทำจากโลหะแต่เปลือกตัวถังทำจากพลาสติคอย่างที่เรียกกันภาษาอังกฤษว่า COMPOSITE PLASTIC
โอเพล มนซา คอนเซพท์
ค่าย "สายฟ้า" ซึ่งธุรกิจการค้ายังไม่หลุดพ้นจากอาการง่อนแง่น เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้อย่างล้นหลามด้วย โอเพล มนซา คอนเซพท์ (OPEL MONZA CONCEPT) ที่เห็นในภาพบน เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานที่มี มาร์ค อดัมส์ (MARK ADAMS) ชาวอังกฤษวัย 52 ปี เป็นผู้นำ ซึ่งบ่งบอกทิศทางการออกแบบในอนาคตของค่าย โอเพล/วอกซ์ฮอลล์ ได้เป็นอย่างดี ตัวถังประตูปีกนกยาว 4.690 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ติดตั้งระบบขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ชุดเดียวกันกับที่ใช้ในรถไฟฟ้า โอเพล อัมเพรา/เชฟโรเลต์ โวลท์ (OPEL AMPERA/CHEVROLET) แต่เปลี่ยน "ตัวยืดระยะทาง" จากเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง 1.4 ลิตร 63 กิโลวัตต์/86 แรงม้า เป็นเครื่องเทอร์โบ 3 สูบเรียง 1.0 ลิตร ที่ใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ-คลาสส์
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "ดาวสามแฉก" ที่อวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" และดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนได้อย่างมาก คือ รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ GLA-CLASS) ที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบนหน้าซ้ายมือ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดแบบแรกของค่ายนี้ และเป็นรถขับล้อหน้าแบบที่ 4 ถัดจากรถ เอ-คลาสส์ (A-CLASS) บี-คลาสส์ (B-CLASS) และ ซีแอลเอ-คลาสส์ (CLA-CLASS) มีกำหนดออกโชว์รูมตอนต้นปี 2014 ในตัวถังขนาด 4.417x1.804x1.494 ม. ซึ่งหน้าตาและรูปทรงองค์เอวดูดี ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มีทั้งแบบขับล้อหน้าขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลาย ทั้งเครื่องเบนซิน (115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ถึง 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า) และเครื่องดีเซล (100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า ถึง 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า) ทุกโมเดลที่ใช้ระบบขับล้อหน้าจะติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนโมเดลที่ใช้ระบบขับทุกล้อจะติดตั้งเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ
โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ สปอร์ทแวน
ยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน ซึ่งจับจองชั้นล่างของอาคารหมายเลข 3 ไว้ทั้งหมด เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันอีกรายหนึ่งที่นำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ เลือกชิ้นที่น่าสนใจมาให้ชมกันเพียง 3 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพบน คือ รถติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน สปอร์ทแวน (VOLKSWAGEN SPORTVAN) รถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถรุ่นใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่โชว์รูมตอนกลางปี 2014 แต่ขณะนี้ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ชื่ออะไร ? ตัวถังขนาด 4.338x1.807x1.578 ม. ไม่ได้ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่พัฒนาจากรถแฮทช์แบค โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) รุ่นล่าสุด (รุ่นที่ 7) ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายยังไม่ครบปี โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายจุด รวมทั้งยืดตัวถังให้ยาวขึ้นประมาณ 8 ซม.และยกหลังคาให้สูงขึ้นประมาณ 13 ซม.
โฟล์คสวาเกน อี-กอล์ฟ
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ซึ่งตั้งใจจะเป็นผู้นำด้านรถไฟฟ้าและรถไฮบริด โดยนำรถประเภทนี้ออกสู่ตลาดรวม 14 แบบก่อนสิ้นปี 2014 ยืนยันเจตนารมณ์นี้โดยนำ โฟล์คสวาเกน อี-กอล์ฟ (VOLKSWAGEN E-GOLF) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ ไม่ใช่รถที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดเช่นกัน แต่พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ รุ่นล่าสุด โดยเปลี่ยนระบบขับ จากขับด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล เป็นขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 24.2 กิโลวัตต์/ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 10.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 140 กม./ชม. จุดที่น่าสนใจมากก็คือ เมื่อประจุไฟเต็มหม้อด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาไม่เกิน 13 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกลถึง 190 กม.
โฟล์คสวาเกน อี-อัพ !
รถใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกแบบหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เพื่อยืนยันความตั้งใจจะเป็นผู้นำด้านรถไฟฟ้า/รถไฮบริด คือ รถติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน อี-อัพ ! (VOLKSWAGEN E-UP!) พัฒนาจากรถจิ๋ว โฟล์คสวาเกน อัพ ! (VOLKSWAGEN UP!) ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค โดยเปลี่ยนระบบขับ จากขับด้วยพลังของเครื่องเบนซิน DOHC 3 สูบเรียง 998 ซีซี เป็นขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 18.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมีน้ำหนักตัว 230 กก. และสามารถประจุไฟด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง เมื่อประจุไฟเต็มหม้อจะวิ่งได้ไกล 120-160 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม. ออกขายแล้วเมื่อกลางเดือนตุลาคมพร้อมกับป้ายค่าตัว 26,900 ยูโร
แคดิลแลค เอลมิราจ์
ผู้ผลิตรถหรูของเมืองมะกันซึ่งแต่ละปีขายรถในเมืองเบียร์ได้ไม่กี่คัน พยายามดึงดูดความสนใจจากผู้คน โดยนำ แคดิลแลค เอลมิราจ์ (CADILLAC ELMIRAJ) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเมืองแม่เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2012 ไปอวดโฉมให้คนรักรถในทวีปยุโรปได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรก เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเปขนาดยักษ์ ตัวถังขนาด 5.207x1.930x1.397 ม. ติดตั้งระบบขับล้อหลังด้วยพลังของเครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน วี 8 สูบ 4.5 ลิตร 373 กิโลวัตต์/500 แรงม้า ภายในห้องโดยสารซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราสมยี่ห้อรถและออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน มีระบบที่ช่วยให้ผู้โดยสารเบาะหลังก้าวเข้าไปนั่งในรถได้โดยง่าย กล่าวคือ ขณะก้าวเข้ารถเก้าอี้ตัวหน้าจะเลื่อนไปข้างหน้า 254 มม. และถอยกลับเข้าที่เมื่อนั่งแล้ว
โพร์เช 918 สไปเดอร์
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์ ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องรวม 3 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพใหญ่ และภาพบนหน้าซ้ายมือ คือ โพร์เช 918 สไปเดอร์ (PORSCHE 918 SPYDER) รถถนนที่แรงและเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ครึ่งศตวรรษของค่ายนี้ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 2.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ 345 กม./ชม. ทั้งนี้และทั้งนั้น เป็นผลลัพธ์ของระบบขับล้อหลังแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ 4,593 ซีซี 447 กิโลวัตต์/608 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 6.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ได้กำลังรวมสูงสุด 652 กิโลวัตต์/887 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เห็นตัวเลขแล้วอยากเปลี่ยนแว่นตา คือ แค่ 3.0-3.3 ลิตร/100 กม. หรือ 30.3-33.3 กม./ลิตร อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ก็ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่ารถระดับนี้จะทำได้ คือ แค่ 70-79 กรัม/กม. เท่านั้นเอง
โพร์เช 911 เทอร์โบ/โพร์เช 911 เทอร์โบ เอส
งานใหม่อีก 2 ชิ้นที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์นำออกแสดงแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถสปอร์ทเครื่องเทอร์โบรุ่นใหม่ซึ่งมีรถให้เลือกใช้ 2 โมเดล คือ PORSCHE 911 TURBO กับ PORSCHE 911 TURBO S โมเดลแรกซึ่งมีค่าตัว 162,055 ยูโร ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 3,800 ซีซี 383 กิโลวัตต์/520 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลัง ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. ส่วนโมเดลหลังซึ่งมีค่าตัว 195,256 ยูโร ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกัน แต่ปรับแต่งจนกำลังสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 412 กิโลวัตต์/560 แรงม้า ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขสมรรถนะเปลี่ยนเป็น 3.1 วินาที และ 318 กม./ชม.
สโกดา ราพีด สเปศแบค
ผู้ผลิตรถยนต์ของสาธารณรัฐเชคซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ ดึงความสนใจจากบรรดาสื่อมวลชน โดยนำรถติดป้ายชื่อ สโกดา ราพีด สเปศแบค (SKODA RAPID SPACEBACK) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ แต่ยังใช้ "พริทที" คนเดิมที่จำได้ติดตาว่าเคยเห็นมาก่อนแล้วทั้งที่ปารีสและที่เจนีวา เป็นรถเก๋งตรวจการณ์ในตัวถังขนาด 4.304x1.706x1.459 ม. ที่ออกขายในเมืองแม่ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 292,900 คราวน์ หรือประมาณ 498,000 บาทไทย เป็นรถที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลายสะใจคนช่างเลือก เป็นเครื่องเบนซิน 4 ขนาด (55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า-90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า) และเครื่องดีเซล 4 ขนาด (66 กิโลวัตต์/90 แรงม้า-77 กิโลวัตต์/105 แรงม้า)
เซอัต เลอน เอสที
ผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ เช่นกัน มีงานใหม่ที่น่าจะกล่าวถึงเพียงชิ้นเดียว คือ เซอัต เลอน เอสที (SEAT LEON ST) รถเก๋งตรวจการณ์ขนาดเล็กกะทัดรัด ที่กำลังจะออกโชว์รูมในเมืองกระทิงดุ ไล่หลังรถอนุกรมเดียวกันอีก 2 ตัวถังที่ออกตลาดไปก่อนแล้ว คือ เซอัต เลอน (SEAT LEON) ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค กับ เซอัต เลอน เอสซี (SEAT LEON SC) ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ในเมืองแม่รถแบบนี้จะแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส REFEERENCE-STYLE-FR มีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือกรวม 5 ขนาด (63 กิโลวัตต์/86 แรงม้า-132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า) และเครื่องยนต์ดีเซลรวม 4 ขนาด (66 กิโลวัตต์/90 แรงม้า-135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า)
เอาดี นานุค กวัตตโร คอนเซพท์
ค่าย "สี่ห่วง" ซึ่งทำบูธได้หวือหวาตื่นตาตื่นใจ ด้วยสไตล์การออกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในงานแสดงรถยนต์รายการใด (เห็นได้ในหน้าที่ 3-4 ของรายงานนี้) เป็นผู้ผลิตรถยนต์เจ้าบ้านอีกรายหนึ่งที่นำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้จนดูลานตาไปหมด อย่างไรก็ตาม ชี้ขาดได้เลยว่าคันที่เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้มากกว่าคันไหนๆ คือ เอาดี นานุค กวัตตโร คอนเซพท์ (AUDI NANUK QUATTRO CONCEPT) รถประตูปีกนกที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบนหน้าขวามือ เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นผลพวงจากความร่วมมือกับทีมงานของสำนักออกแบบ อีตัลดีไซจ์น จูจาโร (ITALDESIGN GIUGIARO) ที่ปัจจุบันค่ายนี้เป็นเจ้าของ ตัวถังขนาด 4.541x1.990x1.337 ม. ที่นั่งได้เพียง 2 คน แต่หนักถึง 1,900 กก. ติดตั้งเครื่องทวินเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 10 สูบ 5.0 ลิตร 400 กิโลวัตต์/544 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ที่ทั้งแรงและเร็ว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม.
เอาดี สปอร์ท กวัตตโร คอนเซพท์
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ารถประตูปีกนกในภาพใหญ่ คือ รถแนวคิดติดป้ายชื่อ เอาดี สปอร์ท กวัตตโร คอนเซพท์ (AUDI SPORT QUATTRO CONCEPT) ที่ค่าย "สี่ห่วง" ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ที่รถชื่อเดียวกันนี้รุ่นแรกเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1983 แหล่งข่าววงในยืนยันว่าไม่ใช่รถแนวคิดที่ทำให้ดูกันเล่นๆ แต่ตั้งใจจะทำขายจริง และจะทำในจำนวนจำกัด เป็นรถคูเปในตัวถังขนาด 4.602x1.964x1.386 ม. ที่ออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน ติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ใช้เครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน วี 8 สูบ 4.0 ลิตร 412 กิโลวัตต์/560 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ได้กำลังรวมสูงสุด 515 กิโลวัตต์/700 แรงม้า
เอาดี เอส 8
รถธงในสายการผลิต คือ เอาดี เอ 8 (AUDI A8) ที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ MID-LIFE FACELIFT หรือ "ยกหน้ากึ่งชีวิต" มีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายอธิบายได้หลายวัน ที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า คือ แผงกระจังหน้ากันชนหน้า/หลังส่วนหน้าหม้อและดวงโคมไฟท้ายที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ส่วนที่เห็นไม่ได้ด้วยตา คือ เครื่องยนต์หลายขนาดที่ได้รับการปรับปรุงจนได้กำลังสูงขึ้นแต่กินน้ำมันน้อยลง คันที่เลือกมาให้ชมเป็นตัวอย่าง คือ รถโมเดลหัวกะทิติดป้ายชื่อ เอาดี เอส 8 (AUDI S8) ซึ่งเป็นรถเพียงโมเดลเดียวที่ติดตั้งท่อไอเสียคู่หน้าตัดรูปวงรี รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4.0 ลิตร 382 กิโลวัตต์/520 แรงม้า และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ดีมาก คือ 9.6 ลิตร/100 กม.
เอาดี เอ 3 กาบริโอ
ก่อนหน้านี้รถอนุกรม เอาดี เอ 3 (AUDI A3) รุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 มีตัวถังให้เลือกเพียง 3 แบบ คือ ตัวถัง 3/5 ประตูแฮทช์แบค กับตัวถัง 4 ประตูซีดาน ที่งานนี้ค่าย "สี่ห่วง" เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้อยากเป็นเจ้าของรถพรีเมียมขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดอนุกรมนี้ โดยนำรถเปิดประทุนติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 3 กาบริโอเลต์ (AUDI A3 CABRIOLET) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นเดียวกันกับรถชื่อเดียวกันรุ่นเดิมที่มีขนาดตัวถังสั้นและแคบกว่ากันนิดหน่อย รถรุ่นใหม่ที่นั่งได้รวม 4 คนนี้ ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อนซึ่งมีโครงทำจากเหล็กกล้า MAGNESIUM-STEEL มีกลไกเปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค ใช้เวลาเปิดหรือปิดแต่ละครั้งประมาณ 18 วินาที และสามารถกดปุ่มทำงานเมื่อยังวิ่งเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.
เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค อี-ทรอน
รถตลาดอีกแบบหนึ่งที่ค่าย "สี่ห่วง" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค อี-ทรอน (AUDI A3 SPORTBACK E-TRON) ที่มีกำหนดออกตลาดในปี 2014 แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าเดือนไหน ? พัฒนาจากรถรุ่นสามัญซึ่งมีทั้งเครื่องเบนซิน/ดีเซล โดยติดตั้งระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 1,390 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 8.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังรวมสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 222 กม./ชม. และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เห็นตัวเลขแล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอก คือ แค่ 1.5 ลิตร/100 กม.
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/32597